ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 136 เธอเป็นม่ายเหมือนกันเหรอ
ตอนที่ 136 เธอเป็นม่ายเหมือนกันเหรอ?
ตอนที่ 136 เธอเป็นม่ายเหมือนกันเหรอ?
หลินเซี่ยมองไปที่ครูและผู้ปกครองที่กำลังรอดูฉากสนุก ๆ กันอยู่ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณครูซุน พ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านคะ ฉันขอแนะนำตัวตนของฉันอย่างจริงจังอีกครั้ง ฉันชื่อหลินเซี่ย และเป็นแม่ของเฉินหู่”
เธอชี้ไปทางชายชราผู้มีราศีสง่างามที่ยืนอยู่ข้างหลังครูซุน “ส่วนคุณลุงคนนั้นคือคุณปู่ทวดของเฉินหู่ พ่อของหู่จือทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายช่างเทคนิคประจำโรงงานยานยนต์ วันนี้เขาไม่อยู่ที่นี่เพราะเขาถูกเรียกตัวไปปฏิบัติงานด่วนนอกสถานที่ ฉันจึงมากับคุณปู่ของเขาเพื่อทำเรื่องลงทะเบียนให้เขา
ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณครูและผู้ปกครองทุกท่านจะอบรมลูกศิษย์หรือลูกหลานของตัวเองอย่างเข้มงวด ไม่ให้พวกเขาพูดจาหยาบคายล้อเลียนปมด้อยของคนอื่นตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมันส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจของเด็ก ตัวพ่อแม่เองก็ไม่ควรนินทาชาวบ้านจนพลอยทำให้ลูก ๆ เข้าใจผิดไปด้วย ถ้าพวกคุณเอาแต่ตามใจลูกและไม่สั่งสอนพวกเขา ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะทำหน้าที่สั่งสอนมารยาทเขาแทนพวกคุณ”
ครูซุนได้ยินว่าหู่จือถูกรังแก จึงตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หล่อนเดินไปหาหู่จือแล้วนั่งยอง ๆ จับมือเด็กชายไว้แล้วถามเบา ๆ “หู่จือ ก่อนหน้านี้ใครรังแกเธอ?”
หู่จือเอาแต่ก้มหน้าลงไม่ยอมพูดอะไร
“หู่จือ ไม่ต้องกลัวนะ ดูสิ ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด ถ้าเธอพูดความจริงออกมาอย่างกล้าหาญ ครูสัญญาว่าจะตัดสินเรื่องนี้แทนเธอ”
“ตงตงบอกว่าผมเป็นลูกกำพร้าแม่ ไม่มีใครสนใจผม เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาได้ขนมอร่อย ๆ หรือของเล่นสนุก ๆ เขาก็จะเอามาอวดผมและหัวเราะเยาะผมตลอด บอกว่าลูกกำพร้าแม่อย่างผมไม่มีปัญญาซื้อของพวกนี้เหมือนเขา พ่อก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับงานทั้งวันจนปลีกตัวมารับผมไม่ได้ พอแม่ตงตงมารับเขา หล่อนก็หัวเราะเยาะผมอีก บอกว่าพ่อไม่ต้องการตัวภาระอย่างผมอีกต่อไป”
“ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่ยอมบอกครูเลยล่ะ?” ครูซุนถามอย่างเศร้าใจ
“ผมเป็นผู้ชาย การฟ้องครูเป็นพฤติกรรมของคนขี้ขลาด”
หู่จือพูดด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ “นอกจากนี้ ต่อให้ผมฟ้องครูก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผมเป็นแค่เด็กกำพร้าแม่จริง ๆ”
หลินเซี่ยมองเขาด้วยความเห็นใจอย่างที่สุด ดึงเขาเข้ามากอดแนบแน่นในอ้อมแขน
เมื่อหู่จือสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่น เขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาหมองหม่นของเขาพลันสดใสขึ้นมาทันที “แต่ตอนนี้ผมมีแม่แล้ว”
“แม่ครับ ผมเรียกคุณว่าแม่ได้ไหม?” เขามองไปที่หลินเซี่ย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ยังคงถามอย่างระมัดระวัง
“ได้แน่อยู่แล้วจ้ะ” หลินเซี่ยลูบหัวเขาพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนบราวนี่ออนไลน์
