ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 129 พี่ชายกับน้องสาวรู้จักกัน
ตอนที่ 129 พี่ชายกับน้องสาวรู้จักกัน
ตอนที่ 129 พี่ชายกับน้องสาวรู้จักกัน
หลินจินซานเดินไม่ไหวแล้ว หลินเซี่ยจึงหันหลังกลับมาเพื่อดึงเขาและเบียดแทรกผู้คนไปจนสุดทาง
รถไฟยังมาไม่ถึงสถานี แต่ทั้งสองเบียดเสียดรอรถไฟกันอยู่ที่ด้านหน้า
หลินจินซานยืนนิ่งอยู่ได้สองนาทีก็มีเรื่องอีกแล้ว “ไม่ได้ ผมต้องไปเข้าห้องน้ำ พี่เฉิงขึ้เอาเปรียบนั่นเอาแต่เร่งให้ผมทำงาน ไม่ให้เวลาไปเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ”
หลินจินซานบอกกับหลินเซี่ย “เสี่ยวหลิน รออยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำสาธารณะที่ด้านนั้น”
“ไปเข้าห้องน้ำอะไรกันล่ะ อดทนไว้ก่อน” หลินเซี่ยเอ่ยเสียงแข็ง และเกรงว่าเขาจะวิ่งหนีจึงคว้าแขนไว้
หลินจินซานกุมท้องพร้อมเอ่ยคร่ำครวญ “ผมไปห้องน้ำก็ไม่ได้เหรอ? ผมจะรีบกลับมา”
หลินเซี่ยขู่เขาเสียงดุ “ไม่ได้ ถ้าคุณออกไปตอนนี้ ฉันจะให้เฉียนต้าเฉิงไล่คุณออก”
ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ยังจะไปเข้าห้องน้ำอะไรอีก?
ต่อให้หลินจินซานจะไม่รู้สถานะของเธอหรือไม่รู้ว่าครอบครัวของเธอคือใคร แต่หากมีอะไรผิดพลาดขึ้น เขาก็ต้องอดกลั้นเอาไว้แม้ว่าวันนี้จะต้องปัสสาวะรดกางเกงก็ตาม
เวลาทำงานเขาดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก ขอเพียงให้เขาอยู่ใต้อาณัติเธอ เธอจึงจะวางใจ
หลินเซี่ยขู่เพียงประโยคเดียว หลินจินซานก็กลัวมากเสียจนปัสสาวะหดย้อนกลับไปครึ่งหนึ่ง
ไม่ใช่แค่เฉียนต้าเฉิงที่ชอบเอาเปรียบเท่านั้น สาวสวยน่ารักที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้กลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่า
หลินเซี่ยดึงหลินจินซานพลางมองทางออกด้วยความกระวนกระวายและตื่นเต้น
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลินจินซาน และเอ่ยดักคอไว้ล่วงหน้า “พี่ซาน คุณบอกว่าน้องสาวคุณชื่อเดียวกับฉัน อีกทั้งเราสองคนยังมีวาสนาต่อกันจริง ๆ ถ้าคุณมีน้องสาวแบบฉันจริง ๆ คุณจะรู้สึกอย่างไร?”
หลินจินซานได้ยินดังนั้นก็โพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าฉันคงจะตื่นขึ้นมาหัวเราะในความฝัน”
“เสี่ยวหลิน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ฉันไม่ได้พูดแบบนี้เพราะสามีของเธอเป็นพี่น้องสนิทกับเถ้าแก่ใหญ่ของเรา ฉันเองก็คิดว่าเราสองคนมีวาสนาต่อกันจริง ๆ การได้เห็นเธอทำให้รู้สึกอบอุ่น และเธอก็เหมือนคนคนหนึ่งเป็นพิเศษ”
“เหมือนใครเหรอคะ?” ดวงตาของหลินเซี่ยสว่างขึ้นเล็กน้อยขณะที่เธอมองไปยังหลินจินซานพร้อมเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
“เหมือน…”
“เหมือน…” หลินจินซานไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไร สายตาของเขาจ้องมองตรงไปข้างหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นี่เขาเห็นภาพหลอนหรือเปล่า?
คิดถึงใครก็เห็นเป็นคนนั้นงั้นหรือ?
เขากระพริบตาแรง ๆ
“คุณเป็นอะไรไป อ้อม ๆ แอ้ม ๆ อยู่ได้ ฉันเหมือนใครเหรอคะ?”
หลินเซี่ยมองตามสายตาของเขา แล้วก็พบเข้ากับผู้หญิงสองคนซึ่งสะพายกระเป๋าผ้าไนลอนทั้งใบเล็กใบใหญ่ที่กำลังเบียดเสียดอยู่ที่บริเวณทางออก
เธอพูดอย่างร่าเริงว่า “แม่และน้องสาวของฉันออกมาแล้ว”
“แม่ เสี่ยวเยี่ยน” หลินเซี่ยออกแรงโบกมือไปทางหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน
หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนรู้สึกประหม่า พยายามเบียดตัวออกไปพร้อมกับฝูงชนที่ลงจากรถไฟและออกจากสถานี ในเขณะเดียวกันก็กวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อมองหาหลินเซี่ย
ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนอันคุ้นเคยก็รีบมองมาทางนี้
ดวงตาของหลิวกุ้ยอิงสบกับหลินเซี่ยที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของทางออก ก่อนจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ
หล่อนจับมือหลินเยี่ยนที่กลัวจะพลัดหลงกันด้วยมือเดียว และรีบเอ่ยยืนยันกับหล่อนว่า
“เสี่ยวเยี่ยน รีบดูสิ นั่นพี่ชายของลูกไหม? พี่ชายของลูกมากับพี่สาวของลูกใช่ไหม?”
