ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 111 โจวลี่หรงมีท่าทีเปลี่ยนไป
ตอนที่ 111 โจวลี่หรงมีท่าทีเปลี่ยนไป
ตอนที่ 111 โจวลี่หรงมีท่าทีเปลี่ยนไป
หลินจินซานมองตามสายตาของลุงหนิวไป ก่อนจะเห็นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องใบหน้าของหญิงสาวซึ่งดูเอื่อยเฉื่อยสบาย ๆ
“หล่อน… หล่อนคือคนรักของเฉินเจียเหอเหรอครับ?” ลิ้นของหลินจินซานพันกันจนพูดผิดพูดถูก
ลุงหนิวพยักหน้า “ใช่ ทำไมคุณถึงตกใจขนาดนั้นล่ะ?”
หลินจินซานรีบวิ่งไปหาหลินเซี่ยเพื่อยืนยันกับเธอด้วยความไม่เชื่อ “คุณคือคนรักของเฉินเจียเหอเหรอ?”
หลินเซี่ยลืมตาขึ้น สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมานั้นดูน่าหมั่นไส้ “ถ้าฉันตอบว่าใช่ พวกคุณจะเชื่อฉันไหม?”
เฉียนต้าเฉิงเองก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดของหลินจินซาน เขาดึงหลินจินชานออกไปและถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นายไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม?”
“เมื่อครู่คุณลุงสองคนในลานบ้านบอกว่าเสี่ยวหลินรอพวกเรามาสองชั่วโมงแล้ว ผมคิดว่าไม่ผิดนะครับ”
เฉียนต้าเฉิงมีท่าทางต่อหลินเซี่ยเปลี่ยนไปทันที เขาเดินเข้ามาหาเธอพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างสุภาพ “คุณผู้หญิง คุณคือคนรักของเฉินเจียเหอจริง ๆ เหรอ? ช่วยพิสูจน์ตัวตนของคุณสักหน่อยได้ไหม?”
หลินเซี่ยไม่ได้ไว้เชิงอะไรนัก เธอเลิกทำสีหน้าเอ้อระเหยลอยชาย แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
“ถูกต้อง เฉินเจียเหอเป็นคนรักของฉัน เขาไปทำงานแล้ว ส่วนฉันเป็นคนรอรับของที่จะมาส่งอยู่ที่นี่แทน ของทั้งหมดคือโทรทัศน์สี เครื่องซักผ้า และจักรเย็บผ้าใช่หรือเปล่า? เถ้าแก่ของพวกคุณแซ่เซี่ยใช่ไหม? ชื่อว่าเซี่ยไห่?”
เมื่อได้ยินว่าเธอรู้จักชื่อของเถ้าแก่ใหญ่ สีหน้าของเฉียนต้าเฉิงก็แสดงความเคารพขึ้นมาโดยพลัน
เขามองไปยังหลินเซี่ย อายเสียจนอยากมุดดินหนี “ทำไมก่อนหน้านี้คุณไม่บอก?”
แย่จริงเชียว ดันไปทำให้ภรรยาของเพื่อนสนิทเถ้าแก่ใหญ่ไม่พอใจเข้าเสียแล้ว
ความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมฉายชัดไปทั่วใบหน้าของหลินเซี่ย “ก็พวกคุณไม่ได้ให้โอกาสฉันพูดนี่”
เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขาที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันราวกับเด็กเพิ่งทำผิด จู่ ๆ ก็ยอมเชื่อฟังเธอทุกอย่าง ไร้ซึ่งอำนาจที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง หลินเซี่ยจึงยกยิ้มพลางเอ่ย
“พวกเราค่อนข้างจะมีวาสนาต่อกันทีเดียว บ้านของฉันอยู่ชั้นสอง ดังนั้นต้องลำบากพวกคุณสองคนแล้ว ช่วยขนเข้าไปในบ้านให้ด้วยนะคะ”
เฉียนต้าเฉิงรีบพยักหน้า “ครับ”
“ซานจื่อ นี่เป็นของมีค่า อย่าให้มันกระแทกอะไร พวกเรายกไปกันเถอะ”
“พี่สะใภ้ อยู่ห่าง ๆ ไว้นะครับ อย่าให้โดนกระแทกเข้า”
หลินเซี่ยหลุดหัวเราะออกมา เธอเป็นพี่สะใภ้ไปแล้วเหรอ?
