ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 131 นี่มันปีศาจแบบไหนกัน
ตอนที่ 131 นี่มันปีศาจแบบไหนกัน?
ตอนที่ 131 นี่มันปีศาจแบบไหนกัน?
หลินจินซานเอ่ยถามหลินเยี่ยน “เสี่ยวเยี่ยน เธออ่านสมุดบันทึกพัง ๆ เล่มนั้นแล้วหรือยัง? ในนั้นเขียนว่ายังไงบ้าง?”
หลินเยี่ยนตอบอย่างระมัดระวัง “ตอนที่เก็บข้าวเก็บของ ฉันเปิดดูผ่าน ๆ เห็นมีหน้าหนึ่งเขียนไว้ว่าหล่อนบังเอิญได้ยินแม่บอกคุณยายว่าจะเอาเงินบำนาญของพ่อให้พี่ไปแต่งสะใภ้เข้าบ้าน เสิ่นอวี้อิ๋งกลัวว่าคุณยายจะใช้เงินนั้นไปกับพี่ แล้วตัวหล่อนเองจะไม่มีเงินไปเรียนมหาวิทยาลัยในอนาคต หล่อนจึงบอกว่าเงินที่แม่ได้รับจากงานเสริมอื่น ๆ นั้นไม่เพียงพอให้หล่อนใช้จ่ายในโรงเรียน หล่อนยังบอกด้วยว่าพ่อรักหล่อนที่สุด เงินบำนาญของพ่อควรเป็นของหล่อน แต่หล่อนรู้ว่าพี่เป็นลูกชายคนโตย่อมต้องใช้เงินไปกับแต่งงานในอนาคตอย่างแน่นอน หล่อนจึงตั้งใจใส่ร้ายป้ายสีพี่ ทำให้พี่เสียชื่อ และบีบบังคับให้พี่ต้องออกจากบ้านไป”
หลินจินซานเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลินเยี่ยนก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห “อะไรนะ? นางปีศาจนี่! ผมบอกแล้วว่าเธอจงใจปั้นเรื่องใส่ร้ายผมแต่พวกคุณกลับไม่เชื่อ! แม่ได้ยินที่เสี่ยวเยี่ยนพูดแล้วใช่ไหม? หล่อนกลัวว่าผมจะใช้เงินบำนาญของพ่อก็เลยบีบให้ผมต้องออกจากบ้าน จิตใจของเด็กสาวอย่างหล่อนทำไมถึงอำมหิตได้ถึงขนาดนี้? ครอบครัวของเราเลี้ยงดูปูเสื่อหล่อนมาตั้งหลายปี แม้ว่าพ่อจะจากไปแล้ว แต่พวกเราต่างก็บอกให้หล่อนตั้งใจเรียน หากสอบได้ในอนาคต พวกเราก็ยอมเทหมดหน้าตักเพื่อหล่อน”
“จริงสิ แล้วปีก่อนหล่อนสอบผ่านหรือเปล่า?” หลินจินซานเปลี่ยนเรื่องพลางหันไปถามหลิวกุ้ยอิง
หลิวกุ้ยอิงสั่นศีรษะ “เปล่า ก่อนที่หล่อนจะรู้เรื่องครอบครัวที่แท้จริง หล่อนกำลังเรียนซ้ำชั้นอยู่”
“ฮึ ยังปล่อยให้หล่อนเรียนซ้ำชั้นอีก” หลินจินซานเอ่ยอย่างหงุดหงิดด้วยเสียงเย็นเยียบ “หล่อนไม่เคยปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลย เป็นคนของครอบครัวอื่นก็ย่อมมีช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์แบบนี้แหละ”
“เซี่ยเซี่ย เอาสมุดบันทึกพัง ๆ นั่นออกมา ฉันอยากรู้ว่ามีอะไรเขียนไว้ในนั้นอีก”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยหยิบสมุดบันทึกออกมา ก่อนจะเปิดไปสองหน้าตามใจนึก
วันที่ด้านบนของหน้ากระดาษเขียนไว้ว่าปี 1987 และบันทึกว่าหล่อนรู้สึกอย่างไรในช่วงเวลาที่หลินต้าฝูเสียชีวิต
มีความโศกเศร้าเสียใจอยู่ท่ามกลางตัวอักษร ซึ่งบอกได้ว่าหล่อนก็ยังมีความผูกพันกับหลินต้าฝูอยู่บ้าง
แต่มีประโยคหนึ่งที่เผยให้เห็นลักษณะนิสัยของหล่อน
“คนที่มีความสามารถมากที่สุดในตระกูลหลิน ทั้งยังที่ปฏิบัติต่อฉันอย่างดีที่สุดนั้นได้ตายไปแล้ว เป็นความจริงที่ว่าคนดีจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ส่วนพวกสวะที่เหลือนนั่นไม่มีใครไว้ใจได้สักคน เกรงว่าอนาคตข้างหน้าคงจะลำบากไม่น้อย โชคดีที่รัฐได้ให้เงินมาก้อนหนึ่งแล้ว ฉันต้องถือเงินนั้นไว้ในมือตัวเอง ถือว่าเป็นความดีครั้งสุดท้ายที่พ่อผู้โชคร้ายได้ทำเพื่อฉัน”
