ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 100 เจอหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติใหม่
ตอนที่ 100 เจอหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติใหม่
ตอนที่ 100 เจอหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติใหม่
หลินเซี่ยมองไปทางคุณป้าทั้งหลายที่กำลังแย่งชิงเสื้อผ้าชุดใหม่กันเหมือนเด็ก ๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงหนิว ไม่ต้องกังวลนะคะ เดี๋ยวฉันจะพาพวกคุณสองคนไปหาชุดกีฬาผู้ชายเองค่ะ”
“พี่สาวจาง พวกคุณอยู่ที่นี่แล้วต่อรองราคากันเองไปก่อนนะคะ ฉันจะพาลุงหนิวกับลุงหลี่ไปหาชุดกีฬาผู้ชายหน่อย”
“ได้ พวกเธอไปเถอะ”
หลินเซี่ยพาชายชราสองคนไปยังโซนเสื้อผ้าบุรุษ สายตาเหลือบไปเห็นชุดกีฬาสีน้ำเงินสำหรับใส่ไปเที่ยวนอกบ้าน
เพียงแต่แถบสีขาวไม่ได้อยู่ที่แขนเสื้อ แต่คาดกลางผ่านอกเสื้อ ช่วยลดอายุของผู้ที่สวมใส่ลงไปได้มาก
แต่ถึงอย่างไรชุดกีฬาแบบนี้ก็ไม่จำกัดอายุของผู้สวมใส่อยู่แล้ว
“คุณลุงทั้งสองคะ ชุดนี้ดูเป็นยังไงบ้าง?”
ลุงหนิวมองไปที่ชุดกีฬาสีน้ำเงินแล้วพยักหน้า “ไม่เลวเลยล่ะ แต่หลังจากการแสดงบนเวทีจบลงแล้ว เราคงไม่มีโอกาสได้กลับไปใส่มันอีก”
“ลุงหนิว การออกกำลังกายและคลายกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ ต่อให้เราเข้าร่วมการแข่งขันเสร็จ หลังจากนั้นก็หยิบชุดเดิมมาใส่เพื่อเต้นหรือออกกำลังกายได้ ถึงตอนนั้นพวกคุณก็ชวนลุงป้าน้าอาคนอื่น ๆ ในเขตที่พักอาศัยของเราไปเต้นรำด้วยกันในสวนสาธารณะได้ คิดดูสิคะว่าจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน”
ตอนนี้เมื่อเธอมีโอกาสได้เกิดใหม่ เธอจะริเริ่มทำให้การเต้นแอโรบิกเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุก่อนเป็นอันดับแรก
ลุงหลี่ยิ้มและพูดว่า “พูดถึงเรื่องนี้ หลังจากฝึกซ้อมมาหลายวัน ฉันก็เริ่มติดใจเข้าแล้ว แม้แต่ตอนเข้านอนตอนกลางคืน ในสมองก็มีแต่เพลงความทรงจำสีชมพูเปิดวนซ้ำไปมา”
ภรรยาของลุงหลี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลูกชายและลูกสาวของเขาต่างก็แต่งงานแล้ว ตอนนี้เขาจึงอาศัยอยู่ตามลำพังในอาคารพักอาศัย หลังจากได้ร่วมฝึกซ้อมเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ไฟของเขาก็กลับมาลุกโชนอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด
“อีกหน่อยเราค่อยหาเพลงอื่น ๆ มาเต้นประกอบเพลงก็ได้ ค่อย ๆ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ไปด้วยกัน”
“ถ้าอย่างนั้นมาลองดูกันเถอะ” ลุงหนิวขอให้พนักงานขายถอดชุดกีฬาตัวนั้นออกจากไม้แขวนแล้วลองสวมทับเสื้อตัวเองดูกับลุงหลี่
กล่าวถึงโซนเสื้อผ้าผู้หญิงด้านข้าง
“อวี้อิ๋ง เธอเป็นคนสวยนะ ชุดสีขาวตัวนี้เหมาะกับภาพลักษณ์ของเธอมากเชียวล่ะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยซึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์และดัดผมอย่างทันสมัย หยิบชุดกระโปรงสีขาวออกจากราวแขวน ก่อนจะเอามาทาบบนร่างกายของเสิ่นอวี้อิ๋ง
นี่เป็นชุดกระโปรงสีขาวที่หล่อนได้มาหลังจากของให้พนักงานขายช่วยไปหาในโซนสินค้าคงคลังของปีที่แล้ว
เสิ่นอวี้อิ๋งถอดเสื้อแจ็คเกตสีชมพูที่สวมอยู่ออก แล้วก้มหน้าลงเพื่อตรวจสอบความยาวของชุด
“พี่คะ ถ้าใส่กระโปรงขึ้นแสดงจะหนาวเกินไปหรือเปล่า?”