หลินเยี่ยนพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
“พี่ซาน คนที่สวมชุดสีดำและสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินคือแม่และน้องสาวของฉัน ไปกันเถอะ ไปช่วยพวกหล่อนถือกระเป๋ากัน”
“อะ… อะไรนะ? สองคนนั้นคือแม่และน้องสาวของเธอเหรอ?”
หลินจินซานมองไปยังผู้หญิงสองคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่หลินเซี่ยกำลังมองไปอีกครั้ง
“เสี่ยวเยี่ยน อย่ารีบร้อน อย่าโดนเบียดจนพลัดหลงไป”
สมองของหลินจินซานหมุนวนในขณะที่เขาปล่อยให้หลินเซี่ยดึงแขนของเขาไป สายตาเอาแต่มองไปยังผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคยซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างงุ่มง่าม
ที่สถานีรถไฟทั้งวุ่นวายและเสียงดัง แต่เขารู้สึกราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งยังสูญเสียความสามารถในการคิดโดยสิ้นเชิง
ในที่สุดพวกหลิวกุ้ยอิงก็เบียดเสียดฝ่าผู้คนมาอยู่ตรงหน้าหลินเซี่ยและหลินจินซาน
“เซี่ยเซี่ย” หลิวกุ้ยอิงมองไปมาระหว่างใบหน้าของหลินเซี่ยและหลินจินซาน สีหน้าของหล่อนตื่นเต้นอย่างยิ่ง “ลูกพบพี่ชายของลูกแล้ว?”
หลิวกุ้ยอิงทิ้งกระเป๋าผ้าไนลอนลงและคว้ามือของหลินจินซานไว้ ก่อนจะร้องไห้ออกมา “จินซาน ลูกหายไปไหนมาเป็นปี แม่กังวลแทบตาย ลูกรู้หรือเปล่า?”
ในเวลานี้หลินเซี่ยก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เธอชี้ไปยังหลินจินซาน แล้วเอ่ยถามหลิวกุ้ยอิง “แม่คะ แม่หมายความว่ายังไง? นี่คือลูกชายของแม่เหรอคะ?”
“พวกลูกไม่รู้จักกันเหรอ?” หลิวกุ้ยอิงถามพร้อมมองพวกเขาอย่างสงสัย
“รู้จักน่ะรู้จัก เขาเป็นเพื่อนของหนูค่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าพี่ชายของหนูหน้าตาเป็นยังไง? ไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายตัวเอง คิดเพียงว่าเขามีชื่อแซ่เดียวกัน ส่วนเขาเองก็ไม่ได้บอกหนูว่าเขาเป็นคนที่ไหน”
หลินจินซานพูดด้วยสำเนียงทางใต้เพื่อปลอมตัวเป็นคนทางใต้มาตลอดทั้งวัน
หลินเซี่ยพูดคุยกับหลิวกุ้ยอิงด้วยน้ำเสียงปกติเป็นธรรมชาติ หลินจินซานพลันได้สติ
“แม่ เสี่ยวเยี่ยน ทำไมถึงเข้ามาในเมืองกัน? แล้วทำไมเธอถึงเรียกแม่ว่าแม่?”
