ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 125 ตะลึงจนเหลียวหลัง
ตอนที่ 125 ตะลึงจนเหลียวหลัง
ตอนที่ 125 ตะลึงจนเหลียวหลัง
หลินเซี่ยพาหลินจินซานและหู่จือไปที่ตลาดขายเครื่องครัว
ตลาดขายเครื่องครัวแห่งนี้มีข้าวของจิปาถะขายทุกอย่าง
เดิมทีหลินเซี่ยต้องการซื้ออุปกรณ์เครื่องครัวเข้าไปไว้ในบ้านเช่า จากนั้นจึงซื้อเครื่องนอนให้กับหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยน
แต่เดินเข้าไปได้ไม่ไกลก็เห็นคนขายฟืนตั้งแผงอยู่ตรงทางเข้าตลาด
เธอพูดอย่างตื่นเต้น “ไปถามลุงพ่อค้ากันเถอะว่าเขาขายฟืนยังไง?”
หลินจินซานเดินตามเธอด้วยความสับสน “เธอจะซื้อฟืนเหรอ?”
“ใช่”
“ลุงคะ ฟืนพวกนี้ขายยังไงเหรอ?”
ชายชราก้มตัวพลางพูดว่า “สาวน้อย ฉันขายฟืนนี้ราคามัดละห้าหยวน มันเป็นไม้กิ่งสนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ดีมาก ไม่จำเป็นต้องจุดไฟ เอามาเสียดสีกันก็เกิดประกายแล้ว”
“ลุงมาขายฟืนที่นี่เป็นประจำทุกวันหรือเปล่าคะ?” หลินเซี่ยถาม
“ไม่ทุกวันหรอก ถ้าฝนตกหนักฉันก็เข้าป่าไม่ได้ เพราะต้องเข้าไปตัดก่อนหนึ่งวัน แล้วค่อยแบกออกมาขายในเมืองวันรุ่งขึ้น ค่อนข้างลำบากมาก ถ้าเธอต้องการ ฉันจะขายให้มัดละสามหยวน”
“ได้ค่ะ งั้นฉันขอซื้อหนึ่งมัด” หลินเซี่ยได้ยินแล้วเห็นใจจนไม่อยากต่อรอง ซื้อฟืนมัดหนึ่งทันที และขอให้หลินจินซานช่วยถือ
เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยจ่ายเงินไปแล้ว หลินจินซานก็ทักท้วงอะไรไม่ได้นอกจากแบกฟืนเดินตามออกมา
“คนในเมืองสมัยนี้นิยมใช้เตาแก๊สหรือเตาน้ำมันก๊าดในการทำกับข้าวกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยังซื้อฟืนอยู่ล่ะ? บ้านเกิดเราขายฟืนแบบนี้ในราคา 1.5 หยวนเอง เข้าป่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้มาแล้ว”
หลินเซี่ยมองเขา แสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็น “บ้านเกิดของคุณอยู่ไหนเหรอ?”
“ต่อให้ฉันบอกไปเธอก็ไม่รู้จักหรอก ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” หลินจินซานหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม และไม่คิดจะถามเธอถึงจุดประสงค์ในการซื้อฟืนอีก เดินนำไปข้างหน้า
เมื่อเขาไม่ยอมพูด หลินเซี่ยก็ไม่ถามคำถามเซ้าซี้
ไว้ก่อนเถอะ รอให้แม่และน้องสาวมาถึงในเมืองตอนบ่ายของวันนี้เสียก่อน…
ถึงตอนนั้นเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลินจินซานจะตกใจหรือแปลกใจแค่ไหน?
“เรายังต้องซื้อมีดทำครัว และหม้อเหล็กใบใหญ่ด้วย”
หลินเซี่ยเดินไปที่แผงขายเครื่องครัวเหล็ก เธอตื่นตาตื่นใจมาก ไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนก่อนดี
“เธอยังต้องซื้อหม้อเหล็กใบใหญ่อีกเหรอ?” หลินจินซานอยากรู้อยากเห็นมาก
เธออาศัยอยู่ในอาคารพักอาศัยของโรงงานนี่ ต่อให้ซื้อฟืนและหม้อเหล็กใบใหญ่กลับไปก็ไม่มีพื้นที่ให้ใช้งานอยู่ดี
แล้วทำไมเธอถึงซื้อมัน?