“แค่ซื้อไปใส่ตอนแสดงอยู่บนเวทีเท่านั้นเอง ทันทีที่เธอแสดงจบฉันจะรีบรอถือเสื้อแจ็กเกตไปคลุมให้”
หญิงสาวผมยาวติดกิ๊บโบว์สีเขียวที่อยู่ด้านข้างรีบสนับสนุน “พี่สาวพูดถูก อวี้อิ๋งกับพี่ต้องดูสวยมากแน่นอนเมื่อสวมชุดกระโปรงสีขาว”
เสิ่นเสี่ยวเหมยยิ้ม “ลี่ลี่นี่สายตาไม่เลวเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้นเอาตัวนี้ก็ได้ค่ะ” ในเมื่อทั้งเสิ่นเสี่ยวเหมยและหลิวลี่ลี่ยืนกรานว่าหล่อนควรสวมชุดกระโปรงสีขาวขึ้นแสดงบนเวที เสิ่นอวี้อิ๋งจึงรับฟังความคิดเห็นของพวกหล่อนอย่างว่าง่าย
เสิ่นเสี่ยวเหมยขอให้พนักงานขายนำชุดกระโปรงไปพับใส่ถุงแล้วจัดการจ่ายเงิน
“เอาล่ะ เรามาดูรองเท้ากันดีกว่า”
หลิวลี่ลี่รีบหยิบถุงบรรจุเสื้อผ้าไปถือไว้เอง
ทันทีที่ทั้งสามออกจากร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วก็ตรงไปยังพื้นที่ขายรองเท้า จนบังเอิญสวนกับหลินเซี่ยที่กำลังพาชายชราทั้งสองคนไปที่ร้านขายรองเท้าพอดี
หลินเซี่ยกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับลุงหนิวและคนอื่น ๆ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้หญิงสามคนที่เกือบจะชนเธออย่างจังเข้า รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็แข็งกระด้างไปฉับพลัน
ดวงตาของเธอมองผ่านหลิวลี่ลี่ไปตกอยู่ที่ร่างบอบบางในเสื้อแจ็กเกตสีชมพูที่อยู่ข้างหลัง
มือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำแน่นเป็นกำปั้น
เมื่อมองดูใบหน้าบริสุทธิ์ไร้พิษภัยของเสิ่นอวี้อิ๋ง ความเกลียดชังก็บังเกิดขึ้นในดวงตา
เธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ใบหน้าที่ดุร้ายและเลือดเย็นของเสิ่นอวี้อิ๋งในวินาทีก่อนที่เธอจะตายผุดขึ้นมาในใจของเธออีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ถือเป็นการพบกันครั้งแรกหลังจากได้เกิดใหม่โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
เสิ่นเสี่ยวเหมยเดินหน้าขึ้นมาขวางทางหลินเซี่ย ใบหน้าอันงดงามของหล่อนเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง มองดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแล้วทำทีเหมือนจะหาเรื่อง
หากแต่หล่อนไม่พูดด้วยตัวเอง แต่ให้หลิวลี่ลี่ที่อยู่ข้าง ๆ เป็นคนออกโรง
นั่นเป็นเพราะเสิ่นเสี่ยวเหมยรู้จักพลังการต่อสู้ของหลินเซี่ยดี จึงกลัวว่าตัวเองอาจถูกหลินเซี่ยเอาชนะอีกครั้ง
เมื่ออยู่ในที่สาธารณะแบบนี้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเอง หล่อนเลือกที่จะปล่อยให้สุนัขรับใช้ทำหน้าที่แทน
และหลิวลี่ลี่ก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีจริง ๆ
“โอ้ นี่ใครน่ะ?”