เธอก้าวไปยืนเคียงข้างหู่จือ แค่นเสียงต่ำเตือนอย่างดุร้ายต่อหน้าพ่อแม่และเด็ก ๆ ทุกคนในโรงเรียนว่า “จากนี้ไป ถ้าใครกล้าพูดว่าหู่จือของฉันเป็นเด็กกำพร้าแม่อีกครั้ง ฉันจะบุกไปเอาเรื่องพวกคุณถึงบ้าน แล้วทุบหม้อข้าวในบ้านคุณทิ้งซะ ได้ยินทั่วแล้วใช่ไหมคะ?”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินรู้ว่าหู่จือถูกเพื่อนร่วมชั้นและผู้ปกครองในโรงเรียนอนุบาลรังแก เขาก็หันไปพูดกับครูประจำชั้นของหู่จือด้วยท่าทางเข้มงวดทรงอำนาจ “คุณครู ขอเวลาหน่อย ผมมีบางอย่างต้องคุยกับคุณ”
“ค่ะ” เนื่องจากสถานะที่ไม่ธรรมดาของผู้เฒ่าเฉิน ครูซุนจึงไม่กล้าละเลยและรีบตามเขาไป
แม่ของตงตงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองหาเรื่องผิดคนแล้ว จึงจับจูงมือลูกชายตัวอ้วนฝ่าฝูงชนไปลงทะเบียนท่ามกลางสายตาของทุกคน
หวังซิ่วฟางมองไปที่หลินเซี่ยและชมเชยเธอว่า “เสี่ยวหลิน เธอแข็งแกร่งมากจริง ๆ แม่นั่นตัวเท่าโอ่ง แต่เธอก็ยังกล้ายืนหยัดสู้”
“พี่สาวหวัง ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อก่อนหู่จือต้องทนทุกข์ทรมานกับความคับข้องใจที่โรงเรียนมากมายขนาดนี้”
“เสี่ยวหลิน อย่าเสียใจไปเลย เด็ก ๆ และผู้ปกครองที่มาจากโรงงานเราต่างก็รู้สถานะและตัวตนของเฉินกงเป็นอย่างดี ไม่มีใครกล้ารังแกหู่จือทั้งนั้น เพียงแต่แม่ของตงตงคนนั้นเป็นถึงภรรยาของผู้อำนวยการโรงงานผลิตอาหาร ผู้หญิงคนนั้นเคยอยู่บ้านนอก เพิ่งย้ายมาอยู่ในเมืองเมื่อปีที่แล้วเพราะลูกชายถึงวัยเข้าโรงเรียน และกลายเป็นแม่ครัวประจำโรงอาหาร เมื่อก่อนหล่อนผอมกว่านี้ แต่หลังจากทำงานในโรงอาหารได้ปีกว่า รูปร่างก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว ทุกคนลือกันว่าน้ำมันทั้งหมดในโรงอาหารของโรงงานเข้าไปอยู่ในท้องสองแม่ลูกคู่นี้หมดแล้ว”
ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่หวังซิ่วฟางพาเสี่ยวฮวามาส่งที่โรงเรียน หล่อนก็มักจะเจอกับแม่ของตงตงเสมอ
ผู้หญิงอ้วนผิวคล้ำคนนี้เข้าหาและพุดคุยกับเฉินเจียเหอหลายครั้ง พยายามหว่านเสน่ห์อันน้อยนิดของตัวเองให้อีกฝ่าย ตอนแรกหล่อนเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเป็นแม่ม่ายลูกติดเหมือนกันกับหล่อน
หลังจากสืบถามจนแน่ใจ ถึงรู้ว่าหล่อนเป็นภรรยาของผู้อำนวยการโรงงานผลิตอาหารแห่งหนึ่ง
นังหมูตายคนนี้ ตัวเองมีสามีอยู่แล้วแท้ ๆ ยังคิดจะสานสัมพันธ์กับเฉินเจียเหออีก
เนื่องจากหวังซิ่วฟางสนใจเฉินเจียเหอ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนที่พยายามจะใกล้ชิดกับเฉินเจียเหอจึงถือเป็นคู่แข่งทางความรักสำหรับหล่อนทั้งหมด
แต่ผู้หญิงคนนี้ตัวใหญ่เกินไป แถมสามีของอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้อำนวยการของโรงงานผลิตอาหาร ดังนั้นหล่อนจึงไม่กล้าพอที่จะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง ได้แต่เก็บเงียบไม่แสดงท่าทางอะไร
หวังซิ่วฟางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลินเซี่ยสามารถชนะใจเฉินเจียเหอได้ เพราะเธอกล้าที่จะต่อสู้นี่เอง
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินเซี่ยก็หรี่ตาลงเล็กน้อยและพูดด้วยใบหน้าที่ดุร้ายว่า “แต่หล่อนไม่ได้เป็นคนในโรงงานเราซะหน่อย จากนี้ไปฉันจะได้สู้กับหล่อนอย่างไม่ต้องเกรงใจ ถ้าหล่อนยังสั่งสอนให้ลูกชายตัวเองมากลั่นแกล้งหู่จืออีก ฉันจะรีดเค้นไขมันในตัวหล่อนให้ไหลตายกันไปข้าง”
“ผู้หญิงคนนี้เคยสนใจเฉินกงด้วยนะ พยายามยักคิ้วหลิ่วตาและชวนเขาคุยอยู่ตลอดเลย” หวังซิ่วฟางขยับเข้าไปหาหลินเซี่ยพลางพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“หมายความว่าไง? หล่อนก็เป็นม่ายเหมือนกันเหรอ?” หลินเซี่ยโพล่งออกมาขณะที่เธอมองไปยังหวังซิ่วฟางด้วยสีหน้ามีความหมาย
หวังซิ่วฟาง “!!!”
