ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 88 บทลงโทษของโจวชิงไป๋
บทที่ 88 บทลงโทษของโจวชิงไป๋
เมื่อโจวชิงไป๋พาเจ้าใหญ่กับเจ้ารองกลับมา มันก็เป็นเวลาหกโมงครึ่งในตอนเย็น
การกลับบ้านในเวลานี้นับว่าค่อนข้างช้า เมื่อพ่อและลูกชายทั้งสองกลับมาถึง อาหารอันโอชะก็ตั้งโต๊ะพร้อมทานแล้ว
อาหารเย็นนี้มีซาลาเปาขาวเคียงกับไข่คนมะเขือเทศและหมูตุ๋น โดยมีแตงกวาและแกงจืดกระดูกหมูหัวไชเท้าเป็นอาหารจานเคียง
อาหารที่ทำช่างดูเรียบง่ายแต่ก็ยังเป็นมื้อที่วิเศษอยู่ดี
หลังทั้งครอบครัวทานเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็ไม่ได้ทำความสะอาดถ้วยชามตะเกียบเหมือนเคย ปล่อยให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าใหญ่ไป
หลินชิงเหอทำงานของเธอเสร็จแล้ว เธอจึงสามารถทำอะไรอย่างที่อยากทำได้ ซึ่งหญิงสาวก็ใช้เวลานี้เริ่มเรียนหนังสือ
แม้จะยังมีเวลาอีก 7 ปีกว่าการสอบเข้าวิทยาลัยจะเริ่ม แต่มันก็ไม่ส่งผลต่อความกระตือรือร้นในการเรียนของเธอเลย ในเมื่อไม่มีอะไรจะทำแล้วก็เรียนหนังสือซะ
“เดี๋ยวผมจะกลับมาล้างเล้าหมูให้นะ” โจวชิงไป๋บอก
“เมื่อไหร่ที่หมดการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วคุณค่อยเป็นคนทำค่ะ ตอนนี้คุณไม่ต้องมาแย่งทำหรอก” หลินชิงเหอตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย ยังคงจดจ่อกับเนื้อหาในหนังสือ
โจวชิงไป๋จ้องมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะไปอาบน้ำ
การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงช่างเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ แต่เมื่อได้รับพลังงานจากอาหารและมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ เขาก็สามารถทำต่อได้อยู่
หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จจนตัวหอมเย็นสดชื่นแล้ว หลินชิงเหอก็เหลือบมองเขา “หลังวุ่นวายมาทั้งวัน คุณคงจะเหนื่อยมากใช่ไหมคะ? คุณอยากพักผ่อนก่อนหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็นหรอก” โจวชิงไป๋จ้องมองเธอ
หลินชิงเหอไม่ว่าอะไรและหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยขึ้นมา “ฉันไม่รู้นะคะว่าในอนาคตจะยังมีการสอบเข้าวิทยาลัยไหม แต่ถ้ามีจริงฉันจะลองไปสอบดูค่ะ แล้วคุณก็อย่าห้ามฉันด้วย”
“ถึงตอนนั้นคุณจะอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” โจวชิงไป๋ไม่คิดว่าภรรยาของเขาจะคิดอะไรแบบนี้เลยพูดออกมาด้วยความงงงวย
ถึงตอนนั้นใครจะรู้ล่ะว่าเธอจะมีอายุเท่าไหร่ ทำไมเธอถึงจะสอบเข้าวิทยาลัยกันนะ?
หลินชิงเหอถลึงมองเขา “ฉันจะหยุดอายุตัวเองอยู่ที่สิบแปดตลอดค่ะ เข้าใจนะคะ?”
โจวชิงไป๋พยักหน้าอย่างรู้งาน “ในสายตาผม ภรรยาผมเป็นสาวสวยอายุสิบแปดอยู่เสมอครับ”
หลินชิงเหอได้ฟังก็พอใจ “อย่างน้อยคุณก็ฉลาดพูดนะคะ ไม่อย่างนั้นแล้วก็เชิญคุณนอนตบยุงนอกบ้านเลย”
เจ้าใหญ่ที่เพิ่งล้างจานเสร็จได้ยินเข้าก็จีบปากจีบคอล้อเลียนคำพูดเธอ “อย่างน้อยคุณก็พูดฉลาดนะคะ ไม่อย่างนั้นแล้วก็เชิญคุณนอนตบยุงนอกบ้านเลย”
หลินชิงเหอไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดเมื่อตัวเองเป็นคนพูดประโยคนี้ แต่พอได้ยินเจ้าใหญ่พูดล้อเลียนแบบนี้บ้างก็รู้สึกขนลุกเกรียวทั่วทั้งร่าง เธอวางหนังสือลงและเอ็ดเด็กชายในทันที “เจ้าใหญ่ ลูกอยากโดนตีใช่ไหม?”
