ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 134 อย่าฝืนยัดตัวเองเข้าไปในวงกลมแคบ
ตอนที่ 134 อย่าฝืนยัดตัวเองเข้าไปในวงกลมแคบ
ตอนที่ 134 อย่าฝืนยัดตัวเองเข้าไปในวงกลมแคบ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยที่ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าออกไปที่ประตูบ้านของอาคารพักอาศัยหวังดักรอก่อนที่เลขานุการหลี่และคนอื่น ๆ ที่จะออกไปทำงาน เพื่อสอบถามสถานที่ทำงานของเฉินเจียเหอ
วันนี้เลขาหลี่สวมชุดสูทสีดำ เสียบปากกาในกระเป๋าเสื้อและถือกระเป๋าเอกสารอยู่ในมือ กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าเบิกบานแจ่มใส
เขาทำงานในออฟฟิศ จึงไม่ได้แต่งตัวเหมือนพนักงานคนอื่น ๆ ที่สวมชุดสีเทาซีเมนต์
เมื่อเห็นหลินเซี่ย เขายิ้มแล้วทักทายว่า “เสี่ยวหลิน ทำไมตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะ?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “เลขาหลี่ ฉันตั้งใจมารอคุณโดยเฉพาะเลย อยากสอบถามว่าตอนนี้เฉินเจียเหอเดินทางไปทำงานที่ไหนเหรอคะ? แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“เสี่ยวหลิน ไม่ต้องกังวลนะ ครั้งนี้เสี่ยวเฉินกับเหล่าหยางต้องรับผิดชอบงานหนักมาก คุณน่าจะได้ยินแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุรถไฟพลิกตกรางในเขตซีเหอ ในฐานะช่างเทคนิค พวกเขาจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาภายในหัวรถจักร ปฏิบัติการแก้ไข และตรวจสอบทางด้านเทคนิคให้รอบคอบทีละส่วน เพื่อช่วยให้หน่วยสืบสวนทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยเร็วที่สุด”
เลขานุการหลี่มองดูรอยคล้ำรอบดวงตาของหลินเซี่ย รู้ว่าหญิงสาวตัวเล็กอาจนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงเฉินเจียเหอ จึงรู้สึกผิดเล็กน้อยต่อบ่าวสาวหมาด ๆ คู่นี้
เลขานุการหลี่พูดอย่างจริงจัง “ผมรู้ว่าคุณอาจไม่คุ้นเคยกับการถูกแยกจากกันหลังจากแต่งงาน แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเฉินก็ถือเป็นเสาหลักของแผนกช่างเทคนิคในโรงงาน จึงได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบหน้าที่สำคัญต่าง ๆ เสี่ยวหลิน ในฐานะที่คุณเป็นสมาชิกในครอบครัวเขา คุณต้องสนับสนุนงานของเขานะ”
หลินเซี่ยรีบตอบกลับ “เลขาหลี่ ฉันแค่อยากได้ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยดีเท่านั้นค่ะ ส่วนเรื่องงาน ฉันยินดีสนับสนุนเขาอยู่แล้วค่ะ”
“ไม่ต้องห่วง แน่ใจได้เลยว่าเขาปลอดภัยแน่ ช่างเทคนิคฝีมือดีอย่างเขา ไม่ว่าไปที่ไหนก็เป็นที่ต้องการของทุกที่”
“ค่ะ งั้นคุณไปทำงานเถอะค่ะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”
แม้เธอจะไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงของเฉินเจียเหอจากเลขานุการหลี่ แต่คำพูดของเขาก็พอจะปลอบประโลมความกังวลของเธอได้บ้าง
เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายช่างเทคนิค ดังนั้นความปลอดภัยส่วนบุคคลก็ไม่น่าจะมีปัญหา
หลินเซี่ยกลับบ้าน เก็บข้าวของที่จำเป็น แล้วออกไปที่ร้านเพื่อรอให้น้องชายของฟางจิ้นเป่าแวะมาตกแต่งร้าน
เธอไปที่นั่นแต่เช้า เมื่อมาถึงร้านก็เห็นว่าร้านข้าง ๆ ยังไม่มีช่างมาทำงานก่อสร้างเลย
ทั้งเฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานก็ยังไม่มา
หลินเซี่ยเปิดประตู หลังจากรออยู่สักพัก ชายคนหนึ่งในวัยสามสิบสวมชุดเอี๊ยมนายช่างสีน้ำเงินก็ถือกล่องเครื่องมือเดินตรงมาหา โผล่หน้าเข้าไปที่ประตูร้านแล้วถาม
“คุณใช่ภรรยาของเฉินเจียเหอหรือเปล่าครับ?”
