ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 85 ปากหอยปากปู
บทที่ 85 ปากหอยปากปู
นอกจากหลินชิงเหอจะหยิบเนื้อออกมาแล้ว เธอยังตักแบ่งน้ำตาลทรายแดงออกมา 2 ชั่ง แล้วยังแบ่งพุทราจีนออกมา 1 ชั่งจาก 2 ชั่งที่มีอยู่ในบ้าน ส่วนที่เหลือเธอวางแผนว่าจะทำหมั่นโถวพุทราจีนเป็นการแลกเปลี่ยน สุดท้ายนี้เธอยังแบ่งกุ้งแห้งครึ่งชั่งกับไข่ 1 ชั่งออกมาด้วย
เมื่อหญิงสาวนำสิ่งของเหล่านี้ยื่นให้น้องชาย ชายหนุ่มก็ถามในทันที “พี่ครับ พี่ทำอะไรน่ะครับ?”
“พี่รู้นิสัยพ่อกับแม่ดีเลยล่ะ ครั้งที่แล้วเมียนายคลอดลูกสาว แล้วครั้งนี้หล่อนก็คลอดลูกสาวอีกคนหนึ่งอีก สองคนนั้นจะต้องไม่ปลื้มแน่ พวกเขาน่ะชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ดังนั้นเมียนายลืมเรื่องที่พวกเขาจะให้ของกินบำรุงร่างกายหลังคลอดไปได้เลย การบำรุงร่างกายหลังคลอดมันสำคัญกับผู้หญิงอย่างไรน่ะเหรอ? พี่รู้ว่าคนเป็นพ่ออย่างนายเข้าใจเป็นอย่างดี แล้วทีนี้นายยังจะบ่ายเบี่ยงไม่รับของของพี่อีกเหรอ?” หลินชิงเหอพูด
“พี่…” ดวงตาของน้องชายสามตระกูลหลินแดงขึ้น
หลังภรรยาของเขาคลอดลูกสาวคนนี้ พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ได้ส่งของบำรุงมาแสดงน้ำใจอันดีใด ๆ เลย ทำให้ภรรยาของเขาต้องหลั่งน้ำตาหลายครั้งในระหว่างพักฟื้นร่างกายหลังคลอด
หล่อนต้องการของกินบำรุงแต่กลับไม่มีกิน เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดอย่างมาก
แต่จะรู้สึกผิดไปก็ไร้ประโยชน์ มันไม่ได้ให้ของกินบำรุงหลังคลอดใด ๆ กับภรรยาของเขาได้เลย
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ทุกคนยังไม่ออกจากบ้านไปทำงาน เพราะฉะนั้นนายรีบกลับไปซะ” หลินชิงเหอเร่ง
“ครับ” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้าข่มกลั้นน้ำตาที่กำลังจะร่วงลงมา
เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้พี่สาว ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้รีบเดินทางกลับบ้านพร้อมกับแบกถุงกระสอบพลาสติกบรรจุของที่พี่สาวให้ทั้งหมดกลับไป
แต่ถึงจะเป็นเวลานี้ก็ยังมีคนบางคนในหมู่บ้าน อย่างเช่นหวังหลิงที่เคยมีเรื่องกับหลินชิงเหอมาก่อน ได้มาเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี
“หล่อนเป็นนังจิ้งจอกชั่วร้ายจริง ๆ ด้วย ผ่านไปไม่นานหล่อนก็เริ่มประเคนสิ่งของให้กับครอบครัวฝั่งแม่แล้ว!” หวังหลิงแค่นเสียงเย็นชา
หล่อนรอจนสะใภ้รองบ้านโจวออกไปทำงานแล้วก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับอีกฝ่าย
“เธอไม่รู้แน่ว่าเขาขนกลับไปเยอะขนาดไหน ฉันเห็นมันกับตาตัวเองเลยนะว่าเขาขนของกลับไปเยอะมาก!” หวังหลิงอุทาน
“เธอเห็นจริง ๆ เหรอ?” สะใภ้รองเอ่ยถามทันที
“ฉันจะโกหกไปทำไมล่ะ? เดาว่าในถุงนั้นต้องมีไข่หลายฟองด้วยแน่ ๆ!” หวังหลิงพยักหน้า
สะใภ้รองได้ยินแล้วก็มุ่งหน้าไปที่บ้านเพื่อไปบอกเรื่องนี้กับสะใภ้ใหญ่
สะใภ้สามนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย พอได้ยินเรื่องนี้ก็เอ่ยขึ้นมาทันที “พี่สะใภ้รอง ตอนนี้เราแยกครอบครัวกันแล้วนะคะ หลินชิงเหอจะอยู่กินอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว หล่อนจะให้ของกับครอบครัวฝั่งแม่หรือเปล่า ของพวกนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่ต้องไปสั่งสอนอะไรหล่อนหรอกค่ะ”
สะใภ้ใหญ่มีความเห็นเหมือนกันกับสะใภ้สาม “พวกเขาแยกตัวจากเราแล้ว หลินชิงเหอเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์ตรงนั้น เราอย่าพูดอะไรมากนักเลย”
สะใภ้รองรู้สึกได้ว่าสะใภ้อีกสองคนที่เหลือรับสินบนจากสะใภ้สี่ เห็นได้จากการที่พวกหล่อนเข้าข้างสะใภ้สี่กันหมด!