เธอกล่าวตอบไป “พวกคุณเรียกฉันด้วยแซ่ว่าเสี่ยวหลินเถอะ”
ด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยหากจะทิ้งของไว้ข้างนอก พวกเขาจึงขนสิ่งของทั้งสามชิ้นไปยังบริเวณลานบ้านของ แล้วจึงขนขึ้นไปชั้นบนทีละชิ้น
เมื่อเห็นว่าของสามสิ่งสำคัญมาส่งแล้ว พวกป้าหวังจึงหยุดเต้นรำและวิ่งเข้ามาดูสิ่งของแปลกใหม่
“อุ๊ย โทรทัศน์สีจอใหญ่นี่นำเข้าเสียด้วย ราคาก็คงต้องสองพันกว่าเลยใช่ไหม?”
ลุงหลี่กล่าวว่า “ถ้ามีคูปองอุตสาหกรรม ราคาก็ไม่สูงขนาดนั้น”
“เครื่องซักผ้านี่ก็ไม่เลว เครื่องซักผ้าถังคู่ยี่ห้อโหย่วอี้ ราคาหลายร้อยเชียว”
ลุงหนิวหัวเราะ “เสี่ยวเฉินคนนี้มีฐานะทีเดียว”
“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว คุณไม่เห็นหรือว่าเขามาจากครอบครัวแบบไหน”
ทั้งสามมองมองไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าพลางพูดคุยกัน หลินเซี่ยจึงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “ของพวกนี้เขาให้สหายที่ไว้ใจในเมืองเซินเฉิงช่วยซื้อให้ค่ะ ราคาอาจจะถูกกว่าอยู่บ้าง แต่ไม่ได้รบกวนเงินจากครอบครัวเลย”
“เสี่ยวเฉินมีเพื่อนอยู่ที่เมืองเซินเฉิงด้วยหรือ?”
หลินเซี่ยตอบกลับ
“ใช่ค่ะ หากว่าในอนาคตทุกคนจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ขอให้สหายของเขาซื้อจากเมืองเซินเฉินได้นะคะ”
ป้าหวังพยักหน้า “ดีล่ะ รอลูกชายของฉันแต่งงานเมื่อไหร่ จะขอให้เสี่ยวเฉินช่วยเป็นธุระซื้อทีวีสีจอใหญ่ให้เขาเหมือนกัน”
“ลุงหนิว ป้าหวัง หลังจากติดตั้งโทรทัศน์แล้ว ฉันจะเรียกพวกคุณมาดูโทรทัศน์นะคะ”
“ตกลง”
จากนั้นหลินเซี่ยจึงเดินขึ้นบันได แล้วเปิดประตูเพื่อให้ชายหนุ่มทั้งสองคนเข้าไป
“เบาหน่อย”
เมื่อวางโทรทัศน์สีลง เฉียนต้าเฉิงก็พูดว่า “พวกเราไปย้ายเครื่องซักผ้าขึ้นมากันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวจากการขนย้ายสิ่งของ หลินเซี่ยจึงรีบชงชาให้พวกเขา ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ
ทั้งสองคนใช้เวลาเดินไปเดินมาสามครั้งเพื่อขนของทั้งสามชิ้น.