“แม่ทำได้ แต่ผมทำไม่ได้ นี่คือสิ่งที่แม่บอกเมื่อวันก่อนใช่ไหมครับว่า ปล่อยให้ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง(1)?” เจ้าใหญ่หัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วก็วิ่งหนี
หลินชิงเหอนั่งลงและเรียนตำราต่อพลางบ่นพึมพำ “เด็กผู้ชายเจ้าเล่ห์พวกนี้นี่ไม่มีคนไหนน่ารักสักคน พวกเขาทำให้ฉันอารมณ์เสียหมดทุกคนเลย คลอดลูกชายมาเป็นภาระแท้ ๆ มีลูกสาวยังจะน่ารักกว่า”
“ผมก็คิดอย่างนั้นนะ” โจวชิงไป๋พยักหน้าจริงจัง
หลินชิงเหอได้ยินก็เหลือบมองเขา “คุณยังมีหน้ามาพูดว่าคุณเองก็คิดอย่างนั้นเหรอคะ? ใครล่ะเป็นคนเพาะเด็กพวกนี้ขึ้นมา!”
โจวชิงไป๋มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะมีความสามารถขนาดนี้”
เธอมีความสามารถมากจริง ๆ ที่ให้กำเนิดลูกชายทั้งหมดสามคนได้
แต่ในภายภาคหน้า พวกเขาควรมีลูกสาวด้วยดีไหมนะ?
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ขยันทำการบ้านกับเธอไปตั้งเยอะ แต่เธอกลับไม่มีท่าทีว่าจะตั้งครรภ์เลย
หลินชิงเหอกลอกตาใส่พลางคิดในใจ ‘จะได้ลูกชายหรือลูกสาวมันไม่ใช่เพราะผู้หญิงสักหน่อย เป็นพวกผู้ชายอย่างคุณต่างหากที่เป็นคนกำหนด’
แต่เรื่องนี้ไม่อาจพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เธอก็เลยก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
“แม่ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านชอบกังวลไปเรื่อยว่าครอบครัวเราจะอยู่อย่างลำบาก ท่านก็เลยพูดมากหน่อย” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างลังเล
“งั้นแสดงว่าเป็นความผิดฉันสินะคะ ฉันควรจะเห็นใจในเจตนาดีของท่านแทนที่จะงัดข้อกับท่านแบบนี้ใช่ไหมล่ะคะ?” หลินชิงเหอส่งยิ้ม
โจวชิงไป๋ส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ภรรยาครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ถ้าคุณคิดว่าฉันงี่เง่าไร้เหตุผลและอกตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ของคุณล่ะก็ คุณพูดมาตรง ๆ เลยค่ะ เราจะได้จบกันแค่นี้” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม
โจวชิงไป๋มีสีหน้าสลดลง
“ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะโจวชิงไป๋ ฉันไม่สนหรอกค่ะว่าคุณแม่จะหวังดีหรือเปล่า อย่างน้อย ๆ ฉันก็กตัญญูต่อท่าน ท่านอยากทานอะไรฉันก็ให้ แต่ฉันจะไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับครอบครัวของฉันและการเลี้ยงดูลูกชายเราสามคน ถ้าคุณไม่สบายใจหรือไม่มีความสุขนักคุณก็บอกฉันมาตรง ๆ ได้ แต่ถ้าคนอื่นเข้ามายุ่งล่ะก็ ฉันจะไม่สุภาพด้วยแล้วนะคะ”
หลินชิงเหอแค่นเสียง จากนั้นเธอก็คว้าหนังสือเดินตรงไปยังห้องของเด็ก ๆ ทิ้งให้โจวชิงไป๋มีสีหน้าจนใจ
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าคืนนี้หลินชิงเหอต้องการนอนแยกเตียงแทนที่จะนอนบนเตียงเตาเดียวกับชายตัวเหม็นอย่างโจวชิงไป๋ เขาคงนอนคนเดียวได้ล่ะน่า
แต่โจวชิงไป๋ไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เขารีบตรงมาแบกตัวภรรยาขึ้นพาดบ่าต่อหน้าลูกชายทั้งสาม ทำให้เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามพากันส่งเสียงประท้วง
หลินชิงเหอรู้สึกอายขึ้นมา ขณะที่เจ้าใหญ่ทำให้เรื่องราวมันบานปลายขึ้นไปอีก “พ่อครับ พ่อทำอะไรน่ะ!”