หลินเซี่ยหยิบมีดทำครัวขึ้นมาดูพลางพูดว่า “เดี๋ยวขนของกลับไปแล้วคุณก็จะรู้เอง”
เธอซื้ออุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ มีมีดทำครัว กะละมังพลาสติก ทัพพีและไม้พาย จากนั้นใส่ของทั้งหมดลงในกะละมังแล้วให้หู่จือถือ จากนั้นจึงซื้อหม้อเหล็กใบใหญ่
“ไปกันเถอะ ซื้อของที่จำเป็นครบหมดแล้ว ขาดเหลืออะไรค่อยมาซื้อครั้งหน้า”
หลินเซี่ยเดินนำโดยถือหม้อเหล็กใบใหญ่เอาไว้
หู่จือยังเด็ก เมื่อถือกะละมังที่ทำด้วยเหล็กไว้นาน ๆ มือของเขาก็เจ็บหลังจากเดินไปเพียงสองก้าว
หลินเซี่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ “หู่จือ ส่งให้ลุงเขาถือแทนเถอะ”
หู่จือได้ยินแบบนั้นก็ผลักภาระเข้าไปในมือของหลินจินซานโดยไม่เกรงใจเช่นกัน
หลินจินซานแบกมัดฟืนไว้บนไหล่ ถือกะละมังเหล็กด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แขนของเขาเจ็บร้าวไปหมด
“พวกเรากำลังจะไปไหนกัน?” เขาคร่ำครวญขณะที่เดินตามหลินเซี่ย
“ผู้ชายอย่างคุณแข็งแรงมากไม่ใช่เหรอ? เดินตามฉันมาเงียบ ๆ เถอะน่า”
หู่จือกระโดดขึ้นลงตามหลินเซี่ยเข้าไปในตรอก อยากเห็นปลายทางจนแทบอดใจไว้ไม่อยู่
ในที่สุดหลังจากเดินผ่านตรอกยาวเข้ามา พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กสีเขียวที่สีเริ่มลอก
หลินเซี่ยวางหม้อเหล็กใบใหญ่ลง แล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขเปิดประตู
“ที่นี่คือบ้านใครน่ะ?” หลินจินซานถามอย่างสงสัย
หลินเซี่ยตอบกลับ “นี่คือบ้านที่ฉันเช่าไว้เอง ที่พวกเราซื้อของกันมากมายก็เพื่อนำไว้สำหรับใช้งานในบ้านหลังนี้”
หลังจากเปิดประตูและเข้าไปข้างในแล้ว หลินจินซานก็รีบวางมัดฟืน เดินเข้าไปในลานบ้านอย่างรวดเร็ว มองดูสภาพแวดล้อมของบ้านตรงหน้าแล้วถามว่า “เสี่ยวหลิน เธอเช่าที่นี่ไว้ทำไม?”
“ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เช่าบ้านไว้ให้ครอบครัวน่ะ พวกหล่อนต้องการย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อตั้งร้านขายอาหาร ดังนั้นฉันจึงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน”
หู่จือถามด้วยความตื่นเต้น “คุณย่ากับคุณน้าจะย้ายมาจากชนบทเหรอฮะ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ใช่ แต่เธอเรียกท่านว่าคุณย่าไม่ถูก ต้องเรียกว่าคุณยาย”
“โอ้” หู่จือไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำว่า ‘คุณยาย’ เท่าไหร่นัก
หลินจินซานได้ยินการสนทนาระหว่างเธอกับหู่จือ จึงจับใจความได้ว่าหลินเซี่ยกำลังเตรียมบ้านสำหรับให้ครอบครัวฝั่งแม่ย้ายเข้ามาอยู่
ถ้าขายอาหาร ก็ไม่แปลกที่ต้องซื้อหม้อเหล็กใบใหญ่เพราะทำในปริมาณมากได้ง่ายกว่า
สวนในบ้านเช่าหลังนี้มีต้นไม้สองต้น มีชิงช้าผูกติดอยู่ระหว่างต้นไม้ทั้งสอง บรรยากาศร่มรื่นและผ่อนคลายมาก
หู่จือวิ่งไปนั่งลงบนชิงช้า แกว่งไกวเล่นไปมาด้วยความสนุกสนาน
หลินเซี่ยขนของเข้าไปจัดระเบียบในตัวบ้าน แล้วเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นอับในห้อง
หลินจินซานเองก็ช่วยจัดวางสิ่งของต่าง ๆ ในบ้านอย่างขยันขันแข็ง
หลินเซี่ยออกมาจากห้องครัว แล้วพูดกับหลินจินซานว่า “เรายังต้องซื้อเครื่องนอนเพิ่มอีก”
“ได้ งั้นไปกันเถอะ”
หู่จืออิดออดไม่อยากลงจากชิงช้า
“น้าเซี่ยเซี่ยฮะ พวกคุณไปเถอะ ผมเล่นอยู่ที่นี่คนเดียวได้”
“ไม่ได้ ฉันจะปล่อยให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง? มันไม่ปลอดภัย”
“ล็อกประตูขังผมไว้ก็ได้”
หู่จือเคยชินกับการถูกขังให้อยู่แต่ในบ้าน ถึงแม้จะอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แต่เขาก็สามารถวิ่งเล่นได้อย่างอิสระตามลำพัง
“ไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตา ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
หลินเซี่ยยืนกรานคำเดิม พลางดึงหู่จือให้ออกไปพร้อมกับพวกเขา
พวกเขาไปตลาดเพื่อซื้อผ้าปูที่นอนเพิ่มอีกครั้ง
หู่จือจำทางได้ จึงวิ่งนำไปข้างหน้าก่อนใคร
ขณะเดินอยู่ในซอย พวกเขาเผอิญเดินสวนกับผู้หญิงแต่งตัวสวยทันสมัยที่เคยเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อน
สาวทั้งสองทาลิปสติกสีแดงฉูดฉาด เหมือนเพิ่งไปกินเลือดมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าหลินจินซานหน้าตาดี ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดขนมิงค์ก็จงใจเดินเซถลาเข้ามาหาเขา
หลินเซี่ยเห็นท่าทางและการวางตัวของพวกหล่อน ถึงตระหนักได้ในภายหลังว่าสาวทั้งสองคนนี้อาจเป็นผู้หญิงเสเพลที่หว่านเสน่ห์ไปวัน ๆ
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นมาก่อน คิดว่าพวกเธอแค่ชอบใส่เสื้อผ้าทันสมัย
“นี่ เดินให้มันระวัง ๆ หน่อยสิ” หลินเซี่ยผลักผู้หญิงที่พยายามเข้ามาเกลือกกลั้วกับหลินจินชานออกไป
“กลัวอะไร คิดว่าเราจะแย่งแฟนเธอเหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นดัดผมเป็นลอนใหญ่ มองไปที่หลินเซี่ยด้วยสายตาดูถูก “น่าตลกสิ้นดี ถ้าฉันจะแย่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถหรอก”
แน่ล่ะ พวกหล่อนปฏิบัติกับหลินเซี่ยด้วยความไม่เกรงใจ
หลินเซี่ยถามกลับเสียงเบา “งั้นพ่อแม่ของพวกคุณรู้หรือเปล่าว่าลูกสาวมีความสามารถแบบนี้?”
