ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 119 คนเลือดเย็น
ตอนที่ 119 คนเลือดเย็น
ตอนที่ 119 คนเลือดเย็น
เสิ่นอวี้อิ๋งถูกผู้เฒ่าเสิ่นพาไปแนะนำตัวกับสหายเก่าแก่มากมาย จนกระทั่งทุกคนเข้ามาในสถานที่จัดแสดง ผู้เฒ่าเสิ่นจึงขอให้เสิ่นเสี่ยวเหมยไปส่งเสิ่นอวี้อิ๋งที่หลังเวที
ก่อนที่เสิ่นอวี้อิ๋งจะเข้าไปตรงหลังเวที หล่อนพูดกับผู้เฒ่าเสิ่นและเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างใจกว้างว่า “คุณปู่ พี่สาว อย่าโกรธแม่ของฉันเลยค่ะ อาจเป็นเพราะฉันไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด แม่เลยไม่มีความรู้สึกผูกพันใด ๆ กับฉัน ถึงแม้หล่อนจะเห็นคุณค่าในตัวหลินเซี่ยจริง ๆ แต่นั่นก็เป็นข้อแก้ตัวที่ฉันสามารถเข้าใจได้”
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองเด็กสาวหน้าตาไร้เดียงสา พลางถอนหายใจ “เธอนี่ใจดีเกินไป จากนี้ไปเธอจะต้องยืนหยัดอย่างเข้มแข็งต่อหน้าแม่ตัวเอง อย่าปล่อยให้แม่ไปคบหาสมาคมกับหลินเซี่ยอีก แล้วอย่าได้คิดเจรจาให้พวกเรารับนังนั่นมาเป็นพี่สาวน้องสาวตัวเองด้วย เธออยากเป็นพี่น้องกับคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
เสิ่นอวี้อิ๋งจับมือเธอแล้วพูดเบา ๆ “พี่สาว ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำเพราะเห็นแก่พี่ ฉันรู้ว่าพี่ไม่ได้อยากเป็นน้องสะใภ้ของหล่อนอยู่แล้ว ดังนั้น…”
คำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋งทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยประทับใจ พูดว่า “ขอบคุณที่ยังนึกถึงหัวอกฉันนะ ฉันไม่ได้อยากนับหล่อนเป็นพี่สะใภ้แค่อย่างเดียว แต่ฉันไม่อยากให้หล่อนกลับมาอยู่กับตระกูลเสิ่นของเราอีก ชาติกำเนิดหล่อนมาจากบ้านนอกก็ควรไปแต่งงานกับคนบ้านนอก ไม่ควรกลับเข้ามาในเมืองให้รกหูรกตา”
เสิ่นอวี้อิ๋งถามเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยเสียงกระซิบ “พี่คะ ตอนเด็ก ๆ หลินเซี่ยคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการแสดงด้วยเหรอ?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยแค่นเสียง “พรสวรรค์บ้าบออะไรกัน? หล่อนร้องเพลงห่วยแตกมาตั้งแต่เด็กแล้ว แถมไม่เคยเรียนเต้นมาก่อนเลยด้วย เรียกได้ว่าไม่มีพรสวรรค์อะไรสักอย่าง”
“แล้วทำไมหล่อนถึงขึ้นแสดงด้วยล่ะคะ?” เสิ่นอวี้อิ๋งถามอย่างงุนงง
“ใครจะไปรู้ เธอไม่เห็นเหรอว่าลุง ๆ ป้า ๆ ในโรงงานนั่นต่างก็แต่งหน้าทำผมสวยกันทั้งนั้น พวกเขาคงเป็นหัวเรือหลักในการร้องประสานเสียง ส่วนหลินเซี่ยก็แค่แกล้งขยับปากตามไปอย่างนั้น”
เสิ่นเสี่ยวเหมยรู้จักหลินเซี่ยเป็นอย่างดี เธอไม่เคยเรียนรู้พรสวรรค์ใด ๆ เลยตั้งแต่เด็ก ระดับการศึกษาของเธอก็อยู่ในระดับปานกลาง สรุปแล้วเป็นคนธรรมดามาก แม้หลินเซี่ยจะแต่งหน้าสวยขึ้นแสดง แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายแค่พึ่งพาใบหน้าสวยงามของเธอเพื่อให้การแสดงกลายเป็นจุดเด่นเท่านั้น
เสิ่นอวี้อิ๋งเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลซึ่งกำลังอุ้มเด็กชายตัวเล็ก ๆ ด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้า
ความไม่พอใจฉายวาบในดวงตาของหล่อน
หลินเซี่ยควรกลับไปใช้ชีวิตอัตคัตขัดสนอยู่บ้านนอก แต่ตอนนี้เธอกลับมีความสุขมาก แถมชายหนุ่มหล่อเหลาที่มาจากครอบครัวที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดายังมองหลินเซี่ยด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรักและซื่อสัตย์แบบนั้นอีก
ทำไมกันนะ?