“มาพาภรรยาพ่อกลับไปนอนที่ห้องน่ะสิ” โจวชิงไป๋บอก “ลูกสามคนนอนหลับฝันดีนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
ประโยคหลังเขาเอ่ยกับสามพี่น้อง
ในช่วงฤดูร้อน เจ้าสามไม่ได้นอนหลับเตียงเดียวกับเธอแล้ว เขาชอบนอนกับพี่ ๆ ของเขามากกว่า
ไม่ต้องพูดเลยว่าเรื่องนี้ทำให้โจวชิงไป๋ดีใจขนาดไหน
เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักอย่างเห็นด้วย ขณะที่หลินชิงเหอถูกอุ้มกลับไปที่ห้อง
“คุณอย่าทำแบบนี้ต่อหน้าลูก ๆ จะได้ไหมคะ!” หลินชิงเหอเตือน แต่เสียงของเธอกลับทุ้มลง ฟังราวกับจะยั่วยวน
“ถึงเวลานอนแล้ว พรุ่งนี้มีเรื่องต้องทำอีกเยอะเลย” โจวชิงไป๋บอก
ถึงจะดับตะเกียงแล้ว หลินชิงเหอก็ยังงอนอยู่ ทำให้โจวชิงไป๋เริ่มปลอบประโลมเธอด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน
มันใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าหลินชิงเหอจะใจเย็นลง จากนั้นโจวชิงไป๋ก็พลิกตัวขึ้นมาทาบทับเธอทันที
“คุณจะทำอะไรน่ะ? วันนี้ทั้งวันคุณไม่เหนื่อยบ้างเหรอคะ?” หลินชิงเหอพูด
“ไม่เหนื่อย”
โจวชิงไป๋กล่าวดังนี้แล้วก็เริ่มปฏิบัติการทานเนื้อหงส์ในทันที
ระหว่างที่ทำกันได้ครึ่งทางเขาก็ถามเธอ “คุณยังกล้าพูดว่าเราจบกันแค่นี้อีกไหมครับ?”
คำพูดของหญิงสาวคนนี้รบกวนจิตใจเขา พวกเขามีลูกกันสามคนแล้วแต่เธอยังกล้าพูดแบบนี้อีก!
ในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ หลินชิงเหอจะทำอะไรได้ล่ะ? เธอทำได้แต่ยอมแพ้และยอมรับผิดเท่านั้น
จากนั้นโจวชิงไป๋ก็มอบความรักให้เธอต่อ
หลังยุ่งอยู่กับการทำกิจกรรมคู่รักกันตั้งแต่เกือบสามทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม ทั้งคู่ก็หลับไป
เรื่องหมางใจเมื่อก่อนหน้านี้เริ่มต้นที่เตียงแล้วก็จบลงที่เตียงเหมือนกัน เป็นธรรมดาของสามีภรรยาที่จะกระทบกระทั่งกันบ้าง
โจวชิงไป๋ตื่นขึ้นในวันถัดไปอย่างสดชื่น ขณะที่หลินชิงเหอนอนหลับอุตุจนกระทั่งถึงหกโมงเช้าเธอจึงตื่น
ส่วนโจวชิงไป๋นั้นออกไปทำงานแล้ว
การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นการเก็บเกี่ยวที่แข่งขันกับเวลา ราวตีสี่ครึ่งทุกคนก็ออกจากบ้านไปที่แปลงนาตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น พวกเขาก็ทำงานไปได้หลายอย่างแล้ว
หญิงสาวนึ่งหมั่นโถวฟักทองไว้ถึงลังหนึ่งก่อนที่จะเข้านอนเมื่อคืน ส่วนอาหารจานผักนั้นเธอไม่มีเวลาทำ จึงทำได้แต่ซุปกุ้งแห้งไว้ทานเคียงกับหมั่นโถวฟักทอง
เจ้าใหญ่กับเจ้ารองอยากออกไปทำงานเหมือนกัน เด็กชายทั้งสองจึงออกจากบ้านหลังคุณย่าของพวกเขาเล็กน้อย
แม้หลินชิงเหอจะมีความคิดไม่ลงรอยกับท่านแม่โจว แต่เธอก็ไม่ได้ห้ามให้เด็ก ๆ มีปฏิสัมพันธ์กับย่าของพวกเขา เธอไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้นสักหน่อย
…………………………………………………………………………………
(1)ปล่อยให้ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง หมายถึง ผู้ปกครองทำอะไรก็ไม่ผิด ส่วนชาวบ้านจะทำอะไรนิดก็ห้ามหมด
สารจากผู้แปล
พ่ออย่าขัดตอนแม่โมโหนะคะ พยายาามพูดจาดี ๆ หวาน ๆ ให้แม่ใจเย็นลง จะได้ไม่ต้องนอนตบยุงนอกบ้านนะ
แต่แหมพ่อคะ…พอแม่หายงอนก็จัดการลงโทษแม่ต่อเลยเหรอคะ กินดุสมกับเป็นพ่อจริง ๆ ค่ะ
ไหหม่า (海馬)