ดังนั้นสะใภ้รองจึงปรี่เข้าไปบอกเรื่องนี้กับท่านแม่โจว
แม้ท่านแม่โจวจะไม่พอใจ แต่นางก็ยังเอ็ดใส่สะใภ้รอง “เธอไปได้ยินเรื่องซุบซิบนั่นมาจากไหน? ถ้าไม่มีอะไรทำนักก็คลอดลูกชายให้บ้านโจวซะแล้วก็เลิกไปผสมโรงกับบรรดานังปากหอยปากปูพวกนั้นสักที!”
สะใภ้รองได้ฟังถึงกับหน้าเขียวกลับซีดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แก้ต่างให้ตัวเอง “คุณแม่คะ ฉันแค่เห็นแก่น้องเขยสี่ที่แบกภาระทั้งหมดของครอบครัวไว้บนบ่าต่างหากล่ะคะ ตอนนี้เขากลับต้องช่วยค้ำจุนครอบครัวน้องชายของภรรยาด้วยอีก เรื่องนี้ไม่เท่ากับว่าเป็นการบีบคั้นน้องเขยสี่จนตายเหรอคะ?”
คำพูดนี้แทงใจดำท่านแม่โจวเข้าพอดี
แต่ท่านแม่โจวก็ไม่กล้าไปหาหลินชิงเหอ นางเลือกที่จะพูดคุยกับลูกชายคนเล็กเป็นการส่วนตัว เมื่อเห็นสภาพหลังการทำงานของลูกชายคนเล็กที่เหน็ดเหนื่อยขนาดไหนแล้ว หัวใจของนางก็ร้าวราน “อาสี่ แกไม่ต้องหักโหมทำงานนักก็ได้ พักบ้างเถอะ”
“ผมสบายดีครับแม่” โจวชิงไป๋พูด “แม่มาหาผมมีเรื่องอะไรหรือครับ?”
“วันนี้น้าสามตระกูลหลินของเจ้าใหญ่มาหาที่บ้านแก แล้วแม่ก็ได้ยินว่าเมียแกให้ของไปเยอะมาก ที่บ้านมีอาหารพอกินอยู่ไหม?” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้นมา
“น้าสะใภ้สามของเจ้าใหญ่เพิ่งคลอดลูกแล้วก็อยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดน่ะครับ ก็ถูกแล้วนี่ครับที่จะให้ของกินอะไรกับพวกเขาไปบ้าง” โจวชิงไป๋พยักหน้า
ภรรยาของเขาให้ความใส่ใจแค่น้องชายสามตระกูลหลินเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือเธอมองเป็นคนอื่น
“นั่นมันก็ถูก แต่แม่ได้ยินว่าเขาเอาไข่กลับไปเยอะเกือบชั่งหนึ่งเลยนะ” ท่านแม่โจวพูดต่อ “ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะที่แกสามารถส่งเงินเดือนกลับมาทุกเดือนได้เป็นสิบ ๆ หยวน ทั้งครอบครัวต้องพึ่งพาแก ภาระของแกไม่ได้เบาเลย”
นางไม่กล้าเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับหลินชิงเหอ ต่อให้หญิงสาวจะมีอัธยาศัยดีกับนางก็ตาม เพราะว่านางเป็นแม่ของโจวชิงไป๋ที่หลินชิงเหอจะใช้ให้เจ้าใหญ่ส่งของไปให้เนือง ๆ ยามใดที่พวกเขาได้ของดีมา
แต่ถ้าท่านแม่โจวเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ เรื่องนี้หลินชิงเหอคงไม่มีวันยอมแน่
เมื่อไหร่ที่เธอรู้เข้า ก็จะเกิดการทะเลาะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านแม่โจวต้องการเห็น ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะคุยกับโจวชิงไป๋เป็นการส่วนตัวแทน
“แม่ครับ ภรรยาผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แม่ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก ตอนนี้พวกเราก็อยู่ดีกินดีกันไม่ใช่เหรอครับ?” โจวชิงไป๋เอ่ยปลอบ
“ตอนนี้แกอยู่ดีกินดีแล้วมันไม่ต้องใช้เงินหรือยังไง? ถ้าใช้เงินหมดแล้ว เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ จะเอาเงินที่ไหนใช้ไปกับเรื่องต่าง ๆ อย่างการแต่งงานหรืออะไรก็ตาม?” ท่านแม่โจวชี้ประเด็น
“ภรรยาผมบอกว่าไม่จำเป็นต้องเจ้ากี้เจ้าการกับเด็ก ๆ หรอกครับ เมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาก็จะหาเลี้ยงกันได้เอง” โจวชิงไป๋เอ่ยพร้อมกับดวงตาฉายรอยยิ้ม
คำพูดจริง ๆ ของภรรยาเขาก็คือ “มีเวลาตั้งนานกว่าที่เด็ก ๆ จะแต่งงานกัน อีกอย่างตอนที่คุณแต่งงานกับฉัน คุณก็ใช้เงินของคุณเองไม่ใช่เหรอคะ? บ้านของเราก็ใช้เงินคุณสร้าง คุณทำได้ ลูก ๆ เราก็ทำได้เหมือนกัน เชื้อไม่ทิ้งแถวแบบนี้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องกังวลนักหรอกค่ะ”
เธอเอ่ยชมเขากับลูกชายในประโยคเดียว
ท่านแม่โจวถอนหายใจเสียงดัง เห็นลูกชายนางเป็นแบบนี้แล้ว มันก็เห็นชัดเลยว่าเขายอมตามใจภรรยา แล้วเขาจะมีความคิดเป็นของตัวเองได้อย่างไร?