เธอเป็นหัวขโมยที่ขโมยชีวิตสุขสบายของคนอื่นมายี่สิบปีแท้ ๆ ตอนนี้เธอควรแต่งงานกับหวังต้าจ้วงถึงจะเหมาะสม
หลิวจื้อหมิงเองก็มาส่งเสิ่นอวี้อิ๋งที่ประตูหลังเวที “อวี้อิ๋ง พยายามเข้านะ คุณเก่งที่สุดแล้ว”
“ใช่ อวี้อิ๋ง เธอเก่งที่สุด เราทุกคนจะรอปรบมือให้เธออยู่ท่ามกลางหมู่ผู้ชมนะ”
เจียงอวี่เฟยกลอกตาใส่เมื่อเห็นกลุ่มของพวกเขาส่งเสียงเชียร์ดังลั่นจากหน้าประตู
หลิวจื้อหมิงคนนี้น่าขยะแขยงจริง ๆ
เจียงอวี่เฟยต้องการมารอให้กำลังใจหลินเซี่ย แต่เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนอยู่ในแถวของโรงงานยานยนต์ จึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปหา
หลังจากเข้าสู่หลังเวที กลุ่มการแสดงจากโรงงานแต่ละแห่งจะได้รับการจัดสรรพื้นที่สำหรับพักผ่อนเป็นพิเศษ บังเอิญเหลือเกินว่าทีมจากโรงงานยานยนต์และโรงงานเครื่องจักรบังเอิญอยู่ติดกัน
นอกจากการแสดงเดี่ยวของเสิ่นอวี้อิ๋งแล้ว โรงงานเครื่องจักรยังมีการแสดงคอรัสประสานเสียงอีกด้วย
ในบรรดากลุ่มคนจากโรงงานเครื่องจักร ผู้คนทั้งหมดที่เข้าร่วมการแสดงนั่งอยู่ถัดจากโรงงานยานยนต์ เมื่อหลินเซี่ยเห็นพวกเขา ก็ส่งยิ้มทักทายด้วยความคุ้นเคย เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันมานานหลายปีในชาติที่แล้วของเธอ
อีกทั้งพวกเขายังเห็นการเจริญเติบโตของเธอมาโดยตลอด
เธอกล่าวสวัสดีทุกคนด้วยความสุภาพ
ถึงอย่างนั้น ผู้คนจากโรงงานเครื่องจักรก็เอาแต่ล้อมรอบเสิ่นอวี้อิ๋ง และไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
สาวใหญ่คนหนึ่งที่ใช้กิ๊บติดผมเพื่อเก็บผมหน้าม้าทั้งหมดขึ้นไปเหน็บไว้เหนือหน้าผาก พ่นลมหายใจด้วยความโกรธเมื่อเห็นเธอ
ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็จำได้ว่าสาวใหญ่คนนี้คือคนที่เธอเคยตัดผมให้ในชาติก่อน ชื่อวังจินฮวา
หล่อนตัดสินใจวานให้ใครบางคนใช้กรรไกรเล็มผมหน้าม้าใหม่ ซ่อมแซมเส้นผมส่วนที่เสียหายโดยการตัดทิ้ง น่าเสียดายที่จนป่านนี้มันยังยาวไม่เท่ากัน หล่อนจึงใช้กิ๊บเหน็บผมขึ้นไป ถ้ามองใกล้ ๆ จะเห็นว่าหน้าผากด้านบนมีเส้นผมบางส่วนที่ขาดหาย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าหล่อนจะทำใจขึ้นแสดงด้วยทรงผมทุเรศทุรังแบบนี้
