ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 141 คนแรกที่กินปู
ตอนที่ 141 คนแรกที่กินปู
ตอนที่ 141 คนแรกที่กินปู
หลังอาหารเย็น หลินเซี่ยต้องการพาหู่จือและเจียงอวี่เฟยกลับบ้าน หลินจินซานบอกว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย และยืนกรานว่าจะเดินออกไปส่งด้วย
เจตนาของผู้ชายคนนี้ชัดเจนเกินไป
หลินเซี่ยปฏิเสธ “ไม่เป็นไร เรากลับกันเองก็ได้ มีกันตั้งสามคนยังต้องกลัวอะไรอีก”
หลินจินซานก็ยังคงยืนกรานที่จะส่งพวกเธอถึงหน้าปากซอย
เจียงอวี่เฟยอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปยังชายหนุ่มที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรตรงหน้าปากซอยนั้น อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “คุณป้าดูเป็นคนอ่อนโยนและเก็บตัวมาก น้องสาวเธอก็ออกจะเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใครเหมือนกัน แต่ทำไมพี่ชายเธอถึงเป็นแบบนั้นไปได้กันน่ะ ช่างจ้อช่างจุกจิกจริง ๆ เลย หรือเขาไม่ได้แม่แต่ไปได้พ่อแทนกันนะ”
หลินเซี่ยส่ายหัว “เขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของแม่ฉันน่ะสิ แม่ฉันเป็นแม่เลี้ยงของเขา บางทีเขาอาจไปได้นิสัยพ่อมาก็ได้ เรื่องนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ พ่อของฉันตายไปนานแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าเขาเป็นคนยังไง”
“หา คุณป้าก็เป็นแม่เลี้ยงเหมือนกันเหรอ?” เจียงอวี่เฟยเบิกตากว้าง มองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอกลายเป็นสุดยอดแม่เลี้ยงตั้งแต่ยังสาว ที่แท้ก็เป็นสัญชาตญาณที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์”
หล่อนเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงดูแลและเอาใจใส่หลินจินซานเป็นอย่างดี ระหว่างรับประทานอาหารก็ไม่ลืมคีบเครื่องเคียงใส่ชามของเขา สายตาบ่งบอกความรักอย่างไม่ปิดบัง บางครั้งก็จู้จี้ตำหนิเขาคำสองสามคำเท่านั้น
หลินจินซานเองก็ปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมเป็นธรรมชาติมาก
ถ้าหลินเซี่ยไม่พูดแบบนี้ คนนอกอย่างหล่อนคงไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาไม่ใช่แม่ลูกกันแท้ ๆ
บรรยากาศระหว่างพวกเขาผ่อนคลายและกลมกลืนกันมาก
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว หลินเซี่ยกังวลกับการที่เจียงอวี่เฟยต้องเดินกลับบ้านคนเดียว จึงบอกว่า “อวี่เฟย ทำไมคืนนี้เธอไม่นอนค้างที่บ้านฉันซะเลยล่ะ?”