หลินเซี่ยได้ยินเสียง จึงเดินออกไป “ใช่ค่ะ”
ชายคนนั้นแนะนำตัว “ผมเป็นน้องชายของฟางจิ้นเป่า ชื่อฟางจิ้นไฉ พี่ชายเป็นคนแนะนำให้ผมแวะเข้ามาตกแต่งภายในที่นี่”
จิ้นเป่า จิ้นไฉ… (แปลว่าเรียกทรัพย์ทั้งสองชื่อ)
ชื่อเหล่านี้ช่างเป็นชื่อที่เป็นมงคลเสียจริง ๆ แถมยังมีจินซานอีกคน (แปลว่าภูเขาทอง) อยู่ข้าง ๆ มีพวกเขามาช่วยผลักดันธุรกิจ ในอนาคตกิจการร้านเสริมสวยของเธอต้องเจริญรุ่งเรืองมากแน่
“ฉันเป็นภรรยาของเฉินเจียเหอค่ะ ชื่อหลินเซี่ย หรือเรียกฉันว่าเสี่ยวหลินก็ได้”
“พี่จิ้นไฉ เชิญเข้ามาก่อนค่ะ” หลินเซี่ยรีบเชิญคนเข้าไปในร้าน
ฟางจิ้นไฉเดินเข้าไปสำรวจสภาพภายในร้าน และถามหลินเซี่ยว่า “เสี่ยวหลิน คุณอยากตกแต่งร้านแบบไหน?”
“ฉันเห็นว่าผนังร้านนี้ได้รับการทาสีขาวเรียบร้อยแล้ว เลยเหลือแค่ติดตั้งหลอดไฟค่ะ อีกอย่าง ฉันอยากติดตั้งกระจกบานใหญ่สองสามบานบนผนังฝั่งนี้ แล้วทำตู้ตะแกรงสำหรับวางของไว้ทางด้านซ้ายแค่นั้นเองค่ะ”
หลินเซี่ยอธิบายเพิ่มเติม “ยังมีป้ายร้านอีก ฉันเห็นว่าร้านค้าใกล้เคียงต่างก็ใช้โปสเตอร์ง่าย ๆ เลยคิดว่าจะทำป้ายจากไม้ให้ดูมีระดับและชวนให้สะดุดตามากขึ้น คุณพอจะรู้จักช่างที่ทำงานด้านนี้ไหมคะ?”
ฟางจิ้นไฉตอบว่า “รู้สิ ผมรู้จักช่างไม้หลายคนเชียว ป้ายที่คุณอยากได้ไม่น่าจะทำยากเกินไป เพราะตอนนี้บรรดาร้านค้าในห้างก็เริ่มสั่งทำป้ายแบบที่คุณพูดถึงแล้ว”
“ค่ะ งั้นรบกวนเป็นธุระคุณช่วยติดต่อให้หน่อย ฉันจะสั่งทำวันนี้เลย”
“เสี่ยวหลิน ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาวัดระยะพื้นที่ก่อน วางโครงร่างคร่าว ๆ และสั่งวัสดุอุปกรณ์ คุณอยากไปหาซื้อวัสดุด้วยตัวเองหรือจะฝากให้ผมซื้อให้?” ฟางจิ้นไฉถาม
“พี่จิ้นไฉ ฉันไม่มีแบบร่างที่ชัดเจนหรอกค่ะ คุณจัดการตามที่ฉันบอกได้เลย” หลินเซี่ยเสนอแนะ “แต่ถ้าคุณพอจะมีเวลาว่างในช่วงบ่าย พวกเราไปซื้อวัสดุด้วยกันก็ได้ เผื่อคุณรู้จักใครจะได้ติดต่อขอส่วนลดให้ฉัน”
“ได้ แล้วผมจะกลับมาหาคุณตอนบ่าย”
ฟางจิ้นไฉตรวจสอบพื้นที่และวัดขนาดตามจุดต่าง ๆ ภายในร้าน จดวัสดุอุปกรณ์ที่เขาต้องการซื้อลงในสมุดบันทึก ก่อนจะจากไป
หลินเซี่ยดูนาฬิกา เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว เธอจึงปิดประตูร้าน จากนั้นก็เดินไปยังโรงเรียนอนุบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานยานยนต์