ในเมื่อไม่มีใครให้ความสนใจเธอ ดังนั้นหลินเซี่ยจึงเดินจากไปอย่างชาญฉลาด
เธอไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ใช่ลูกสาวของผู้อำนวยการเสิ่นอีกต่อไป ลูกสาวที่แท้จริงยืนหัวโด่อยู่แบบนั้น ใครจะกล้าคุยกับลูกสาวจอมปลอมอย่างเธอ
หลินเซี่ยผู้ซึ่งเคยใช้ชีวิตยืนยาวกว่าทุกคนมาหนึ่งชาติ มีจิตวิทยาที่แข็งแกร่งเพียงพอ สำหรับเธอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลเลย
เมื่อเทียบกับสายตาเยาะเย้ยถากถางและดูถูกเมื่อครั้งเธอต้องทนทุกข์ทรมานในสมัยที่ติดตามเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่ในโรงงานเครื่องจักรเมื่อชาติที่แล้ว สายตาพวกนี้เรียกได้ว่าไม่มีค่า
เธอนั่งลงข้าง ๆ และรอเวลาอย่างสงบเสงี่ยม
ใกล้ถึงเวลาแสดง เสิ่นอวี้อิ๋งก็ยังมาอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ นี่ถือเป็นปัจจัยแห่งความไม่มั่นคงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน จึงพยายามอยู่ห่างจากหล่อนให้มากที่สุด
พิธีกรข้างนอกเริ่มประกาศรายชื่อการแสดงแล้ว รายการของพวกเธออยู่อันดับที่ 10 ต้องรอต่อไปอีกสักพัก
เมื่อพนักงานในโรงงานเครื่องจักรเห็นพี่สาวจางและคนอื่น ๆ ที่มาจากโรงงานยานยนต์ พวกเขาก็เข้ามาพูดคุยกัน
ถือเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะทักทายหลินเซี่ยต่อหน้าเสิ่นอวี้อิ๋ง เพราะพวกเขาจะไม่มีวันทำให้ผู้อำนวยการเสิ่นขุ่นเคืองจากเรื่องแบบนี้เด็ดขาด
ผู้หญิงบางคนถามพี่สาวจางว่าพวกเธอไปดัดผมที่ไหน
พี่สาวจางใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการโฆษณา
“เสี่ยวหลินเป็นคนดัดผมให้พวกเราด้วยตัวเอง เห็นทรงผมและการแต่งหน้าของเราไหม เป็นฝีมือของเสี่ยวหลินทั้งนั้น”
พี่สาวจางดึงหลินเซี่ยเข้ามาและเริ่มโปรโมตต่อไป “พวกคุณมาจากโรงงานเครื่องจักร ดังนั้นน่าจะรู้จักเสี่ยวหลินเป็นอย่างดี หล่อนเติบโตมาในอาคารพักอาศัยในเขตโรงงานเครื่องจักรของคุณ ถ้าใครต้องการดัดผมหรือตัดผมทรงใหม่ สามารถแวะมาที่โรงงานยานยนต์ได้ทุกเมื่อ แล้วถามหาเสี่ยวหลินได้เลย”
“อะไรนะ? หล่อนเป็นคนดัดผมให้คุณเหรอ?”
