ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 142 ผู้สมัครแม่เลี้ยงอันดับสอง
ตอนที่ 142 ผู้สมัครแม่เลี้ยงอันดับสอง
ตอนที่ 142 ผู้สมัครแม่เลี้ยงอันดับสอง
เมื่อเวลาดำเนินไปถึงเที่ยงตรง หลิวกุ้ยอิงก็ทำอาหารมาให้หลินเซี่ยและหลินจินซาน
หลินเซี่ยพักผ่อนชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปในร้านเพื่อตรวจสอบความคืบหน้า
ช่างติดตั้งโคมไฟทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังติดกระจกบานใหญ่ไว้บนผนัง ในที่สุดสภาพโดยรวมก็เหมือนร้านเสริมสวยขึ้นมาบ้างแล้ว
“เซี่ยเซี่ย วันนี้อวี่เฟยไม่มาเหรอ?” หลินจินซานมองไปรอบ ๆ ตลอดทั้งช่วงเช้า แต่ไม่เห็นร่างของเจียงอวี่เฟยเลย ทำให้เขาใจลอยพะว้าพะวงไม่เป็นอันทำอะไร
หลินเซี่ยกลอกตามองเขา “อวี่เฟย? เรียกหล่อนแบบนั้นได้อย่างไม่ละอายปากเลยนะ”
หลินจินซานแก้ตัว “อวี่เฟยเป็นคนอนุญาตให้ฉันเรียกหล่อนแบบนั้นได้เองนี่”
“พี่ชาย ช่วยหยุดคิดฟุ้งซ่านสักทีได้ไหม? ผู้หญิงบางคนอาจอยู่เหนือความใฝ่ฝันของพี่ก็ได้”
“ทำไมจะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้? ไม่สิ ผู้ชายคนไหนบ้างไม่เคยใฝ่ฝันถึงผู้หญิงคนอื่น?”
เจียงอวี่เฟยยังไม่มา แต่โจวอี้มาถึงร้านแล้ว
เขายังคงสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับเมื่อวาน แต่วันนี้เขาสวมหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้า ผมเผ้ายาวรุงรังปิดตา ถ้าหลินเซี่ยจำเสื้อผ้าที่เขาใส่มาเมื่อวานนี้ไม่ได้ คงไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายคือโจวอี้
“มาทำอะไรครับ? ตัดผมเหรอ?” หลินจินซานถามอย่างระมัดระวังเมื่อเขาเห็นชายหนุ่มที่ปกปิดใบหน้าและใส่เสื้อผ้าดำอึมครึมเดินเข้ามา
หลินเซี่ยเห็นชายหนุ่มอยู่ที่หน้าประตู จึงพูดกับหลินจินซานว่า “เขาเป็นเพื่อนฉันเองค่ะ”
หลินเซี่ยรีบออกไปต้อนรับอีกฝ่ายพร้อมกับถามไถ่ด้วยรอยยิ้ม “โจวอี้ ทำไมถึงมาที่นี่คนเดียวล่ะ? ไม่รอมาพร้อมกับอวี่เฟยเหรอ?”
โจวอี้อธิบาย “ฉันตรงออกจากบ้านมาที่นี่เลย”
เขาสังเกตเห็นว่าหลินเซี่ยจับจ้องไปที่หน้ากากบนใบหน้าตัวเอง ดวงตาของเขากะพริบเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายว่า “ฉันเป็นหวัด เลยกลัวว่าจะแพร่เชื้อให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว”
“ตรงนั้นมีอ่างน้ำร้อน นายไปสระผมเองก็แล้วกัน เสร็จแล้วฉันจะตัดผมให้”
“ได้”
ระหว่างตัดผม โจวอี้ยังคงปฏิเสธที่จะถอดหน้ากาก โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นไข้หวัดรุนแรง ไม่สามารถเปิดหน้าโดนลมได้จริง ๆ
หลินเซี่ยคุ้นเคยกับรูปหน้าของโจวอี้ดี ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเลือกทรงผมให้เขาเสียใหม่
เธอตัดผมให้เขาเป็นทรงโบล์วคัต ปรับลุคให้ดูเท่และซุกซนในเวลาเดียวกัน
โจวอี้มักจะทำหน้าตาเย็นชาอยู่เสมอ ทำให้บุคลิกดูเป็นคนจริงจังมากเกินไป ต้องอาศัยการตัดผมที่ทันสมัยมากขึ้น จะช่วยให้เขาดูอ่อนเยาว์สมวัย
“เป็นยังไงบ้าง?” หลินเซี่ยถามโจวอี้พลางหมุนเก้าอี้ให้เขาหันไปส่องกระจก
โจวอี้มองดูตัวเองในกระจกพลางพูดพึมพำ “รู้สึกเหมือนฉันย้อนวัยไปเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นเลย”
“นายไม่ได้เป็นตาลุงคร่ำครึซะหน่อย เห็นไหมว่านายดูดี ทันสมัย และหล่อแค่ไหน”
เมื่อเจียงอวี่เฟยรีบรุดมาถึงร้าน ก็ประจวบเหมาะกับที่หล่อนเห็นโจวอี้เพิ่งลุกยืนขึ้นหลังจากตัดผมทรงใหม่เสร็จ
หล่อนจ้องมองโจวอี้เหมือนผู้หญิงที่หลงอยู่กับอะไรบางอย่างจนไม่สามารถละสายตาได้
หลินจินซานยืนอยู่ที่หน้าประตูร้าน แต่เขาทำสีหน้าแบบเดียวกันเมื่อเขามองเห็นว่าเจียงอวี่เฟยมาถึง
หลินเซี่ยมองไปที่เจียงอวี่เฟย จากนั้นจึงมองไปที่หลินจินซาน
มุมปากเธอกระตุกเล็กน้อย
นี่มันความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอะไรกันเนี่ย