หลิวลี่ลี่เดินเข้ามาบ้าง พลางมองเธอด้วยสายตาเยาะเย้ย มองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ไม่เจอหน้ากันตั้งนาน ตอนนี้คงต้องเรียกชื่อเธอว่าหลินเซี่ยใช่ไหม?”
“เธอนี่โชคดีไม่เบาเลยนะ หลังจากถูกส่งตัวกลับบ้านนอก ก็จับพลัดจับผลูได้แต่งงาน จนกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง”
“ไห่เฉิงคือบ้านของฉัน ทำไมฉันจะกลับมาไม่ได้?” หลินเซี่ยมองอีกฝ่ายที่ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ไร้สมองด้วยความรังเกียจ เยาะเย้ยกลับ “เธอเปลี่ยนไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายใหม่แล้วสินะ? มิน่าล่ะหางถึงได้กระดิกระริกระรี้น่าดู”
หลิวจื้อหมิงและหลิวลี่ลี่คนนี้เป็นพี่น้องกัน ด้วยนิสัยแล้ว หล่อนจะเลียขาใครก็ตามที่หลิวจื้อหมิงเกาะอยู่
เด็กโง่คนนี้เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอมาก่อน เคยเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมของรัฐด้วยกัน สนิทสนมกันราวกับพี่น้องร่วมอุทร กระทั่งวันที่ภูมิหลังที่แท้จริงของเธอถูกเปิดเผย พี่น้องคนนี้กลับเปลี่ยนหน้าเร็วกว่างิ้วเสฉวนเสียอีก
ทั้งสายตาและคำพูดที่เต็มไปด้วยความดูถูกของหลินเซี่ย ทำให้หลิวลี่ลี่รู้สึกอับอายขายหน้า “พูดจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระ คิดว่าฉันไม่กล้าฉีกปากเธอออกเป็นชิ้น ๆ หรือไง”
“เธอครอบครองรังนกกางเขนตั้งกี่ปี รู้ไหมว่าอวี้อิ๋งต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหนสมัยเธออยู่ในชนบท? ตั้งแต่หล่อนยังเด็กแทบไม่มีอาหารหรือเสื้อผ้าดี ๆ กินใช้เหมือนใครเขา แถมยังถูกพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างทารุณ ในขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอย่างสะดวกสบาย ตอนนี้สถานะของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้อยู่บ้านนอกอย่างดักดาน แถมยังได้แต่งงานกับพี่เขยของพี่เสี่ยวเหมยอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอมันไม่ต่างอะไรจากนางจิ้งจอก”
หลิวลี่ลี่พล่ามยาวเหมือนหมาบ้า ท่าทางฉุนเฉียวเกินจริง “ได้ยินมาว่าเธอทุบตีพี่เสี่ยวเหมยตอนกลับบ้านปีใหม่ด้วยนี่นา นังกาฝากหลงลืมกำพืด วันนี้ฉันจะสั่งสอนเธอเอง”
หลิวลี่ลี่เงื้อฝ่ามือขึ้นหมายจะโจมตีหลินเซี่ย
“คุณคะ ผู้หญิงบ้าคนนี้พยายามจะขัดขวางการซื้อของของพวกเราค่ะ” หลินเซี่ยมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ผลักแขนออกไปสุดแรงเพื่อทำให้อีกฝ่ายล้มลง แล้วแกล้งร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัว
หลิวลี่ลี่ที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหลังล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปที่หลิวลี่ลี่ที่กองอยู่ข้างล่างด้วยความรังเกียจ