โทรทัศน์สีเครื่องใหญ่ในยุคนี้มีรูปร่างใหญ่เทอะทะ กระทั่งฝาหลังก็ยังทำด้วยเหล็ก ซึ่งมีน้ำหนักมากเป็นพิเศษ
ด้านนอกของเครื่องซักผ้าก็ทำจากเหล็กเช่นกัน ส่วนฝาด้านบนนั้นทำจากพลาสติก
ทุกอย่างจึงค่อนข้างหนัก
“เชิญนั่งค่ะ” หลินเซี่ยนำชาที่ชงแล้วมาให้พวกเขา “ดื่มชาสักหน่อยนะคะ ฉันเพิ่งชงเมื่อครู่นี้”
ทั้งสองมองไปยังหลินเซี่ยด้วยความอาย ก่อนจะรีบหยิบถ้วยชาไปอย่างเร่งรีบ
เฉียนต้าเฉิงหัวเราะแห้ง ๆ “พวกเราน่ะเพราะทะเลาะกันจึงรู้จักกันดียิ่งขึ้นจริง ใครกันคาดคิดว่าจะขัดแย้งกับพวกเดียวกันเสียอย่างนั้น ที่แท้ก็คนกันเอง”
“นั่นสิคะ ฉันก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน” หลินเซี่ยมองดูพวกเขาอย่างเขินอายยิ่งกว่าเดิม
ใบหน้าของเธอร้อนฉ่าระคนลนลานเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเคยกล่าวว่าจะไปนอนชักดิ้นชักงออยู่หน้าร้านของพวกเขา
“ฉันขอโทษนะคะ หลอกเอาเงินพวกคุณมาตั้งห้าร้อยหยวน เงินนี่ฉันจะคืนให้ค่ะ”
เธอรีบหยิบเงินออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้เฉียนต้าเฉิง
เฉียนต้าเฉิงจะกล้ารับได้อย่างไรว่า “รับไว้ไม่ได้ รับไว้ไม่ได้ครับ มันเป็นการละเมิดสัญญา นี่เป็นสิ่งที่เราควรชดเชยให้”
“แล้วคุณสองคนจะอธิบายให้เถ้าแก่ใหญ่ของพวกคุณฟังว่ายังไง?” หลินเซี่ยยิ้มพลางกวาดสายตามองพวกเขา
หลินจินซานรีบเอ่ยตอบ “เราจะไม่ยักยอกจากค่าวัสดุตกแต่งอย่างแน่นอน”
หลินเซี่ย “…”
เฉียนต้าเฉิงจ้องเขาตาแข็ง
หลังจากดื่มชาเสร็จ เฉียนต้าเฉิงก็ช่วยติดตั้งเสาอากาศโทรทัศน์สีให้
“นี่คือเสาอากาศภายในอาคาร หากสัญญาณไม่ดี คุณสามารถบอกผมได้ แล้วผมจะนำเสาอากาศกลางแจ้งมาให้อีกอันเพื่อรับสัญญาณเพิ่ม”
เฉียนต้าเฉิงดูมีประสบการณ์ไม่น้อย ทั้งยังคุ้นเคยกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทุกประเภท และหลังจากติดตั้งแล้ว เขาก็สอนหลินเซี่ยเปิดโทรทัศน์ “พี่สะใภ้ ออกแรงหมุนไปตามเข็มนาฬิกาให้ได้มากที่สุดนะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะหมุนกลับมาเองได้ง่าย”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว”
เสาอากาศถูกดึงออก จุดเกล็ดหิมะพลันปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ และเมื่อหมุนเสาอากาศก็ได้รับสัญญาณพร้อมกับได้ยินเสียงอย่างช้า ๆ
เมื่อหมุนอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนสถานีรับสัญญาณ ภาพก็พลันชัดขึ้น
“เรียบร้อยแล้วครับ”
เฉียนต้าเฉิงอธิบายเกี่ยวกับการใช้เครื่องซักผ้าอีกครั้งว่า “เครื่องซักผ้านี้ใช้งานง่ายมาก เพียงแค่เปิดเครื่องเท่านั้น ตรงนี้คือปุ่มเปิด แค่กดลงไปก็เรียบร้อยครับ”
หลินเซี่ยยกยิ้ม “ค่ะ ฉันจำได้แล้ว”