เรื่องราวที่บันทึกไว้ในหน้าหลังเป็นเรื่องที่หล่อนพูดคุยกับเจิ้งต้าหมิงที่โรงเรียน
แท้จริงแล้วหล่อนหลงรักน้องชายของเจิ้งต้าหมิงซึ่งอยู่ห้องเดียวกับเขา โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไรกับหล่อนเลย หล่อนสารภาพรักไปแต่ถูกปฏิเสธ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับในเรื่องนี้นัก และเพื่อทำให้น้องชายของเจิ้งต้าเฉิงรู้สึกไม่ดี จึงทำตัวให้สนิทชิดเชื้อกับเจิ้งต้าหมิง ทั้งยังไปที่บ้านของเจิ้งต้าเฉิงบ่อย ๆ ด้วย
“เขียนว่ายังไงบ้างน่ะ?” หลินจินซานเขยิบเข้ามาใกล้
“พี่ลองอ่านดูค่ะ” หลินเซี่ยส่งสมุดบันทึกซึ่งเปิดหน้าที่มีเนื้อหาอันน่าเหลือเชื่อไปตรงหน้าหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิง
หลินจินซานเมื่อเห็นตัวอักษรมากมายบนหน้ากระดาษจึงอ่านออกเสียง ก่อนที่รูม่านตาของเขาจะหดตัวลง ชายหนุ่มคว้าสมุดขึ้นมาแล้วพลิกไปดูหน้าปกเพื่อยืนยันว่า “นี่คือบันทึกของหล่อนหรือ?”
เนื้อหาที่อยู่ในนี้ช่างน่าขนลุก
น้องสาวของเขาคนนั้นมีนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอด น้ำเสียงของหล่อนนุ่มนวลอยู่เสมอ เป็นเด็กสาวขี้แยร้องไห้ง่าย ในสายตาของทุกคน หล่อนเป็นสาวน้อยที่อ่อนแอคนหนึ่ง
อายุยังน้อยแบบนั้นก็เริ่มพูดคุยกับผู้ชายแล้วงั้นหรือ?
เพื่อที่จะได้เงินบำนาญไป จึงตั้งใจทำลายชื่อเสียงของเขาและบีบบังคับให้เขาต้องออกจากบ้าน
และเพื่อตอบโต้เด็กหนุ่มที่ปฏิเสธความรัก หล่อนจึงวิ่งโร่ไปตีสนิทกับพี่ชายของเด็กคนนั้น
จิตใจของหล่อนชั่วร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร?
สิ่งที่น่ากลัวคือพวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นอะไรเลย ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกหล่อนตบตา
นี่มันปีศาจแบบไหนกัน?
มือของหลิวกุ้ยอิงก็สั่นเทาด้วยความโกรธเช่นกัน
เมื่อได้อ่านก็รู้สึกว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่อย่างยิ่ง ไม่รู้จักลูกสาวที่ตัวเองเลี้ยงมายี่สิบปีเลยแม้แต่น้อย
โดยปกติแล้วเวลาที่อยู่บ้าน เด็กสาวมักจะปฏิเสธที่จะคุยกับหล่อนโดยอ้างว่าต้องเรียนหนัก
กลับกลายเป็นว่าภายนอกที่ดูเปราะบางและเชื่อฟังนั้นได้ซ่อนสิ่งที่เน่าเฟะเอาไว้
บันทึกเพียงสองหน้าสั้น ๆ ก็สามารถปรับมุมมองสามทัศน์(1)ของหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงได้แล้ว
หลินเซี่ยไม่ได้เปิดบันทึกไปที่หน้าอื่นอีก เธอเพียงเก็บมันลงในกระเป๋าโดยตั้งใจจะกลับไปอ่านอย่างละเอียดทีหลัง
“สมุดบันทึกนี่ฉันจะขอเก็บไว้นะคะ ตอนนี้ทุกคนคงได้เห็นโฉมหน้าของหล่อนแล้ว หากในอนาคตได้เจอกับหล่อนที่ไห่เฉิง พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร?”
เธอมองหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“วันนี้ฉันขอพูดไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าหากใครในพวกคุณสามคนหลงเชื่อคำลวงหวานหูของเสิ่นอวี้อิ๋ง หรือถูกหล่อนคอยยุยงให้พวกเราแตกคอกัน เป็นหอกข้างแคร่คอยช่วยหล่อนทำร้ายฉัน ฉันจะตัดความสัมพันธ์กับพวกคุณและจะส่งกลับไปยังชนบทด้วย”
หลินจินซานเอ่ยเสียงดัง “เซี่ยเซี่ย พวกเราจะไปโดนหล่อนหลอกได้ยังไง พวกเราโง่หรือไงกัน?”
“ไม่โง่เหรอ ไม่โง่แต่โดนหล่อนตบตามาหลายปีแล้ว พวกคุณยังมองไม่ออกเลยไม่ใช่เหรอ?”
ในชาติก่อน หลิวกุ้ยอิงจากไปเร็วเพื่อช่วยเธอ แต่พี่น้องตระกูลหลินทุกคนล้วนถูกเสิ่นอวี้อิ๋งหลอกและดึงไปเป็นพวกทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครตายดี
โดยเฉพาะหลินเยี่ยน เมื่อนึกถึงว่าหล่อนถูกเสิ่นอวี้อิ๋งทั้งปั่นหัวทั้งหลอกใช้ให้ไปคลอดลูกให้กับครอบครัวเศรษฐี จนในท้ายที่สุดก็ทำให้หล่อนกลายเป็นบ้า ก็ทำเอาหลินเซี่ยเจ็บปวดหัวใจ
ชีวิตของหญิงสาวบ้านนอกผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งถูกทำลายจนพังยับเยิน
ถ้อยคำของหลินเซี่ยทำให้ทั้งหลิวกุ้ยอิงและหลินจินซานต่างก้มหน้าลงด้วยความอับอายขายหน้า
พวกเขาโง่มามากพอแล้ว
ครอบครัวของเขาเลี้ยงคนอกตัญญูขึ้นมา
หลินจินซานเริ่มตำหนิพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วในใจ
หากจะบอกว่าตาบอด พ่อของเขาคงเป็นคนที่ตาบอดที่สุด
ในการกลับไปเผากระดาษเงินกระดาษทองที่บ้านเกิดครั้งต่อไป เขาจะเขียนคำว่า “ตาบอด” ตัวใหญ่ ๆ แล้วเผาไปให้พ่ออย่างแน่นอน
“จากบันทึกนี้เรายังสัมผัสได้อีกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งทั้งรังเกียจและเห็นพวกคุณทุกคนเป็นศัตรู ตอนนี้หล่อนเชื่อปักใจว่าเป็นเพราะแม่ที่อุ้มลูกสลับไป ทำให้คนในเมืองแบบหล่อนต้องไปอาศัยอยู่ในสภาวแวดล้อมของชนบทแสนลำบากกว่ายี่สิบปี เดิมทีหล่อนก็เป็นคนใจคดอยู่แล้ว มาตอนนี้หล่อนยิ่งเกลียดพวกเรามากกว่าเดิม เพื่อเป็นการเอาคืนฉัน หล่อนจึงอยากจะขังฉันไว้ในชนบทตลอดไปและแต่งงานกับหวังต้าจ้วง ตอนนี้ฉันกลับมาที่เมืองไห่เฉิง ทั้งยังแต่งงานกับเฉินเจียเหอ หล่อนย่อมไม่ยอมรามือไปง่าย ๆ”
เธอต้องช่วยหลินจินซานและหลินเยี่ยนให้รอดพ้น เธอต้องทำให้พวกเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงขอเสิ่นอวี้อิ๋งแบบคาหนังคาเขา ไม่ให้พวกเขาถูกหล่อนปั่นหัวและลวงหลอกได้อีก
“เซี่ยเซี่ย วางใจเถอะ ถ้าฉันได้เจอหล่อนอีก ฉันจะสอนบทเรียนหนัก ๆ ให้หล่อน และจะไม่ไปข้องเกี่ยวกับหล่อนไม่ว่าทางใดก็ตามในอนาคต”
หลินเซี่ยมองหลินจินซานพลางสั่นศีรษะ “ลืมเรื่องบทเรียนไปเถอะ สำหรับพี่แล้ว พี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหล่อยเลย ตอนนี้หล่อนเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการเสิ่น และผู้อำนวยการเสิ่นก็ทะนุถนอมหล่อนเป็นพิเศษ พี่ต้องอยู่ให้ห่างจากหล่อนไว้ ถ้าบังเอิญเจอหล่อนเข้าจริง ๆ ก็อย่าดึงดัน”
พูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นอวี้อิ๋งนับว่ามีความสามารถจริง ๆ ในตอนที่หล่อนอยู่ในชนบทก็เป็นคนโปรดของหลินต้าฝู หลังจากกลับมาอยู่ในเมือง เสิ่นเถี่ยวจวินก็รักและทะนุถนอมหล่อนอย่างยิ่ง
ทั้งที่หล่อนถูกรายล้อมไปด้วยความรัก แล้วทำไมถึงยังเปี่ยมไปด้วยความคิดมุ่งร้าย?