งี่เง่า
ทุกคนที่เคยยุ่งเกี่ยวกับหลินเซี่ยเมื่อก่อนต่างก็งี่เง่าพอ ๆ กัน
เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ทั้งเสิ่นเสี่ยวเหมยและเสิ่นอวี้อิ๋งจึงไม่ได้ขยับเข้าไปหาหล่อน
แต่เสิ่นอวี้อิ๋งแสดงน้ำใจโดยการช่วยหลิวลี่ลี่ให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลิวลี่ลี่ยังคงพ่นสาปแช่ง คิดจะตะครุบหลินเซี่ยอีกครั้ง
พนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างสรรพสินค้าที่สวมปลอกแขนสีแดงรีบเดินเข้ามาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย “พวกคุณทำอะไรกันอยู่? ถ้าคิดจะก่อปัญหาก็เชิญออกไปจากที่นี่ซะ”
หลินเซี่ยหยิบเสื้อผ้าของลุงหนิวและลุงหลี่ขึ้นมาถือไว้และบ่นว่า “ฉันพาคุณลุงสองคนนี้มาซื้อของค่ะ แต่พวกหล่อนเดินเข้ามาขวางทางฉันและพยายามจะหาเรื่อง โปรดจัดการเรื่องนี้แทนฉันด้วย”
ลุงหนิวซึ่งตอนแรกยุ่งกับการลองรองเท้าใหม่ พูดด้วยความโกรธว่า “ใช่ ผู้หญิงสมัยนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย แถมพวกเธอยังดูถูกและโจมตีคนอื่นในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง อยากรู้จริง ๆ ว่าพ่อแม่พวกเธออบรมลูกสาวมายังไง”
“สหายคะ เราไม่ได้ตั้งใจจะก่อปัญหา พวกเรากับหลินเซี่ยเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ” เสิ่นอวี้อิ๋งรีบก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างอ่อนหวาน จากนั้นก็หันไปเตือนอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “ลี่ลี่ อย่าไปหาเรื่องเขาสิ”
หลิวลี่ลี่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เดินไปหลบอยู่ข้างหลัง
“หลินเซี่ย ฉันขอโทษด้วยนะ”
“คุณลุงทั้งสองคะ อย่าเพิ่งโกรธเคืองพวกเราไปเลย เพื่อนของฉันคนนี้แค่ใจร้อนไปหน่อย หล่อนแค่อยากเอาชนะแทนฉัน”
เสียงของเสิ่นอวี้อิ๋งนุ่มนวลมากจนทุกคนยอมปิดปากเงียบ
เจ้าหน้าที่รปภ.เห็นว่าพวกเขาไม่มีความขัดแย้งระหว่างกันจริง จึงเดินออกไป
หลินเซี่ยมองอย่างเย็นชา พิจารณาสีหน้าอ่อนแอของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
ช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์จริง ๆ เสิ่นอวี้อิ๋งจงใจนำเสนอตัวเองว่าเป็นเหยื่อต่อหน้าลุงหนิวและคนอื่น ๆ เพื่อที่ในอนาคตหลินเซี่ยจะตกเป็นขี้ปากของพวกเขาจนไม่มีที่ยืนในเขตพักอาศัยของโรงงาน
เสิ่นอวี้อิ๋งหันกลับมามองเธออย่างจริงใจ และขอร้องว่า “หลินเซี่ย ฉันยังหวังว่าเธอจะกลับไปญาติดีกับตระกูลเสิ่นตามเดิมนะ พ่อแม่ของฉันคิดถึงเธอมาก เราพูดคุยกันแล้วว่าบางทีเราสองคนอาจจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันในอนาคตได้”
“อวี่อิ๋ง!” เสิ่นเสี่ยวเหมยขมวดคิ้ว เรียกหล่อนด้วยเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ
ใครคิดถึงเธอกัน?