ในเวลานี้ ทั้งหลินจินซานและหลินเซี่ยต่างก็มองไปยังหลิวกุ้ยอิง ทั้งคู่มีสีหน้าตกตะลึงและต่างเอ่ยถามหล่อนด้วยต้องการคำตอบ
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่พวกเขาแล้วอธิบายว่า “จินซาน ในช่วงหนึ่งปีที่ลูกไม่อยู่บ้านมีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่น้อย นี่คือน้องสาวตัวจริงของลูก คนที่ครอบครัวของเราเลี้ยงดูมานั้นเป็นลูกของคนอื่นที่อุ้มมาผิดฝาผิดตัว”
“อะไรนะ เสี่ยวหลินเป็นน้องสาวของผมเหรอครับ?” เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจของหลินจินซานดังก้องไปทั่วบริเวณ ดังกว่าเสียงจอกแจกจอแจของสถานีรถไฟ ทำให้ดึงดูดสายตาจากกลุ่มผู้โดยสารและคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
“ไปเถอะ พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อน เกะกะขวางทางคนอื่นแล้ว”
หลินเซี่ยยกยิ้มให้หลินจินซานพร้อมเอ่ย “พี่ซาน รีบถือกระเป๋าตามมาเร็ว ๆ ค่ะ”
“เอ่อ.. ได้ ๆ”
“แม่ เสี่ยวเยี่ยน เอากระเป๋มาให้ผม”
หลินจินซานไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไป เขาแบกกระเป๋าผ้าไนลอนสองใบไว้บนบ่าโดยไม่หยุดพักพร้อมกับครอบครัวที่เดินออกมาจากสถานีรถไฟ
“นั่งรถมานานขนาดนี้ต้องหิวกันแล้วแน่เลย พวกเราแวะกินข้าวกันก่อนเถอะ หาที่นั่งคุยกันดี ๆ สักหน่อย”
เมื่อพบร้านอาหารใกล้สถานีรถไฟ ทุกคนจึงเข้าไปนั่ง หลินจินซานรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อกลับมา เขาก็เอ่ยถามหลิวกุ้ยอิงไปเรื่อย ๆ ขอให้หล่อนเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินเซี่ยสั่งบะหมี่ให้ทุกคน คนละหนึ่งชาม
หลิวกุ้ยอิงเทน้ำซุปบะหมี่ให้พวกเขา ส่วนตัวเองไม่ได้กิน เพียงมองดูลูกชายและลูกสาว น้ำตาแห่งความปีติก็พลันไหลเอ่อ
“แม่ สรุปแล้วเรื่องราวมันเป็นยังไงครับ?” หลินจินซานยังคงกังวลถึงเรื่องนี้ “อย่าเพิ่งร้องไห้สิครับ บอกผมมาเร็ว ๆ ว่าทำไมจู่ ๆ ผมก็มีน้องสาวเพิ่มมาอีกคน?”
หลิวกุ้ยอิงปาดน้ำตาพลางมองเขาแล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จู่ ๆ ก็มีคนมาที่บ้านของพวกเราแล้วบอกว่าเด็กที่ฉันให้กำเนิดถูกคนอื่นอุ้มผิดไป พวกเขาได้เจาะเลือดของแม่และเลือดน้องสาวของลูกเพื่อนำไปตรวจสอบ หลังจากนั้นก็เอาไปตรวจหาความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรนั่น ก็ได้ผลมาแน่นอนว่าเด็กที่เราครอบครัวของเราเลี้ยงดูคือลูกสาวของคนในเมือง พวกเขาจึงมาพาตัวน้องสาวคนนั้นของลูกไป ก่อนจะแจ้งให้เราเข้าเมืองมาเพื่อรับน้องสาวที่แท้จริงของลูกกลับบ้าน”
“สวรรค์ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
หลินจินซานรีบหันไปหาหลินเซี่ยพร้อมจ้องมองเธอเพื่อขอคำยื่นยัน “เสี่ยวหลิน คุณเป็นน้องสาวของผมจริง ๆ เหรอ?”
หลินเซี่ยถอนหายใจเมื่อสบตาเข้ากับสายตาคาดหวังของเขา “ตัดสินจากสถานการณ์แล้วก็คงจะเป็นไปตามนั้นค่ะ”
“พระเจ้า เรามีวาสนาต่อกันจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเธอช่างอบอุ่น ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันนี่เอง”
หลินจินซานต้องการกอดเธอ เขาอ้าแขนออก แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบหุบแขนลง
จากนั้นเขาก็มองเธอพลางถูมือตัวเองไปมา ทั้งยังยิ้มแหย ๆ ตลอดเวลา
“นั่งลงสิ ยิ้มแหย ๆ ทำไมน่ะ?”
หลินจินซานนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยถามหลินเซี่ย “แล้วยายตัวร้ายนั่นเปลี่ยนไปอยู่ที่ไหน? น้องสาว เมื่อก่อนเธออยู่ที่ไหนเหรอ?”
หลินเซี่ยตอบ “หล่อนเป็นลูกสาวของผู้อำนวยเสิ่นหางโรงงานเครื่องจักรไห่เฉิง ตอนนี้หล่อนชื่อเสิ่นอวี้อิ๋ง”
หลินจินซานได้ยินดังนั้น ก็ถากถางเบา ๆ “ให้ตายสิ ชีวิตของยายตัวร้ายนั่นดีทีเดียว”
หลินเซี่ยได้ยินถ้อยคำถากถางของหลินจินซานจึงมองเขาพร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยถาม “ได้ยินข่าวแบบนี้แล้วคุณไม่เศร้าเลยเหรอคะ? อย่างไรเสียคุณก็อยู่ร่วมกับเสิ่นอวี้อิ๋งมายี่สิบปี ยอมรับความจริงข้อนี้ง่าย ๆ เลยเหรอ?”
“คงเสียใจอยู่หรอก ดีใจมาก ๆ เลยต่างหาก”
เมื่อพูดถึงเสิ่นอวี้อิ๋ง หลินจินซานก็พลันโมโหขึ้นมา
เขาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เรื่องนี้ให้แม่กับเสี่ยวเยี่ยนบอกดีกว่าไหมว่าทำไมฉันถึงต้องหนีออกจากบ้าน?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สาเหตุที่พี่หนีออกจากบ้านเป็นเพราะยัยอวี้อิ๋งนั่นหรือเปล่านะ ฝีมือไม่เบาเลยยัยคนนี้
ไหหม่า(海馬)