หลินจินซานถูกสายตาของเธอโจมตีเข้า “สีหน้าแบบนี้ของเธอคืออะไร? เธอเองก็ดูถูกฉันเหมือนกันเหรอ?”
“อย่าใจร้อน มีเรื่องอะไรก็มาปรึกษากับพวกเราให้มาก อย่าประมาท”
หลังจากที่หลินเซี่ยพูดจบ เธอมองไปยังหลินเยี่ยนอีกครั้ง “เธอเองก็เหมือนกันเสี่ยวเยี่ยน ฉันไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นยังไง แต่ตอนนี้ฉันเป็นพี่สาวเธอ ส่วนหล่อนกลายเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเศรษฐี ย่อมไม่อยากมายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวจากชนบทอีก หากหล่อนมาหาพวกคุณจริง ๆ ก็เป็นเพราะมีเป้าหมาย ดังนั้นจงเบิกตาให้กว้างไว้ อย่าให้ถูกตบตาหรือถูกหลอกใช้อีก”
หลินเยี่ยนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้วค่ะพี่”
หัวใจของหลิวกุ้ยอิงเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม รอให้หลินเซี่ยเตือนหลินจินซานและหลินเยี่ยนเสร็จ จึงจับมือหลินเซี่ยไว้ ก่อนจะอธิบายอย่างจริงจังอีกครั้ง “เซี่ยเซี่ย ลูกต้องเชื่อแม่นะ แม่ไม่ได้เป็นคนสลับตัวเด็กจริง ๆ ตอนที่แม่คลอดไม่มีคนคอยดูแล จะลุกยังลุกไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ แล้วแม่จะเอาแรงกำลังและความสามารถตรงไหนมาสลับตัวลูก? ที่นั่นคือโรงพยาบาลสุขภาพ มีทั้งหมอและพยาบาลควบคุมดูแล คนที่ชื่อเซี่ยหลานนั่นก็เป็นหมอ แม่ไม่มีแรงจูงใจ รวมถึงโอกาสที่จะไปทำอะไรแบบนั้น แถมยังไม่เคยมีความคิดแบบนั้นด้วย”
“หลังจากแจ้งความไป ตำรวจว่ายังไงบ้างคะ?” หลินเซี่ยถามหล่อน
เธอเชื่อหลิวกุ้ยอิง แต่ก็ต้องพูดตามข้อเท็จจริง
“พวกเขาได้ลงบันทึกข้อความให้แม่ และบอกว่าจะไปที่สอบสวนผู้ที่มีเกี่ยวข้องในโรงพยาบาลสุขภาพในปีนั้น ถ้าได้ความยังไงจะแจ้งให้เราทราบ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นรู้จักน้าชายของเจียเหอ เขาบอกว่าจะติดต่อเราผ่านทางน้าชายของเจียเหอ”
“ดีค่ะ อย่างนั้นก็พวกเราก็รอฟังข่าว”
หลินเซี่ยเอ่ยถามเธอ “แม่คะ แม่ได้บัตรประจำตัวประชาชนของหนูแล้วหรือยัง?”
“ได้แล้ว ได้มาแล้ว ทะเบียนบ้านของพวกเราแม่ก็เอามาด้วย”
หลิวกุ้ยอิงหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากถุงผ้าลายดอกไม้ของหล่อน ก่อนจะหยิบสิ่งของต่าง ๆ ออกมาอย่างระมัดระวัง
หลินเซี่ยหยิบบัตรประจำตัวประชาชนของตัวเองขึ้นมาดูข้อมูลด้วยความรู้สึกผสมปนเป
นับแต่นี้ไปเธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเสิ่นอีก
“เซี่ยเซี่ย ยังมีจดหมายจากน้าชายของเจียเหอถึงลูกด้วย พร้อมกับเงินอีกห้าร้อยหยวน”
หลิวกุ้ยอิงมอบซองสีน้ำตาลให้เธอ
หลินเซี่ยมองซองจดหมายที่ปูดออกมาด้วยความงุนงงสงสัย “ทำไมถึงให้เงินหนูเหรอคะ?”
“เขาบอกว่าเขียนบอกทุกเรื่องไว้ในจดหมายแล้ว ฝากแม่เอามาส่งให้ลูก”
……………………………………………………………………………………………………………………
(1) 三观 คือ มุมมอง/ทัศนคติสามด้าน อันได้แก่ ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า
สารจากผู้แปล
ร้ายแต่เด็กเลยนะยัยอวี้อิ๋ง ชาตินี้ต้องได้ถอนรากถอนโคนอย่าให้นางทันลงมือนะ
ไหหม่า(海馬)