พี่ชายของหล่อนไม่เคยพูดถึงหลินเซี่ยเลยสักครั้งตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว? พี่สะใภ้หรือก็เอาแต่ทำงานอย่างหนักอยู่ที่โรงพยาบาลและยุ่งอยู่กับการดูแลเสิ่นอวี้หลง จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงหลินเซี่ยกัน
หรือจะเป็นลุง ก็มีโอกาสน้อยมากที่เขาจะคิดถึงผู้หญิงโง่เง่าคนนี้
ลุงของหล่อนไม่ชอบหน้าหลินเซี่ยมาตั้งแต่เด็กแล้ว ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงมักจะหาเรื่องรังแกหลินเซี่ยอยู่บ่อย ๆ โดยได้รับการเข้าข้างจากลุงเสมอ
“ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเสิ่นอีกต่อไป แล้วทำไมฉันต้องกลับไปด้วย?” หลินเซี่ยแสยะปากแล้วถามกลับ
เสิ่นอวี้อิ๋ง ”???”
ในวันที่หล่อนกลับไปที่บ้านตระกูลเสิ่น หลินเซี่ยคนนี้ร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมจากไป แถมยังขอร้องให้พวกเขาเลี้ยงดูเธอให้อยู่ในเมืองต่อไปด้วยซ้ำไม่ใช่หรือไง
หรือพอเธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่มาจากตระกูลดี ก็คิดดูถูกตระกูลเสิ่นขึ้นมา?
“ถึงฉันจะได้เจอครอบครัวที่แท้จริงของตัวเอง ฉันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะดูหมิ่นตระกูลหลินที่อยู่ในชนบทเลยสักครั้ง”
หลินเซี่ยมองเสิ่นอวี้อิ๋ง หัวเราะเย้ยหยันเบา ๆ “เธอนี่มันพระโพธิสัตว์ลงมาจุติจริง ๆ ช่างมีจิตใจดีงามเหลือเกินแม้จะถูกทารุณสารพัด แถมยังตอบแทนความชั่วร้ายด้วยความเมตตา เต็มใจที่จะเป็นพี่น้องกับฉันอีกด้วย ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ใจบุญสุนทานขนาดนี้มาก่อน น่าเลื่อมใสดีแท้”
หลินเซี่ยมองไปที่ใบหน้าไร้เดียงสาของเสิ่นอวี้อิ๋ง ทันใดนั้นความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในใจก็ท่วมท้น
ชาติที่แล้ว เธอหลงประทับใจกับรูปลักษณ์ที่ไร้พิษภัย จิตใจดีงาม และอ่อนโยนของอีกฝ่าย จนยอมกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นโดยไม่เคยฉุกคิดอะไร ผันตัวมาเป็นสาวรับใช้ด้วยความยินดี
หลินเซี่ยมองหน้าหล่อนและเยาะเย้ย “แต่เสียใจด้วย ฉันไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น”
ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นน่าสงสารมากกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งซะอีก “เธอรู้อะไรไหม? สมัยฉันยังอยู่ในตระกูลเสิ่น ฉันอาจจะถูกทารุณทั้งกายและใจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ ฉันถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยรังแกมาตั้งแต่เด็ก คุณเสิ่นเองก็ไม่เคยชอบหน้าฉัน เขามักจะดูถูกฉันอยู่เนือง ๆ ทุบตีฉัน และขังให้ฉันอยู่ในห้องมืดแคบ ๆ บ่อย ๆ บางครั้งก็ไม่ให้กินข้าว เพราะครอบครัวพวกเธอเห็นคุณค่าของลูกชายมากกว่าลูกสาว ทะนุถนอมฟูมฟักแค่น้องชาย ส่วนฉันเป็นแค่ดอกหญ้าที่ไม่มีใครสนใจ ถ้าตอนหลังฉันไม่ถูกส่งไปอยู่ที่บ้านคุณตาโดยมีคุณเซี่ยคอยดูแล เกรงว่าฉันอาจไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ก็ได้ เธอสอบไม่ผ่านสมัยเรียนยังได้โอกาสกลับไปสอบเทียบ แต่ตอนนั้นฉันถูกส่งไปทำงานที่ร้านตัดผมของรัฐในฐานะเด็กฝึกงาน ฮือ ๆ”
ให้ตายสิ นี่ไม่ใช่การแพร่ข่าวลือและทำให้ผู้คนแปดเปื้อนหรอกเหรอ?