หล่อนกลอกตาใส่ “ไม่ใช่ หล่อนมีสามีอยู่แล้ว ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าสามีหล่อนเป็นถึงผู้อำนวยการโรงงานผลิตอาหารน่ะ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “โอ้ งั้นสามีของหล่อนชื่ออะไรล่ะ? ฉันจะได้ไปบอกให้สามีหล่อนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอให้เขาดูแลภรรยาตัวเองให้ดี ๆ ไม่งั้นอีกหน่อยหล่อนคงปลูกทุ่งหญ้าสีเขียวเต็มหัวเขาแน่ ๆ”
หวังซิ่วฟาง “…”
ทำไมหล่อนถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ?
ผู้เฒ่าเฉินคุยกับครูประจำชั้นอยู่นาน ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
ครูซุนมองไปที่หู่จือและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับเขา “หู่จือ ไม่ต้องกังวลนะ จากนี้จะไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนกล้ารังแกเธออีกในอนาคต ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เธอต้องรีบบอกครูหรือผู้ปกครองรู้ไหม?”
หู่จือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ครับ”
“ผู้ปกครองทุกคนคะ ถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยงของนักเรียนแล้วค่ะ พิธีเปิดภาคเรียนจะถูกจัดขึ้นในช่วงบ่าย ผู้ปกครองสามารถมารับบุตรหลานของท่านได้ในเวลาห้าโมงเย็นค่ะ”
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาทำงานของผู้ปกครองที่ทำงานอยู่ในโรงงานต่าง ๆ ในละแวกนิคมอุตสาหกรรม โรงเรียนอนุบาลจึงอนุญาตให้เด็ก ๆ กินข้าวที่โรงเรียนตอนเที่ยงได้ ถือเป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกที่มีการดูแลนักเรียนแบบเต็มวัน
เมื่อหวังซิ่วฟางได้ยินดังนั้น หล่อนก็ผละจากเสี่ยวฮวาและรีบกลับไปทำงาน
“คุณครู พวกเราขอตัวก่อนนะคะ”
หลังจากจัดการเรื่องหู่จือเรียบร้อยแล้ว หลินเซี่ยก็เดินตามผู้เฒ่าเฉินออกไป ถามอย่างสุภาพว่า “คุณปู่ จะตรงกลับบ้านเลยเหรอคะ?”
“อืม”
หลินเซี่ยดูนาฬิกาของเธอ ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งพอดี จึงลองเสนอดูว่า “ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว คุณปู่กลับไปกินข้าวที่บ้านฉันเถอะค่ะ ฉันจะเข้าครัวเอง”
เธอเห็นว่าคุณปู่ของเฉินเจียเหอเริ่มยอมรับเธอแล้ว ด้วยความที่ชายชรารักเฉินเจียเหอและหู่จือมาก แล้วตัวเธอก็คลุกคลีใกล้ชิดอยู่กับพวกเขา ในฐานะที่เป็นภรรยาของเฉินเจียเหอ เธอก็ควรทำดีกับผู้ใหญ่ฝั่งสามีอย่างชายชราเช่นเดียวกัน
หลินเซี่ยเชิญเขาอย่างตรงไปตรงมา ผู้เฒ่าเฉินจึงไม่ปฏิเสธ มองดูเธอแล้วพยักหน้า “เอาสิ”
ผู้เฒ่าเฉินขอให้คนขับรถกลับไปก่อน จากนั้นจึงตามหลินเซี่ยไปที่บ้านพักอาศัยของพนักงาน
“คุณปู่ ดูทีวีไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ ฉันขอเข้าไปทำกับข้าวสักเดี๋ยว” หลินเซี่ยพูดแล้วก็เปิดทีวีให้เขา ปรับไปเป็นช่องที่ออกอากาศรายการข่าว รินน้ำให้ชายชรา จากนั้นก็ล้างมือและเข้าครัวไปทำอาหาร
ที่บ้านมีข้าวสารและหมูห้าชั่งที่ได้เป็นรางวัลจากทางโรงงาน นอกจากนี้ยังมีมันฝรั่ง เส้นก๋วยเตี๋ยว พริกแห้ง และวัตถุดิบอื่น ๆ อีกประปราย