วังจินฮวามองไปที่พี่สาวจาง แล้วมองไปที่หลินเซี่ยด้วยความไม่เชื่อ
สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่า บ้าไปแล้ว
วันนี้พี่สาวจางมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมและมีเสน่ห์มาก หล่อนม้วนผมตัวเองแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว พวกเราเริ่มดัดผมลงน้ำยากันตั้งแต่เมื่อวาน พี่สาวจ้าวก็เหมือนกัน ฝีมือการดัดผมทุกหัวเป็นของเสี่ยวหลิน ผมเปียที่พี่หลิวถักนั่นก็เป็นฝีมือของเสี่ยวหลินด้วยเหมือนกัน”
“เสี่ยวหลินตัดผมให้ฉันด้วยแหละ แถมหล่อนยังแต่งหน้าให้พวกเราด้วย” หวังซิ่วฟางสะบัดผมแล้วตอบอย่างยิ้มแย้ม
วังจินฮวามองทรงผมคนนั้นสักพัก แล้วมองทรงผมคนนี้สักพัก ไม่ว่าจะเป็นผมทรงไหนก็สวยและทันสมัยมากจริง ๆ
สิ่งที่ทำให้หล่อนรู้สึกเหลือเชื่อที่สุด คือคนที่เนรมิตไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหลินเซี่ย
เป็นไปได้อย่างไร?
ทรงผมอันประณีตของพวกหล่อนกับทรงผมที่เหมือนถูกหนูแทะของตัวเอง เป็นฝีมือของคนคนเดียวกันจริงเหรอ?
ตั้งแต่วันนั้นกับวันนี้ห่างกันไม่นานนัก
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่หลินเซี่ยตัดผมให้หล่อนเสร็จ ก็ได้ยินข่าวทันทีว่าความจริงแล้วเธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของผู้อำนวยการเสิ่น
จากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ถูกมารดาผู้ให้กำเนิดมารับตัวไป
เมื่อหันมองในกระจกเพื่อดูทรงผมอันยุ่งเหยิงของตัวเอง หล่อนก็เสียใจแทบตาย
ถ้าพระเจ้าให้โอกาสเธอย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง หล่อนจะไม่ตัดสินใจสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อประจบประแจงลูกสาวของผู้อำนวยการโรงงานเสิ่นเด็ดขาด ตอนนั้นเมื่อหล่อนเจอกับหลินเซี่ยที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานพร้อมกับกรรไกรในมือ และสอบถามว่ามีใครยอมให้เธอตัดผมฟรี ๆ บ้าง หล่อนคือคนแรกที่อาสา “ฉันเอง!”
ยิ่งวังจินฮวาคิดเรื่องนี้มากเท่าไร หล่อนก็ยิ่งเสียใจและยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อหล่อนเห็นหลินเซี่ยตัดผมสวย ๆ ให้คนอื่นได้ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับไม่ยุติธรรมเอาซะเลย จึงถามด้วยความโกรธว่า “หลินเซี่ย เธอเองก็ตัดผมสวย ๆ เป็นนี่นา แล้วทำไมเธอไม่ยอมตัดผมทรงสวย ๆ ให้ฉันบ้าง? เธอจงใจทำงานชุ่ย ๆ หรือยังไงกัน?”
หลินเซี่ยมองดูผมของหล่อนแล้วยิ้มเจื่อนด้วยความรู้สึกผิด “ต้องขอโทษด้วยค่ะ เป็นความผิดพลาดของฉันเอง”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อย่าไปสนใจตระกูลเสิ่นเลยเซี่ยเซี่ย ทำผลงานโชว์ออกมาให้ดีที่สุดก็พอ
เผอิญว่าเซี่ยเซี่ยคนนี้เติมทรูมาแล้วน่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)