หลินจินชานรีบไกล่เกลี่ยเรื่องต่าง ๆ ให้จบ “เสี่ยวหลิน ไม่เป็นไร เราโดนตัวกันแค่นิดเดียว”
เนื่องจากหู่จือกำลังเดินนำอยู่ข้างหน้า ทำให้หลินเซี่ยไม่สามารถพูดคำที่ไม่พึงประสงค์มากเกินไป เธอจ้องเขม็งมองไปที่ผู้หญิงสองคน ก่อนจะตามหู่จือไปอย่างรวดเร็ว พาเขาออกไปให้ห่างจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ถ้าผู้หญิงสองคนนั้นอาศัยอยู่ในตรอกนี้จริง เธอคงพาหู่จือมาวิ่งเล่นที่นี่ไม่ได้อีก
หลินจินซานอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง และแล้วผู้หญิงปากแดงคนนั้นก็ส่งสายตาพร้อมกับขยิบตาให้
หลินจินซานตะลึงจนเหลียวหลัง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเดินตามมาสักที หลินเซี่ยจึงหันกลับไปและตะโกนว่า “นี่ มัวดูอะไรอยู่? ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรือไง?”
ดวงตาของหลินจินซานฉายร่องรอยแห่งความลำบากใจ จากนั้นก็รีบวิ่งตามมาติด ๆ
หลังจากซื้อผ้าปูที่นอนและจัดวางของทั้งหมดไว้ในบ้านเช่าอีกครั้ง หลินเซี่ยก็ล็อกประตูให้แน่นหนา ก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกย้ายกันออกไป
หลินจินซานทำงานหนักมาตลอดทั้งช่วงเช้า หลินเซี่ยจึงเลี้ยงเขาด้วยบะหมี่ผัดชามพิเศษ
“พี่ซาน แม่ฉันกับน้องสาวจะมาถึงสถานีรถไฟประมาณบ่ายสี่โมงของวันนี้ ฉันอยากให้คุณช่วยออกมารับพวกเขาที่สถานีรถไฟด้วยได้ไหม?”
หลินจินซานพยักหน้าด้วยความยินดี “ไม่มีปัญหา ไหน ๆ ร้านของเราก็ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟพอดี ตอนบ่ายค่อยมาเรียกฉันก็แล้วกัน”
“ได้ ไว้เจอกันตอนบ่ายนะ”
พวกเขาแยกย้ายกันที่ทางแยกตรงหน้า หลินเซี่ยพาหู่จือไปที่ร้านเพื่อซื้อวัสดุสำหรับประดิษฐ์งานฝีมือส่งครูเมื่อโรงเรียนอนุบาลของหู่จือเปิดภาคเรียน จากนั้นทั้งสองก็กลับไปที่อาคารพักอาศัยในโรงงาน
ทันทีที่มาถึงประตูลานกว้าง ก็ได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินเสียงเพลงที่ดังเสียจนหูหนวกนี้ ก็รู้ว่าชายชราและคุณป้าทั้งหลายสนใจรวมกลุ่มกันเพื่อออกกำลังกายประกอบเพลงอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อเธอและหู่จือเดินเข้าไป ก็เห็นว่าลุงหนิวและลุงหลี่ เป็นผู้นำลุง ๆ ป้า ๆ ที่มักจะนั่งอยู่ตรงมุมลานเพื่ออาบแดด ค่อย ๆ เรียนรู้ท่าเต้นอย่างงุ่มง่าม
ใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล ชายชราท่าทางสง่างามคนหนึ่งในชุดถังจวง* กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งเล็ก ๆ รับชมการเต้นรำของพวกเขาอย่างเพลิดเพลิน
*เสื้อคอจีนปกตั้งสูงผ่ากลางติดกระดุมผ้า
ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“คุณปู่ทวด!” เมื่อหู่จือเห็นชายชราซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ก็รีบวิ่งถลาเข้าไปหาอย่างมีความสุข
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอเซอร์ไพร์สนะคะ ว่าถ้าแม่กับน้องมาถึงแล้วพี่ซานจะตะลึงไหม
แต่งหน้าไม่ผ่านนะคะสาว สนใจจ่ายคอร์สเรียนแต่งหน้ากับเซี่ยเซี่ยไหมคะ เผื่อเรียกลูกค้าได้เยอะกว่านี้
ไหหม่า(海馬)