ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 127 ผู้หญิงคนนี้คือสมบัติล้ำค่า
ตอนที่ 127 ผู้หญิงคนนี้คือสมบัติล้ำค่า
ตอนที่ 127 ผู้หญิงคนนี้คือสมบัติล้ำค่า
หลินเซี่ยรับปากกับเขาไว้นานแล้วว่าจะพาเขาไปส่งลงทะเบียนด้วยตัวเอง เธอถามว่า “พรุ่งนี้ทางโรงเรียนนัดลงทะเบียนกี่โมงเหรอคะ? ฉันจะไปเจอพวกคุณที่โรงเรียนอนุบาล”
“ประมาณสิบโมงเช้า ไว้เจอกันที่หน้าจุดลงทะเบียนก็แล้วกัน”
“ทราบแล้วค่ะ ไว้ฉันจะตามไปที่นั่นนะคะ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของหู่จือเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที พรุ่งนี้เขาจะได้ไปโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ในเขตค่ายทหารแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากสวมชุดทหารเป็นพิเศษ
หลินเซี่ยพาเขาไปที่บ้านเพื่อเก็บเสื้อผ้า และตระเตรียมกระเป๋านักเรียนให้เขา
“คุณปู่ทวด คิดว่าชุดทหารที่น้าเซี่ยเซี่ยเย็บให้ผมดูดีไหมครับ? พรุ่งนี้ผมจะใส่เสื้อตัวนี้ไปโรงเรียน จะได้อวดให้ตงตงดูว่าผมเองก็มีชุดทหารใส่กับเขาด้วยเหมือนกัน”
“เธอตัดเสื้อตัวนี้เองเหรอ?” ผู้เฒ่าเฉินมองดูชุดทหารตัวเล็กที่หู่จือสวมใส่ ดวงตาของเขาเป็นประกาย
ในฐานะอดีตทหารผ่านศึก เขารู้สึกปลื้มปีติเสมอเมื่อเห็นเด็ก ๆ ใส่ชุดลายพรางแบบทหาร
“ใช่ค่ะ ฉันดูแบบจากชุดทหารของเจียเหอแล้วก็ตัดชุดให้เขาโดยลอกแบบมาเลย”
ผู้เฒ่าเฉินถอนหายใจพลางชื่นชมอย่างจริงใจ “เธอนี่มีความสามารถรอบด้านจริง ๆ”
ผู้หญิงคนนี้คือสมบัติล้ำค่า
“คุณปู่ รอให้อากาศอุ่นขึ้นกว่านี้สักนิด ถ้าคุณมีเสื้อผ้าแบบที่ชอบให้บอกฉันได้เลยนะคะ เฉินเจียเหอซื้อจักรเย็บผ้าให้แล้ว ไว้มีเวลาว่างฉันจะเย็บชุดใหม่ให้คุณค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ได้ ถ้าเธอมีเวลาเมื่อไหร่ค่อยตัดเสื้อตัวใหม่ให้ฉันแล้วกัน นี่คือเสื้อตัวเก่งที่ฉันชอบใส่ประจำ แต่ฉันอยากได้สีแดงเข้ม เพราะเบื่อที่จะใส่ชุดสีดำเต็มทีแล้ว “
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
หลินเซี่ยส่งผู้เฒ่าเฉินและหู่จือลงไปที่ชั้นล่าง ทันทีที่พวกเขามาถึงลานกว้าง เลขานุการหลี่ก็ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวหลิน ผมกำลังจะขึ้นไปเรียกคุณอยู่พอดี”
“มาเร็ว ผมจะมอบรางวัลให้”
เลขานุการหลี่ถือหนังสือพิมพ์รายวันไห่เฉิงไว้ในมือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เมื่อวานสหายของเราประสบความสำเร็จอย่างมาก นำชื่อเสียงและเกียรติยศมาสู้โรงงานยานยนต์ของเรา วันนี้ยังได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ด้วย ดูสิ ภาพถ่ายบนพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ชัดเจนดีจริง ๆ เห็นไหมว่าเสี่ยวหลินสวยขนาดไหน ลุงหนิวปีที่แล้วก็เข้าร่วมกิจกรรมด้วย แต่ไม่มีรางวัล รางวัลชนะเลิศจึงตกเป็นของโรงงานเครื่องจักร ตอนนั้นพวกเขาโกรธมากเมื่อเห็นว่าพวกเราได้รางวัล ในที่สุดเราก็โค่นแชมป์เก่าได้”
ทุกคนมีความสุขมากเมื่อเห็นกองข้าวของที่ถูกขนลงมาจากรถ ทุกคนต่างก็รอคอยรางวัลอย่างใจจดใจจ่อ