เจียงอวี่เฟยเห็นด้วยทันที “ได้ งั้นฉันขอแวะร้านโทรศัพท์เพื่อโทรหาพ่อของฉันหน่อย ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก เธอลองชวนพี่หวังมาดูทีวีที่บ้านก็ได้นะ ฉันจะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเธอ เพื่อเข้าใจตัวตนของเธอให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ ดูว่าเธอเหมาะสมที่จะเป็นแม่เลี้ยงของฉันหรือเปล่า”
เมื่อเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงและหลินจินซานเข้ากันได้ดีเหมือนแม่ลูกแท้ ๆ รวมถึงหลินเซี่ยเองยอมรับหู่จือเป็นลูกอย่างเต็มใจ จู่ ๆ เจียงอวี่เฟยก็ตั้งตารอภาพในอนาคตว่าหล่อนจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ทำนองนี้กับพี่สาวหวังได้เช่นกัน
เจียงอวี่เฟยเจอตู้โทรศัพท์สาธารณะระหว่างทาง จึงโทรกลับไปที่บ้าน แล้วเดินตามหลินเซี่ยกลับไปยังอาคารพักอาศัย
ทันทีที่เข้าไปในลานกว้าง หล่อนก็ถามหาบ้านของหวังซิ่วฟาง หลินเซี่ยชี้ไปที่หน้าต่างซึ่งยังมีแสงสว่างบนชั้นหนึ่ง
“หล่อนอยู่ชั้นหนึ่ง”
เจียงอวี่เฟยแนะนำ “เธอไปเรียกหล่อนมาดูทีวีสิ ฉันจะได้นั่งคุยกับหล่อนดี ๆ”
“อย่าหุนหันพลันแล่นเกินไป รอฉันเจอหน้าหล่อนอีกครั้งหนึ่งก่อน ฉันจะลองคุยกับหล่อนเป็นการหยั่งเชิงเพื่อทดสอบปฏิกิริยา เรื่องแบบนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก ถ้ารีบเร่งเกินไปอาจจะทำให้หล่อนตกใจ นอกจากนี้หล่อนเองก็เป็นผู้ใหญ่ มีลูกสาวที่ต้องดูแล”
“งั้นก็ไม่เป็นไร”
หลังจากที่หู่จือหลับไป หลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยก็นั่งคุยกัน
“เสิ่นอวี้อิ๋งเริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว ดูเหมือนจะเรียนซ้ำที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่ง ได้ยินมาว่าผู้เฒ่าเซี่ยปู่ของหล่อนเป็นคนจัดการทำเรื่องให้”
เจียงอวี่เฟยเดาะลิ้นสองครั้งแล้วถอนหายใจ “หล่อนโชคดีจริง ๆ ที่มีปู่เป็นอดีตอาจารย์ใหญ่ที่เกษียณอายุแล้ว แค่เขาเอ่ยปากก็ฝากหลานสาวเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่งได้”
หลินเซี่ยไม่สนใจว่าเสิ่นอวี้อิ๋งกำลังเรียนต่อที่ไหน
ไม่ว่าหล่อนจะเรียนที่ไหนก็ตาม ชาติที่แล้วหล่อนไม่เคยเก่งพอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“จริงสิ มีเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเพิ่งถามใช่ไหมล่ะว่ามีใครมาตามหาเสิ่นอวี้อิ๋งบ้างไหม?” เจียงอวี่เฟยมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าซุกซน
หลินเซี่ยหันกลับมาทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ “ใช่? ทำไมเหรอ?”
เธอคาดเดาว่าเจิ้งต้าหมิงน่าจะเข้าเมืองมาตามหาเสิ่นอวี้อิ๋งหลังวันหยุดปีใหม่
ปลายเดือน 12 การเดินทางด้วยรถโดยสารนับว่าไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะเป็นวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ที่มีคนเดินทางเยอะมาก
เจียงอวี่เฟยเล่าว่า “ฉันได้ยินคนอื่นในอาคารบอกว่ามีผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งมาถามถึงเสิ่นอวี้อิ๋งที่หน้าประตูทางเข้า อ้างว่าเขาเป็นแฟนหนุ่มของหล่อน วันนั้นเสิ่นอวี้อิ๋งไปโรงเรียนพอดี พวกเขาเลยไม่อนุญาตให้ผู้ชายคนนี้ขึ้นไป ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาคุณป้าคนหนึ่งนั่งบ่นพึมพำวิเคราะห์ถึงตัวตนของผู้ชายคนนั้น บอกว่าเขาดูไม่เหมือนเป็นคนเมืองไห่เฉิงเลย แต่ด้วยความที่เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นถึงลูกสาวของผู้อำนวยการโรงงาน พวกเขาเลยไม่กล้าพูดจาแพร่งพรายเกินไป ยังไงซะก็อาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”
ริมฝีปากหลินเซี่ยโค้งขึ้น “โอ้ ฉันรู้แล้ว ถ้าคราวหน้าเธอเจอผู้ชายคนนั้นอีก อย่าลืมบอกที่อยู่โรงเรียนของเสิ่นอวี้อิ๋งให้เขารู้ด้วยนะ”
เจียงอวี่เฟยถึงกับตกตะลึง อุทานว่า “เธอหมายความว่าไง? เสิ่นอวี้อิ๋งมีแฟนอยู่ในชนบทจริง ๆ เหรอ?”
“แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอแล้ว”
ถ้าพอมีเวลาให้ปลีกตัวได้ เธอตั้งใจว่าจะไปดักรอเจอเจิ้งต้าหมิงก่อน
วันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยตื่นแต่เช้า ใกล้แปดโมงหู่จือก็ถึงเวลาต้องไปโรงเรียน เธอจึงถือโอกาสย้ายหมวกอบร้อนไปที่ร้าน พร้อมกับรวบรวมอุปกรณ์ทำผมอื่น ๆ ใส่ในกระเป๋าเดินทางของตัวเอง วางแผนว่าหลังจากส่งหู่จือไปโรงเรียนแล้วจะนำของทั้งหมดไปไว้ที่ร้าน
เมื่อเจียงอวี่เฟยตื่นนอน หลินเซี่ยก็ออกไปที่ร้านก่อนแล้ว
เจียงอวี่เฟยต้องไปวิทยาลัยเช่นกัน หล่อนบอกว่าตนมีเรียนในตอนเช้า หลังเลิกเรียนก็จะกลับไปพักผ่อนสักหน่อย แล้วจะมาช่วยหลินเซี่ยทีหลัง
เวลานี้ สมาชิกทุกคนในอาคารพักอาศัยของพนักงานต่างออกจากบ้านไปทำธุระของตัวเองแล้ว บางคนออกไปซื้อของ และบางคนก็ออกกำลังกาย ลุงหลี่ที่ยังอยากเต้นแอโรบิกจึงเรียกชายชราและหญิงชราทั้งหลายมารวมตัวที่ลานด้านหน้า
“ลุงหลี่ ป้าหวัง อรุณสวัสดิ์ค่ะ” หลินเซี่ยมองไปยังฝูงชนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาในสวน ทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะเปิดร้านเสริมสวยที่ถนนชิงเหนียนใต้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าใครก็ตามต้องการทำผม สามารถแวะมาอุดหนุนได้ทุกเมื่อเลยนะคะ ขอฝากร้านไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วย ก่อนเปิดร้านอย่างเป็นทางการฉันจะคิดราคาถูกกว่าปกติ บริการตัดผมเพียงห้าสิบเหมา บริการดัดผมเพียงสามหยวน”
คุณป้าคนหนึ่งที่ถือตะกร้าผักบอกว่า “ได้ ไว้ฉันจะแวะไปตอนเที่ยงนะ ตอนเช้าอากาศหนาวเกินไป”
“ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะป้าหลิว”
หลินเซี่ยส่งหู่จือไปโรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็ไปที่ร้านเพื่อเตรียมตัว
เมื่อเธอไปถึงก็เห็นว่าฟางจิ้นไฉมาถึงก่อนแล้ว วันนี้เขายังพาเพื่อนช่างไม้ของเขามาด้วย หลังจากยืนยันรูปแบบการออกแบบป้ายกับหลินเซี่ย เขาก็กลับไปทำป้าย ปล่อยให้ฟางจิ้นไฉอยู่ติดตั้งโคมไฟในร้านเพียงลำพัง
หลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงมาถึงแต่เช้าตรู่ โดยถือถังน้ำมันและหม้อเหล็กขนาดใหญ่มาด้วย
“เซี่ยเซี่ย ให้ฉันเอาวางไว้ตรงไหน?” หลินจินชานถาม
“วางไว้ตรงหน้าประตูเลย อย่าลืมเจาะรูเตาก่อนนะ แล้วไปซื้อปล่องไฟกับเครื่องเป่าลมด้วย”
ทัศนคติของเฉียนต้าเฉิงที่มีต่อหลินจินซานนั้นดีขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งสองคนหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกลมเกลียวเหมือนเป็นพี่น้องที่ดี รวมตัวกันรอบ ๆ ถังน้ำมันเพื่อเตรียมต้มน้ำ
เฉียนต้าเฉิงเป็นคนที่มีทักษะรอบด้าน จึงทำงานเหล่านี้เสร็จอย่างง่ายดายในเวลาอันสั้น พอหลินจินซานซื้อปล่องไฟกลับมา พวกเขาก็จัดการติดตั้งเข้ากับเตาจนประสบความสำเร็จ