เมื่อเธอมาถึงประตูโรงเรียนอนุบาล ผู้เฒ่าเฉินและหู่จือยังมาไม่ถึง ดังนั้นเธอจึงรออยู่ตรงทางเข้า
ไม่นานนักหวังซิ่วฟางก็มาถึงพร้อมกับจูงมือเสี่ยวฮวามาด้วย
เสี่ยวฮวาสวมเสื้อกันหนาวสีแดง ถักผมเปียทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งถือกระดิ่งลมทำมือที่สภาพโย้เย้ย่ำแย่มาก
หวังซิ่วฟางเห็นเธอก็รีบโบกมือให้ “เสี่ยวหลิน ทำไมถึงมาที่นี่คนเดียวล่ะ? หู่จือไปไหน? ฉันว่าจะแวะไปถามอยู่พอดีว่าวันนี้โรงเรียนนัดลงทะเบียนกี่โมง เผื่อว่าเราจะออกไปพร้อมกัน แต่พอฉันไปเคาะประตู ปรากฏว่าเธอไม่ได้อยู่บ้าน”
หลินเซี่ยตอบว่า “หู่จือไปนอนค้างที่บ้านคุณปู่ทวดของเขาค่ะ น่าจะมาถึงที่นี่เร็ว ๆ นี้”
“พี่หวัง พี่พาลูกสาวเข้าไปก่อนก็ได้นะคะ ฉันจะรออีกสักพัก คาดว่าไม่นานพวกเขาคงมาแล้ว”
หวังซิ่วฟางดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หล่อนดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “ยังไม่ถึงเวลาลงทะเบียน เดี๋ยวพวกเราอยู่รอเป็นเพื่อนเธอที่หน้าประตูนี่แหละ”
“เมื่อวานได้ยินว่าเธอไปรับแม่เข้าเมือง ตอนนี้เรียบร้อยดีหรือยัง? ทำไมไม่พาเธอมาที่อาคารของเราล่ะ?” หวังซิ่วฟางถามอย่างสงสัย
หลินเซี่ยตอบ “พวกหล่อนอาศัยอยู่ข้างนอกน่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเช่าบ้านไว้ให้พวกหล่อนแล้ว”
“เช่าบ้านเลยเหรอ หมายความว่าจะอยู่ในระยะยาวน่ะสิ?”
“ใช่ค่ะ”
หวังซิ่วฟางเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา ตราบใดที่หล่อนคุ้นเคยกับใครแล้วก็ไม่มีความรู้สึกห่างเหินอีก แถมยังกระตือรือร้นในการสนทนาเป็นพิเศษ
พอคุยกันต่อไปได้สักพัก พวกเธอก็เห็นรถจี๊ปขับมาจอดอยู่ข้างถนน
ชายชราและเด็กชายก้าวลงจากรถ
วันนี้ผู้เฒ่าเฉินสวมชุดถังจวงสีดำอีกตามเคย หู่จือสวมชุดลายพรางทหารแบบย่อส่วน ทั้งคู่ต่างมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์
โดยเฉพาะถนนเส้นนี้ที่คนส่วนใหญ่สัญจรไปมากันด้วยจักรยานเป็นหลัก รถจี๊ปคันใหญ่จึงดูสะดุดตามาก
“น้าเซี่ยเซี่ย เสี่ยวฮวา”
หู่จือถือกระดิ่งลมทำมืออันประณีตในมือของเขา
“คุณปู่ มาแล้วเหรอคะ?”
ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้า “อืม ไม่สายเกินไปใช่ไหม?”