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
หลินเซี่ยเอ่ยรั้งพวกเขาไว้อย่างสุภาพ “ได้เวลาอาหารแล้ว พวกคุณอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเถอะค่ะ ฉันจะไปทำอาหาร”
เฉียนต้าเฉิงรีบปฏิเสธ “ไม่ครับ ไม่ ไม่ เรายังมีเรื่องต้องทำอีก”
ไหนเลยจะกล้าอยู่กินข้าวด้วย
เมื่อทั้งสองออกไป หลินเซี่ยจึงปิดประตู ก่อนจะมองไปยังของสำคัญสามสิ่งที่อยู่ในบ้าน ไม่ต้องบอกว่าอารมณ์ของเธอดีขนาดไหน
ในยุคนี้การมีทั้งโทรทัศน์สีและเครื่องซักผ้านั้นถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย เป็นหน้าเป็นตาของการแต่งงาน
ไหนจะจักรเย็บผ้าที่ทำให้เธอสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เองได้ในอนาคต
หลินเซี่ยเปิดโทรทัศน์ หูคอยฟังเสียงจากโทรทัศน์ จากนั้นจึงไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร
เธอหั่นมันฝรั่งสองลูก และพริกแห้งอีกสองสามเม็ด เพื่อจะทำผัดมันฝรั่งเส้นกินกับหมั่นโถว
เมื่อเทพริกแห้งลงในน้ำมัน กลิ่นเผ็ดฉุนก็ตลบอบอวลไปทั่วสารทิศ
ทำเอาเธอสำลักจนน้ำตาน้ำมูกไหล
หลังจากทำอาหารเสร็จ จึงนำหมั่นโถวที่เหลือจากเมื่อคืนมากินกับผัดมันฝรั่งเส้น อาหารมื้อนี้ก็ทำแก้ขัดเท่าที่มีไปก่อน
หลังจากกินข้าวและล้างจานเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“มาแล้วค่ะ”
หลินเซี่ยคิดว่าเป็นเพื่อนบ้าน แต่ทันทีที่เห็นผู้ที่ปรากฏตัวหน้าประตู รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งค้าง ร่างกายพลันตึงเครียดขึ้น ก่อนจะพูดอย่างสุภาพว่า “คุณป้า มาได้ยังไงคะ?”
โจวลี่หรงรู้สึกแปลก ๆ ที่ถูกเรียกว่าคุณป้า
หล่อนเอ่ยว่า “มาเยี่ยมน่ะ”
“เชิญเข้าบ้านค่ะ”
โจวลี่หรงเดินเข้าไปในบ้าน ก็เห็นว่าภายในบ้านมีโทรทัศน์สี รวมถึงจักรเย็บผ้าและเครื่องซักผ้าที่วางอยู่ตรงมุมห้อง
“เจียเหอไปทำงานเหรอ?” โจวลี่หรงถาม
ค่ะ ส่วนหู่จือไปบ้านเพื่อนของเฉินเจียเหอ ดังนั้นจึงเหลือแค่ฉัน เชิญนั่งก่อนค่ะ ” หลินเซี่ยเอ่ยเชิญขณะกำลังยุ่งอยู่กับการชงชาให้อีกฝ่าย
หลังจากรินชาให้โจวลี่หรงแล้ว หญิงสาวจึงนั่งลงข้าง ๆ
ทั้งยังไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับโจวลี่หรง
ถ้าหล่อนไม่มีธุระ ย่อมต้องไม่มาหาแน่
“ช่วงนี้เธอทำอะไรอยู่? กำลังหางานอยู่หรือ?” โจวลี่หรงถาม
หลินเซี่ยเอ่ยตอบไปว่า “ฉันกำลังวางแผนจะเปิดร้านเสริมสวยค่ะ ตอนนี้อยู่ในช่วงเตรียมการ”
“โอ้”
โจวลี่หรงเงียบลงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ฉันมาก็เพื่อถามเธอว่าคราวที่แล้วเธอพูดถึงการผ่าตัดโรคลมชัก เราสอบถามกับแพทย์ในแผนกประสาทวิทยา พวกเขาต่างบอกว่ายังไม่เคยมีการทำการผ่าตัดแบบนี้ที่เมืองไห่เฉิงมาก่อน เธอไปรู้ข้อมูลพวกนี้มาได้อย่างไร?”