ตรงริมถนนมีพ่อค้าถ่านหินตั้งแผงอยู่พอดี เธอจึงขอซื้อถ่านหินมาถุงหนึ่ง จุดด้วยน้ำมันสน แล้วเริ่มต้มน้ำ
เวลาล่วงไปกระทั่งเที่ยงวัน ทุกอย่างก็พร้อมสรรพ
ค่าบริการถูกเขียนไว้บนกระดาษแข็งและแขวนไว้บนผนัง
พระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้นตรงเหนือศีรษะในตอนเที่ยง อากาศเริ่มร้อนขึ้น
เนื่องจากร้านตัดผมชั่วคราวแห่งนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ทำให้ผู้คนมากมายที่สัญจรไปมาบนถนนสายนี้ต่างออกมาด้อม ๆ มอง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเป็นคนแรกที่กินปู(1) เข้าไปใช้บริการตัดผมกับเธอ
หลินเซี่ยนั่งยอง ๆ รอลูกค้าอยู่อย่างนั้น บรรยากาศเงียบเหงากว่าที่คิดไว้
วันแรกเธองานยุ่งมาก จนถึงตอนนี้ร้านก็ยังไม่เปิดอย่างเต็มรูปแบบ ตอนนี้เมื่อมีเวลาทำให้เธออดตกใจและเขินอายไม่ได้เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาหลายคู่
ใจหนึ่งอยากตะโกนเรียกลูกค้า แต่ใบหน้าไม่หนาพอจริง ๆ
หลินจินซานเอาแต่ทำงานงก ๆ อยู่ข้างในร้าน เพราะเขาไม่รู้ว่าเวลานี้ควรต้องออกมาสนับสนุนและช่วยเหลือเธออย่างไรบ้าง
ผู้ชายซื่อบื้อคนนี้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกลับช่วยอะไรน้องไม่ได้สักอย่าง
หลินเยี่ยนเพิ่งตัดผมไปเมื่อปีที่แล้ว จึงไม่สามารถพาหล่อนมาเป็นนางแบบได้อีก เธอแอบกังวลว่าอาจไม่มีลูกค้าสนใจ
เฉียนต้าเฉิงเดินออกมา จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหลิน ตัดผมให้ผมหน่อยสิ ผมของผมเริ่มยาวเกินไปแล้ว ดูโทรมไม่สดใส รบกวนเปลี่ยนทรงผมใหม่ให้ผมด้วย”
“ได้ค่ะ” หลินเซี่ยมองเฉียนต้าเฉิงอย่างรู้สึกขอบคุณ รีบตักน้ำร้อนมาไว้ให้เขาสระผม
ข้าง ๆ เตาต้มน้ำมีอ่างล้างหน้าตั้งอยู่ตรงนั้น เดิมทีหลินเซี่ยต้องการฝึกสอนหลินเยี่ยนให้หล่อนเรียนรู้วิธีสระผมก่อนเป็นเบื้องต้น เพราะถ้าหล่อนมีความสามารถ ก็จะฝึกให้กลายเป็นผู้ช่วยช่างทำผมได้ แต่หลินเยี่ยนยังมีความเขินอายสูง ไม่รู้วิธีสระผมให้คนอื่น
หลินเซี่ยพูดว่า “พี่เฉิง เดี๋ยวฉันสระผมให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมสระเอง”
เฉียนต้าเฉิงเทน้ำลงไป จากนั้นก็ทำการสระผมด้วยตัวเอง
เฉียนต้าเฉิงไว้ผมทรงแสกข้าง 70/30 ตอนนี้ผมค่อนข้างยาว เขาบอกว่าจะให้หลินเซี่ยตัดผมให้ แต่ไม่ได้เลือกทรงผมไว้
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของเขา หลินเซี่ยจึงเริ่มแสดงศักยภาพอย่างอิสระ ตัดผมให้เขาใหม่เป็นทรงควิฟฟ์เพื่อให้เข้ากับรูปร่างใบหน้าของเขา
ก่อนหน้านี้เธอวางกระจกที่ยังไม่ได้ติดตั้งไว้ที่ประตู หลินเซี่ยชี้ไปที่เงาของเฉียนต้าเฉิงในกระจก และถามด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เฉิง คุณชอบไว้หนวดเคราแบบนี้เหรอคะ?”