“ประตูห้องลงทะเบียนยังไม่เปิดเลยค่ะ”
หวังซิ่วฟางเห็นปู่ของเฉินเจียเหอ จึงกล่าวทักทายด้วยความสุภาพ
ทุกคนในครอบครัวรู้ดีว่าปู่ของเฉินเจียเหอมีสถานะพิเศษอย่างไรบ้างก่อนที่เขาจะเกษียณอายุราชการ
หวังซิ่วฟางเคยเห็นชายชราคนนี้จากระยะไกลเพียงครั้งเดียว ตอนนี้พอมีโอกาสได้เห็นผู้เฒ่าเฉินในระยะประชิด หล่อนก็ระมัดระวังตัวเสียจนเกร็ง หวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
ในทางกลับกัน หลินเซี่ยกลับมีท่าทางสงบนิ่งเป็นธรรมชาติไม่สั่นกลัว แม้เธอจะยังอายุน้อยแต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก สงบจนทำให้หญิงม่ายอายุสามสิบอย่างหล่อนรู้สึกละอายใจ
ทันใดนั้นหล่อนก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกับเฉินเจียเหอไม่เหมาะสมคู่ควรกันจริง ๆ
หล่อนซึ่งเป็นหญิงม่ายแถมยังมีลูกติดคนหนึ่ง จะจับพลัดจับผลูแต่งเข้าตระกูลสง่างามแบบนี้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังซิ่วฟางก็รู้แจ้งแก่ความเป็นจริง
อย่าฝืนยัดเยียดตัวเองเข้าไปในวงกลมแคบ
ไม่อย่างนั้นจะถูกบีบจนไม่มีที่ยืนเสียเอง
ดวงตาของหลินเซี่ยจ้องไปที่มือของหู่จือ ถามด้วยความประหลาดใจ “อาสามของเธอเป็นคนทำให้เหรอ?”
“ใช่ฮะ อาสามของผมทำให้ ที่จริงอาสามทำได้ทุกอย่างเลย” หู่จือเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างภาคภูมิใจ
หลินเซี่ยมองไปที่กระดิ่งลมและอุทานว่า “นี่มันงานศิลปะชัด ๆ อาสามของเธอมีความสามารถรอบด้านจริง ๆ”
โชคดีที่หู่จือตามผู้เฒ่าเฉินกลับไปนอนที่บ้านเมื่อคืนนี้ เพราะถ้าคนที่ทำกระดิ่งลมเป็นเธอ ผลลัพธ์อาจจะไม่ต่างจากกระดิ่งลมที่อยู่ในมือของเสี่ยวฮวาก็ได้
เมื่อได้ยินหลินเซี่ยยกย่องเฉินเจียวั่งอย่างนั้น ผู้เฒ่าเฉินก็ทำหน้าใจดีพลางพูดว่า “ใช่แล้ว สมกับที่เจียวั่งเรียนสาขาสถาปัตยกรรม เขามีฝีมือด้านนี้มากจริง ๆ”
“อาสามเผลอทำกรรไกรบาดมือตอนที่เขาพยายามตัดกระดาษให้ผมด้วย”
“เสี่ยวฮวา ใครเป็นคนทำกระดิ่งลมอันนี้ให้เธอเหรอ?” หู่จือเดินไปหาเสี่ยวฮวาแล้วมองดูผลงานในมือเธอ โดยที่เขาก็ถือผลงานตัวเองไว้ในมือด้วย
เสี่ยวฮวาร้องไห้โฮทันทีเมื่อเห็นว่ากระดิ่งลมอันนั้นสวยมาก และดูแตกต่างจากกระดิ่งลมเยิน ๆ ของตัวเองมากแค่ไหน
“อย่าร้องไห้ ร้องไห้ทำไม ของเธอก็สวยมากเหมือนกัน”
หวังซิ่วฟางรู้สึกอับอายมาก หล่อนเป็นแค่แม่เลี้ยงเดี่ยวงุ่มง่ามไร้ฝีมือ จะทำงานฝีมือออกมาสวยแบบนั้นได้อย่างไร?
ความจริงแล้วการที่ครูในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้สั่งการบ้านให้กับนักเรียนในช่วงวันหยุดฤดูหนาว คือกุศโลบายเพื่อสำรวจความรับผิดชอบของผู้ปกครองต่างหาก
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนไม่มีพรสวรรค์ เด็กก็จะรู้สึกเสียหน้าเมื่อไปโรงเรียน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โอ๋เอ๋นะเสี่ยวฮวา ของหนูก็สวยเหมือนกันนะคะ สวยที่สุดที่แม่ตั้งใจทำให้หนูแล้ว
ไหหม่า(海馬)