หลินเซี่ยตอบกลับด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง “ดูเหมือนว่าจะเคยเห็นในนิตยสารมาก่อนค่ะ ฉันเองก็ลืมไปแล้ว แต่มีการทำแบบนี้จริง ๆ นะคะ จะสอบถามไปยังต่างประเทศก็ได้ อีกทั้งฉันยังจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปบ้านตระกูลเฉิน คุณปู่ของเฉินเจียเหอก็บอกว่ากำลังสอบถามแพทย์แผนจีน จะลองใช้การแพทย์แผนจีนก็ได้ค่ะ”
“อืม”
หลังจากที่โจวลี่หรงพูดจบ ทั้งคู่ก็เงียบลงอีกครั้ง
ต่างคงต่างนั่งเงียบ ๆ อยู่แบบนั้น
“เธอเพิ่งซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเหรอ?” โจวลี่หรงถาม
หลินเซี่ยพยักหน้ารับ “ค่ะ เพิ่งมาส่งเมื่อเช้านี้”
ทั้งสองพูดคุยกันในลักษณะถามคำตอบคำอยู่สักครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงป้าหวังตะโกนออกมาจากข้างนอก
“เสี่ยวหลิน ฉันทำจับฉ่ายไว้ อยากจะมากินสักชามไหม? กินข้าวเสร็จแล้วพวกเราก็ซ้อมเต้นด้วยกัน”
หลินเซี่ยเปิดประตูและพูดกับป้าหวังที่อยู่ด้านนอก
“ป้าหวัง ฉันกินข้าวแล้วค่ะ คุณกับพวกลุงหนิวซ้อมกันไปก่อนเลย อีกสักพักเดี๋ยวฉันตามไปค่ะ”
“มีแขกเหรอ?” ป้าหวังเหลือบมองไปด้านในบ้าน และเห็นหญิงวัยกลางคนซึ่งตัดผมสั้นและสวมชุดสีดำล้วน
หลินเซี่ยแนะนำ “นี่แม่ของเฉินเจียเหอค่ะ”
“โอ้ แม่สามีของเธอนี่เอง ฉันไม่เคยเห็นหล่อนมาก่อนเลย”
ป้าหวังยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นแม่สามีและลูกสะใภ้ก็พูดคุยกันตามสบายเถอะ ฉันไปก่อนนะ”
หลินเซี่ยปิดประตู แล้วนั่งลงอธิบายให้โจวลี่หรงฟัง “ที่เขตอาศัยโรงงานยานยนต์กำลังจะจัดการแข่งขันขึ้นค่ะ ฉันมีหน้าที่ออกแบบท่าเต้นและเข้าร่วมการแข่งขันกับพวกเขา”
โจวลี่หรงพยักหน้า “ดีทีเดียว”
หล่อนแต่งงานกับเฉินเจิ้นเจียงมาหลายปีดีดับแต่กลับไม่เคยกลมกลืนเป็นส่วนเดียวกับชุมชนบ้านพักทหารเลยเสียด้วยซ้ำ กับครอบครัวใหญ่ของตระกูลเฉินยิ่งแล้วใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้หลินเซี่ยดีกว่าหล่อนมากนัก
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คิดได้ว่าทำผิดต่อเซี่ยเซี่ยแล้วตอนแรกๆ มันก็จะเขินๆ แบบนี้แหละค่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ดีขึ้นนะป้า
ไหหม่า(海馬)