เธอเดาว่าเขาน่าจะอายุแค่ประมาณสามสิบปีเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงชอบไว้หนวดเคราทรงแปลก ๆ แบบนี้
เฉียนต้าเฉิงชื่นชมเคราที่ดูแปลกตาของตัวเอง อธิบายว่า “ผมคิดว่าพอตัวเองไว้หนวดแล้วดูบุคลิกดีออก”
“ทรงผมของคุณไม่เข้ากับหนวดเคราน่ะสิคะ คุณอยากโกนทิ้งไหม ฉันว่าหนวดพวกนี้ทำให้คุณดูแก่กว่าวัย ได้ยินพี่ชายเล่าว่าคุณยังไม่ได้แต่งงานไม่ใช่เหรอคะ? งั้นคุณก็ควรจัดระเบียบทรงผมให้เรียบร้อย จะได้ถูกใจสาว”
พอหลินเซี่ยเกลี้ยกล่อมแบบนี้ เฉียนต้าเฉิงก็ตอบรับอย่างมีความสุข “ได้ งั้นก็โกนออกเสียเลย”
เฉียนต้าเฉิงยอมเปลี่ยนทรงผมของเขาใหม่ และเขาก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ เขาเดินไปมาบนถนนสองสามรอบ ช่วยหลินเซี่ยโฆษณาร้านว่า “ถ้ามีลูกค้าท่านไหนต้องการตัดผม สามารถมาใช้บริการที่ร้านของเสี่ยวหลินได้ สองวันนี้หล่อนจัดส่วนลดให้ครึ่งหนึ่ง เห็นไหมครับว่าทรงผมของผมดูดีแค่ไหน? ผมว่าดูหล่อกว่าเดิมมากเลยล่ะ”
ช่วงนี้เฉียนต้าเฉิงเทียวเข้าเทียวออกเพื่อปรับปรุงร้านที่นี่ จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเจ้าของร้านค้าและลูกค้าประจำบนท้องถนน เมื่อทุกคนเห็นว่าเฉียนต้าเฉิงเปลี่ยนทรงผมใหม่แล้วดูหล่อมาก จึงตัดสินใจมาตัดผมบ้าง
ถ้าว่างเว้นจากการตัดผมสักเดือนหนึ่ง ผมของพวกเขาจะยาวขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้ชาย
เฉียนต้าเฉิงตะโกนเรียกลูกค้าไปรอบ ๆ พร้อมกับอวดโฉมทรงผมที่ทันสมัยและหล่อเหลา ทำให้บรรดาผู้ชายที่อยากตัดผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมารวมตัวกันรอบตัวเขา
ผู้ชายทั้งหลายไม่ได้เน้นเรื่องทรงผมเท่าไหร่นัก แค่ตัดให้สั้นกว่าเดิมก็พอ
ผลปรากฏว่าทรงผมของทุกคนออกมาดีทั้งหมด ไม่มีลูกค้ารายไหนได้รับข้อผิดพลาดใด ๆ
มีผู้หญิงหลายคนที่ต้องการต่อคิวดัดผม แต่พวกหล่อนยังลังเล เพราะอยากเห็นตัวอย่างผลลัพธ์ที่ได้จากการดัดผมซะก่อน
ไม่มีใครอยากอาสาเป็นหนูทดลอง หรือเป็นคนแรกที่กินปูหรอก
………………………………………………………………………………………………………………………
(1) คนแรกที่กินปู (第一个吃螃蟹的人) เป็นประโยคที่ใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่ริเริ่มเป็นคนแรก ทั้งที่รู้ว่าเสี่ยงแต่ก็ยังทำ และสิ่งที่ทำก็ประสบความสำเร็จ ทำให้มีทำตามมากขึ้น หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่าผู้บุกเบิกก็ได้
สารจากผู้แปล
แฟนเก่ายัยบัวเน่าแซ่เสิ่นมาแล้วเหรอ รอดูความสนุกเลยค่ะ
ต้องขอบคุณพี่เฉียนมากๆ นะคะที่เป็นหนูทดลองให้เซี่ยเซี่ย
ไหหม่า(海馬)