“เสี่ยวหลิน นี่ของคุณ หมูห้าชั่งและข้าวสารอีกหนึ่งถุง นอกจากนี้ นี่คือประกันแรงงานของทางโรงงานเราประจำเดือนนี้ เนื่องจากเสี่ยวเฉินไม่อยู่ ดังนั้นคุณสามารถรับแทนในนามเขาได้”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเลขาหลี่ค่ะ”
ลำพังหมูห้าชั่งก็มากเกินพอ เพราะหมูหนึ่งชั่งมีราคาประมาณแปดสิบเหมา รวมมูลค่าแล้วก็ประมาณสี่หรือห้าหยวน แถมยังได้รับข้าวสารอีกหนึ่งถุงเต็ม ๆ ด้วย รางวัลที่ได้จากการแข่งขันครั้งนี้คุ้มค่ามากจริง ๆ
“มา ลุงหนิว ลุงหลี่ ถึงตาของพวกคุณแล้ว”
เลขานุการหลี่แจกจ่ายของรางวัลให้พวกเขา บอกลุงหนิวและคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบว่า “ช่วงสองวันนี้อย่าเพิ่งรวมกลุ่มเต้นประกอบเพลงเลย เกิดอุบัติเหตุรถไฟพลิกตกรางในเมืองหนานเฉิง มีผู้เสียชีวิตไม่น้อย ขณะนี้ผู้บริหารโรงงานอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่หนักหน่วง ควรสงวนงานรื่นเริงไว้หน่อย”
เมื่อลุงหนิวได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าตกตะลึง “มีผู้เสียชีวิตด้วยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเราก็รับทราบแล้ว จากนี้จะไม่รวมกลุ่มเต้นไปสักพัก”
ในฐานะชายชราคนหนึ่งจากโรงงานยานยนต์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการผลิตหัวรถจักรมานานหลายทศวรรษ เขารู้สึกไม่สบายใจไม่ต่างกันเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถไฟตกราง
ไม่มีอารมณ์จะเต้นรำอีกต่อไป
ลุงหลี่ที่เพิ่งรับหมูและข้าวสารมา ยัดวัตถุดิบต่าง ๆ ให้หลินเซี่ย “เสี่ยวหลิน ฉันอยู่บ้านคนเดียว ปกติแล้วฉันจะไม่ทำอาหาร แต่ไปอาศัยซื้อข้าวในโรงอาหารของโรงงานกินแทน เนื้อพวกนี้อยู่กับเธอคงมีประโยชน์กว่า”
หลินเซี่ยถือหมูถุงหนึ่งไว้ในมืออยู่แล้ว จึงยิ้มและปฏิเสธ “ลุงหลี่ ฉันเองก็ได้รางวัลเหมือนกัน คุณเอากลับไปเถอะค่ะ
ลุงหลี่พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าครั้งนี้เธอไม่เชิญชวนให้ฉันเข้าร่วม ฉันจะมีโอกาสได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีได้ยังไง? ฉันมอบเนื้อให้เธอก็ถือเป็นการขอบคุณทางอ้อมอย่างหนึ่ง เธอยังเด็ก ควรกินให้มากหน่อย”
ลุงหลี่ยืนกรานที่จะมอบเนื้อให้หลินเซี่ย พูดเสริมด้วยว่าเขาทำอาหารไม่เป็น
ส่วนข้าวสารถุงนี้เขาจะมอบให้ลูกชายเมื่ออีกฝ่ายแวะเวียนมาเยี่ยม
หลินเซี่ยทำได้เพียงรับมันไว้
เธอมองดูผู้เฒ่าเฉินที่ถูกเพื่อนบ้านที่ทยอยเดินมารับของรางวัลผลักห่างออกไป จากนั้นก็ยื่นเนื้อหมูถุงหนึ่งให้เขาพลางพูดว่า “คุณปู่คะ คุณเอาหมูถุงนี้กลับบ้านไปด้วยสิ”
ผู้เฒ่าเฉินมองดูหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ในถุงแล้วโบกมือ “ที่บ้านมีเนื้อเพียงพออยู่”
“เอากลับไปเถอะค่ะ เฉินเจียเหอไม่อยู่ตั้งหลายวัน ลำพังเราสองคนกินหมูสิบชั่งไม่หมดแน่ ที่บ้านไม่มีตู้เย็น ปล่อยทิ้งไว้ก็จะเน่าเสียซะเปล่า”
หลินเซี่ยแสดงความจริงใจแบบนั้น ผู้เฒ่าเฉินจึงไม่ปฏิเสธ หยิบถุงบรรจุเนื้อหมูขึ้นมา “ได้ ฉันจะเอามันกลับไปด้วย”
วันนี้ผู้เฒ่าเฉินมาที่นี่โดยรถโดยสารประจำทาง หลินเซี่ยจึงเดินออกไปส่งเขากับหู่จือขึ้นรถ
พอกลับมาที่บ้านก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงเท่านั้นเอง ยังเหลือเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนจะขึ้นรถไฟมาถึงไห่เฉิง