คนอื่นอาจจะไม่รู้…
เธอถูกวงการมายาย้อมให้แสดงละครตบตาเก่งกาจโดยปริยาย
ในเมื่อหล่อนกล้าสาดน้ำโสโครกใส่หลินต้าฝูและหลิวกุ้ยอิง ฉันเองก็สาดกลับเป็นเหมือนกัน
อีกอย่าง เธอไม่ได้สร้างข่าวโคมลอยไร้สาระ แค่พูดให้เกินจริงนิดหน่อย
ต่างฝ่ายต่างได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเอง และเริ่มต้นชีวิตใหม่คนละเส้นทาง แต่ในเมื่อพวกหล่อนเลือกที่จะใส่ร้ายป้ายสีเธอ งั้นเรามาเปิดศึกกันเลยดีกว่า
ยี่สิบปีแรกของเธอดีกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งมาก ทำให้ในชาติก่อนเมื่อเธอได้เจอกับเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นครั้งแรก เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกละอายใจต่อสิ่งที่เสิ่นอวี้อิ๋งไม่เคยได้รับ
ชาตินี้ เมื่อได้เจอผู้หญิงหน้าซื่อใจคดอีกครั้ง ฮือ ๆ…
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็คำรามด้วยแรงอารมณ์ “ไร้สาระทั้งเพ ครอบครัวของเราเคยดูถูกและทุบตีเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฉันกำลังพูดเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นขอถามเสิ่นอวี้อิ๋งหน่อยว่าเธอพูดเรื่องไร้สาระหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยก้าวเข้าหาเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยสายตาที่เฉียบคมและก้าวร้าว “เธอกล้าสาบานกับฟ้าไหมว่าที่ผ่านมาไม่เคยรังแกฉัน? ถ้าเธอพูดโกหกขอให้ถูกรถขับชนทันทีที่เธอออกจากห้างไป เธอกล้าพูดแบบนี้หรือเปล่า?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยถูกเธอกดดันกลับ
สายตาที่ร้อนรนเพราะความผิดติดตัวยังคงดุร้าย
“เป็นเพราะแม่บ้านนอกคนนั้นของเธอจงใจสลับทารกเพื่อให้ลูกสาวตัวเองได้มีชีวิตที่ดี เรื่องนี้เธอแก้ตัวไม่ได้” เสิ่นเสี่ยวเหมยเปลี่ยนเรื่อง
หลินเซี่ยพูดอย่างมีหลักการเช่นเดียวกัน “พวกเราไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เมื่อไหร่ที่ความจริงปรากฏ ถ้าแม่ของฉันเป็นคนลงมืออย่างที่เธอกล่าวหาจริง ๆ ฉันนี่แหละจะส่งตัวเธอเข้าคุกด้วยตัวเอง แต่ถ้าคนร้ายเป็นคนอื่น คนคนนั้นก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน อย่าด่วนตอกฝาโลงไปหน่อยเลย”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอหน้ายัยบัวเน่าแล้ว ต่อไปท่าจะมันแล้วล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)