ในครอบครัวชาวนาแบบนี้ มีใครบ้างไม่เก็บเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน? มีนิสัยใช้จ่ายแบบนี้กันแล้วพวกเขาจะอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไร?
ท่านแม่โจวกลับบ้านของนาง ส่วนโจวชิงไป๋ก็กลับบ้านของเขา
หลินชิงเหอเห็นสามีกลับมาก็เลิกคิ้ว “คุณแม่คุยอะไรกับคุณบ้างเหรอคะ? เห็นทำลับ ๆ ล่อ ๆ ออกไปคุยกันข้างนอกแบบนี้?”
“ไม่มีอะไรมากหรอก” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า
“มีคนเอาเรื่องที่น้องชายสามของฉันมาเยี่ยมไปโพนทะนาจนถึงหูคุณแม่คุณหรือเปล่าคะ? คุณแม่เลยให้คุณมาเตือนฉันว่าตอนนี้ต้องอยู่อย่างประหยัดเพราะไม่มีรายได้หลักเข้ามาทุกเดือนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แรงกดดันของทั้งครอบครัวอยู่ที่คุณหมด และหัวใจของท่านก็ปวดร้าวเพราะลูกชายคนเล็กอย่างคุณ” หลินชิงเหอเอ่ย
โจวชิงไป๋เหลือบมองภรรยา ต่อให้เธอไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน แต่เธอก็พูดออกมาได้ตรงตามที่แม่ของเขาพูดทุกประการ
“ถูกสินะคะ” หลินชิงเหอปรายตามองค้อน
“ภรรยาครับ คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวเรานะ” โจวชิงไป๋มองเธอด้วยสายตาจริงจัง
“พูดแบบนี้ค่อยน่าชื่นใจหน่อยค่ะ” เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเขาหนักแน่นมั่นคงขนาดไหน เธอก็กระแอมไอ ส่วนเรื่องที่ให้ของอะไรไปกับน้องชายสามบ้างนั้น เธอไม่คิดที่จะอธิบาย
“ถ้าคุณแม่มาถามคุณอีก ก็ให้ตอบท่านไปว่าอย่าได้กังวลนักเลย ครอบครัวของเราอยู่สุขสบายดีอยู่นะคะ” หลินชิงเหอพูด
โจวชิงไป๋รู้ว่าภรรยาของเขาจะต้องไม่พอใจแน่เมื่อแม่ของเขาพยายามจะเข้ามายุ่งเรื่องในครอบครัวของพวกเขา
แต่เขาเป็นคนที่ไม่รู้จักการอธิบาย ชายหนุ่มจึงทำได้แต่จ้องมองภรรยาของเขาด้วยสายตาเคร่งขรึม
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สงสารน้องชายสามตระกูลหลินนะคะ พอภรรยาคลอดลูกสาวที บ้านพ่อแม่ก็ไม่มาดูดำดูดีเลย ช่วงที่แปลตรงนี้ผู้แปลรู้สึกว่าตัวเองรัวแป้นพิมพ์เร็วมากค่ะ เพราะรู้สึกเคืองหงิด ๆ อยู่ในใจอย่างไรไม่รู้ที่เห็นค่านิยมอวยลูกชายแบบสุดฤทธิ์สุดเดช พอได้ลูกชายทีแทบจะปิดหมู่บ้านฉลอง แต่พอเป็นลูกสาวกลับปล่อยตามมีตามเกิด อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ เฮ้อ…
หวังหลิง สะใภ้รอง…เธอสองคนนี่นะ หาแต่เรื่องตลอดเลย อย่ามาเมืองไทยนะคะถ้าไม่อยากโดนเปลือกทุเรียนตกใส่หัว
แม่โจว…พอเถอะค่ะ ครอบครัวลูกอยู่ดีมีสุขแล้วก็อย่าไปยุ่งนักเลย เพราะว่าผู้แปลสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่างจากตัวสะใภ้สี่แล้วน่ะค่ะ
หลินชิงเหอจะได้เปิดศึกกับแม่สามีตัวเองหรือไม่ หรือจะได้จัดการบรรดาบ่างช่างยุก่อน ติดตามตอนหน้าค่ะ
ไหหม่า (海馬)