พี่สาวหยางแวะมาหาอีกครั้ง ขอให้หลินเซี่ยช่วยทำผมให้ บอกว่าหล่อนต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานในวันมะรืนนี้ แต่วันพรุ่งนี้หล่อนต้องออกไปหาซื้อเสื้อผ้า ทำให้ไม่มีเวลาดัดผม ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะทำผมในวันนี้เลย
เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่ หลินเซี่ยจึงบอกให้หล่อนเข้ามาสระผมที่บ้าน
หลินเซี่ยตัดผมให้ตามคำขอของพี่สาวหยาง จากนั้นก็หนีบเกลียวม้วนผม ตั้งใจว่าจะอบไอน้ำเป็นขั้นตอนต่อไป
พี่สาวหยางยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวหลิน มีเธออยู่ที่นี่ก็ยิ่งสะดวกสำหรับเราทุกคนในการทำผม เราประหยัดเงินและเวลาในการต่อคิวที่ร้านข้างนอกไปเยอะเลย ไม่มีเธอสักคน ฉันคงต้องควักเงินจ่ายค่าทำผมหลายหยวน”
หลินเซี่ยได้ยินแบบนั้นก็คิดว่าพี่สาวหยางอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าเธอเปิดให้บริการทำผมฟรีภายในเขตพักอาศัยของโรงงาน ขณะก้มไปเสียบปลั๊กไฟจึงอธิบายว่า
“พี่สาวหยาง ฉันเปิดร้านที่นี่ก็คิดเงินเหมือนกันค่ะ แต่เห็นแก่พวกเราอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน แล้วฉันก็เปิดบ้านให้บริการง่าย ๆ งั้นฉันจะคิดราคาทุนให้ในราคาหัวละสามหยวนก็แล้วกัน”
เมื่อพี่สาวหยางได้ยินแบบนั้น เธอก็ตื่นตระหนกทันที โยกหัวจนหัวเกือบโขกเข้ากับหมวกอบไอน้ำด้านบน จากนั้นก็ถามเสียงสูง “พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ดัดผมกับเธอฟรี ๆ หรอกเหรอ?”
“ที่ผ่านมาเป็นกิจกรรมเพื่อส่วนรวมนี่คะ ทางโรงงานมีงบสำหรับลงทุนด้านการแสดงอยู่แล้ว”
เนื่องจากชุดกีฬาทั้งหมดซื้อด้วยกองทุนกิจกรรมของโรงงาน เธอจึงควักเงินจ่ายค่าน้ำยาดัดผมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เหลือแค่พี่สาวจางและพี่สาวจ้าวที่ยังไม่ได้จ่ายค่าดัดผมให้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าจะไม่คิดเงินพวกเธอ
แต่พี่สาวหยางคนนี้กลับไม่คิดจะควักเงินจ่ายด้วยซ้ำ
เธอต้องการเปิดร้านและทำธุรกิจ แน่นอนว่าไม่สามารถเรียกเก็บเงินค่าอุปกรณ์เพียงเพราะมีอุปกรณ์อยู่ที่บ้าน
นอกจากนี้ เธอไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้เสียหน่อย
“สามหยวนแพงเกินไป” พี่หยางลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ถ้าฉันรู้ตั้งแต่แรกว่าเธอคิดเงินแพงขนาดนี้ ฉันคงออกไปทำผมที่ร้านเองแล้ว เราเป็นเพื่อนบ้านกันแท้ ๆ ทำไมไม่อนุโลมให้กันเลยล่ะ”
“หมวกอบไอน้ำที่คุณใช้ฉันก็เสียเงินซื้อเหมือนกัน ค่าไฟบ้านฉันก็ยังต้องจ่าย ค่าน้ำยาดัดผมก็ใช่จะถูก ค่าแรงและค่าวิชาชีพของฉันก็ถือเป็นเงินเหมือนกัน ร้านเสริมสวยที่อื่นในเมืองนี้คิดราคาอยู่ที่ห้าหยวน แต่ร้านฉันเรียกเก็บเงินจากคุณสามหยวนเท่านั้นเอง เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนบ้าน ในเมื่อคุณคิดว่ามันแพง งั้นก็ไม่ต้องทำค่ะ”
หลินเซี่ยถอดปลั๊กไฟออกโดยตรง ไม่คิดจะอบไอน้ำต่อให้อีกฝ่าย
ช่างสิ้นเปลืองน้ำยาดัดผมโดยเปล่าประโยชน์จริง ๆ
“ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ล่ะ? ถ้าไม่ดัดต่อแล้วฉันจะทำยังไง?”