หลินเซี่ยหุงข้าว หั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบางแล้วนำลงทอดในกระทะจนกรอบ และทำวุ้นเส้นหมูตุ๋น
สำหรับเธอ อาหารทั้งสองจานถือเป็นเมนูที่หรูหราพอสมควร เพราะโดยปกติแล้วพวกเขาจะทำแค่วุ้นเส้นหมูตุ๋นหม้อเล็ก ๆ แต่สมาชิกทั้งสามในครอบครัวก็กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
“คุณปู่ กับข้าวพร้อมแล้วค่ะ”
หลินเซี่ยยกชามวุ้นเส้นหมูตุ๋นมาวางบนโต๊ะ แล้วเดินกลับไปยกอย่างอื่นมาเสิร์ฟ
ผู้เฒ่าเฉินมองดูวุ้นเส้นหมูตุ๋นที่มีน้ำมันลอยอยู่ด้านบนอย่างน่ากิน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“หน้าตาใช้ได้เลยนี่”
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอาหารเก่งตั้งแต่อายุยังน้อย
เหล่าเซี่ยบอกว่าเธอมีความสามารถงั้น ๆ แถมยังทำอะไรไม่เป็นเลย จึงกำชับให้ตระกูลเฉินช่วยดูแลเธอให้มากขึ้น
ทำไมพวกเขาถึงได้โกหกเรื่องนี้กันล่ะ?
“ลองชิมดูก่อนสิคะ” หลินเซี่ยวางชามข้าวไว้ตรงหน้าผู้เฒ่าเฉิน แล้วยื่นตะเกียบให้เขา
ผู้เฒ่าเฉินใช้ตะเกียบคีบเส้นมันเทศในชามเข้าปาก แล้วพยักหน้าซ้ำ ๆ “อร่อยมาก”
“เซี่ยเซี่ย ฝีมือการทำอาหารของเธอดีมาก เจียเหอกับหู่จือช่างโชคดีจริง ๆ”
ขณะที่ผู้เฒ่าเฉินกำลังกินอาหารรสชาติอร่อย ก็เหลือบมองหลินเซี่ยเป็นระยะ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เซี่ยเซี่ย ขอบคุณมากนะ”
ทัศนคติของหลินเซี่ยตอนที่เธอพยายามปกป้องหู่จือในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงส่ง ๆ เท่านั้น เธอปฏิบัติต่อหู่จือราวกับเขาเป็นลูกชายของเธอเองอย่างแท้จริง
เด็กสาวคนนี้อายุแค่ยี่สิบปี แต่กล้ายืนหยัดอยู่เคียงข้างหู่จือในโรงเรียนอนุบาล และประกาศเสียงดังให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นแม่ของหู่จือ ทั้งยังกล้าต่อสู้กับผู้ปกครองที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าตัวเองเป็นสองเท่า วิธีที่เธอใช้เพื่อปกป้องหู่จือทำให้เขาอดรู้สึกละอายใจไม่ได้
ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับเฉินเจียเหอจริง ๆ คงไม่มีทางแสดงความรู้สึกที่สมจริงแบบนี้ออกมาได้แน่
อย่างน้อยถังหลิงก็ไม่สามารถทำได้ในแบบที่หลินเซี่ยทำ
เมื่อนึกถึงถังหลิง สีหน้าของผู้เฒ่าเฉินก็มืดครึ้มลงเล็กน้อย
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาเผอิญได้ยินเรื่องซุบซิบบางอย่าง
ถังหลิงเคยแต่งงานมาก่อน
หลังจากหย่าร้าง หล่อนก็แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองรักเฉินเจียเหออย่างสุดซึ้ง ถึงพยายามครองตัวเป็นโสดไม่แต่งงานมาหลายปี และแวะเวียนมาที่ตระกูลเฉินเพื่อเสนอตัว ผู้เฒ่าเฉินยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งโกรธ
หล่อนเห็นตระกูลเฉินเป็นอะไร?
หลานชายคนโตของเขาเป็นหนุ่มโสดที่มีภูมิหลังทางครอบครัวไม่ธรรมดา รูปร่างหน้าตาทั้งโดดเด่นและหล่อเหลา แต่เขามีภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูกชายบุญธรรม ผู้หญิงประเภทไหนกันที่คิดจะกระโจนใส่เขาท่าเดียว?
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยทำดีมาก ประกาศจุดยืนตัวเองไปเลย
ยัยป้าอ้วนนั่นมีสามีอยู่แล้วยังจะมาอ่อยพี่เหออีกเหรอ เดี๋ยวเจอแน่
ไหหม่า(海馬)