เกลียวม้วนผมก็หนีบไว้หมดแล้ว จะให้ออกไปร้านทำผมด้วยสภาพแบบนี้น่ะเหรอ?
ต่อให้ไปทั้งแบบนี้ ร้านเสริมสวยก็คิดราคาห้าหยวนเหมือนกันนั่นแหละ
“คุณไม่อยากจ่ายเงินเองนี่ ทัศนคติของคุณก็แย่มากด้วย ทำไมฉันต้องดัดให้คุณฟรี ๆ?”
ขณะที่พวกเธอกำลังถกเถียงกัน พี่สาวจางและหวังซิ่วฟางก็มาที่ประตู
หลินเซี่ยเดินไปเปิดประตูให้ พอพี่สาวจางซึ่งยืนอยู่หน้าประตูเห็นว่าหลินเซี่ยมีสีหน้าจริงจังระคนไม่พอใจ เมื่อมองผ่านไปก็เห็นพี่สาวหยางมีสีหน้าไม่ต่างกัน จึงถามด้วยรอยยิ้ม
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเซี่ยอธิบาย “พี่สาวหยางมาขอให้ฉันดัดผมให้ ฉันเรียกเก็บค่าทำผมจากเธอแค่สามหยวนในราคาทุนเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านเรือนเคียง แต่หล่อนกลับคิดว่ามันแพงและไม่ยอมจ่าย ฉันเลยไม่คิดจะดัดผมให้หล่อนต่อ”
หลินเซี่ยอุตส่าห์คิดราคาพิเศษให้แล้วแท้ ๆ ผู้หญิงคนนี้ยังคิดจะหยิบยกเหตุผลทางศีลธรรมมาอ้างอีกเหรอ
เป็นเพื่อนบ้านแล้วต้องเอาเปรียบเพื่อนบ้านฟรีหรือไง?
หวังซิ่วฟางมองพี่สาวหยางด้วยสายตาดูถูก “สามหยวนเนี่ยนะแพงเกินไป??”
พี่สาวหยางบ่นพึมพำ “เธอดัดผมให้ทุกคนฟรีไม่ใช่เหรอ? ฉันก็คิดว่าเธอทำผมให้ฟรีเหมือนกัน”
“คุณนี่ไม่มีหัวคิดจริง ๆ เลย”
พี่สาวจางหยิบเงินสิบหยวนออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วมอบให้หลินเซี่ย “เมื่อวานฉันยุ่งมากจนลืมให้เงินเธอไปซะสนิท นี่คือเงินค่าดัดผมของฉัน และเงินของพี่สาวจ้าวที่ฝากมาให้ เธอรีบรับไว้เร็วเข้า เธอควักเงินออกค่าอุปกรณ์ทั้งหลายเองก็หนักพออยู่แล้ว ได้ยินมาน้ำยาดัดผมขวดนั้นต่อให้มีเงินจ่ายก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่าย ๆ พี่สาวเห็นทรงผมใหม่ของฉันเมื่อเช้า เธอวิจารณ์ว่าต้องเป็นน้ำยาดัดที่มีคุณภาพสูงมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่คงทนและนิ่มสลวยเนียนตาแบบนี้แน่ ส่วนใหญ่หลังจากอบไอน้ำ ผมจะแห้งกรอบเหมือนกับหญ้าขาดสารอาหาร”
หลินเซี่ยรีบปฏิเสธไม่รับ “พี่สาวจาง ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราทุกคนต่างก็ต้องลงทุนเพื่อกิจกรรมส่วนรวมกันทั้งนั้น”
“ไม่ได้ เธอต้องรับไว้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะฉวยโอกาสใช้งานเธอฟรี ๆ อีก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยไม่ได้ตัดผมทำผมให้ฟรีนะคะ จ่ายตังค์ด้วยค่าอย่ามาเนียนทำฟรี
ไหหม่า(海馬)