หลินเซี่ยรีบไล่หลินจินซานออกไป “พี่ชาย ไปช่วยพี่เฉิงทำงานเถอะ ที่ร้านไม่มีอะไรต้องทำแล้ว”
หลินจินซานมาหมกตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เขาทำงานเสร็จในตอนเช้า โดยที่เฉียนต้าเฉิงก็ไม่มาเรียกเขากลับไปทำงานเสียด้วย
หลินเซี่ยตะโกนบอกเฉียนต้าเฉิง “พี่เฉิง ช่วยหางานให้หลินจินซานทำหน่อยค่ะ”
เฉียนต้าเฉิงเดินออกมา มองหน้าหลินจินชานและชักชวนเขา “ซานจื่อ เข้ามาช่วยพวกเราขนของเร็วเข้า เถ้าแก่ใหญ่จะมาที่นี่ในอีกสองวัน ถ้านายยังมัวเสียเวลากับงานนอกอยู่ อย่าโทษฉันที่ไล่นายออกก็แล้วกัน”
หลินจินซานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอตัวออกไปทำงาน
เจียงอวี่เฟยเดินไปหาโจวอี้แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “โจวอี้ นายมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สักพักหนึ่งแล้ว”
“ฉันตัดผมทรงใหม่ให้โจวอี้เป็นยังไงบ้าง? เขาหล่อมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
เจียงอวี่เฟยหน้าแดง แต่ยังพยักหน้า “เขาหล่อกว่าเดิมอีก”
ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของเขาดูดีขึ้นมากเมื่อตัดผมให้เป็นทรง
หลินเซี่ยเชิญให้พวกเขาเข้าไปในร้าน เพื่อดูว่าเธอยังจำเป็นต้องตกแต่งตรงไหนเพิ่มเติมให้ดูทันสมัยมากขึ้นไหม
หลังจากตัดผมให้โจวอี้แล้ว หลินเซี่ยก็สังเกตเห็นว่าเจ้าของร้านหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียงมากระจุกรวมตัวกันเป็นกลุ่มพร้อมกับชะเง้อชะแง้มองมาทางนี้
ดูเหมือนพวกเขายังคงลังเลว่าควรจะเข้ามาใช้บริการตัดผมดีหรือไม่
ดวงตาของหลินเซี่ยวูบไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนเรียกหลิวกุ้ยอิงที่กำลังทำความสะอาดร้าน
“แม่คะ ฉันว่าฉันดัดผมให้แม่ดีกว่า”
“แม่เหรอ?” หลิวกุ้ยอิงชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ มาดัดผมให้ดูทันสมัยขึ้นกว่าเดิมเถอะ แม่คงเห็นแล้วนี่คะว่าสาว ๆ ในเมืองต่างก็นิยมดัดผมกันทั้งนั้น”
หลินเยี่ยนเห็นด้วย พูดโน้มน้าวว่า “ใช่ค่ะแม่ ลองเปลี่ยนมาดัดผมบ้างดีกว่า แม่จะได้กลายเป็นตัวอย่างเพื่อพิจารณาตัดสินใจ ไม่งั้นคนอื่นจะไม่เชื่อถือในทักษะของพี่สาว และจะไม่กล้ามาดัดผมกับหล่อน”
เพื่อช่วยโฆษณาให้หลินเซี่ย หลิวกุ้ยอิงจึงยอมเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ “งั้นก็ได้จ้ะ”
ในที่สุด หมวกอบร้อนที่ไม่ได้ใช้งานเลยตลอดทั้งช่วงเช้าก็ถูกนำออกมาใช้
หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังรอรับการดัดผม สาว ๆ ทั้งหลายที่เฝ้ามองมาทางนี้จากร้านค้าต่าง ๆ บนถนนจึงออกมาดูผลลัพธ์หลังจากนั้นไม่นาน
ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน ผมของหลิวกุ้ยอิงถูกอบด้วยความร้อนพักหนึ่ง ก่อนที่จะถอดแกนม้วนผมออก
หลังจากเช็ดผมและเป่าให้แห้งแล้ว หลินเซี่ยก็เขียนโครงคิ้วให้ผู้เป็นแม่อีกหน่อย แล้วหันเก้าอี้ออกนอกตัวร้านเพื่อให้ทุกคนเห็นทั่วกัน
“ฝีมือการดัดผมของหล่อนดูเป็นธรรมชาติมากเลยนะ”
“ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากดัดผมไม่เลวเลย” หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่ที่นั่นเป็นนางแบบ ขณะที่หลินเซี่ยอธิบายให้ทุกคนฟัง
“ทุกคนมีรูปร่างโครงหน้าที่แตกต่างกันออกไป ฉันจะออกแบบทรงผมที่เหมาะสมกับคุณโดยพิจารณาจากรูปหน้าและช่วงวัยที่แตกต่างกันเป็นหลัก แม่ของฉันอายุสี่สิบปี ฉันเลยเลือกสไตล์การดัดผมให้ดูเป็นผู้ใหญ่และสง่างามสมวัย พี่สาวด้านข้างคนนี้ดูเหมือนอายุยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น เหมาะกับผมดัดลอนคลายมากกว่า หากดัดผมทรงเดียวกับแม่ฉันคงดูเชยเกินไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เจ้าของร้านอาหารที่อยู่ด้านหน้าก็ก้าวออกมาพลางพูดว่า “งั้นเธอช่วยดัดผมให้ฉันหน่อยสิ ฉันอยากได้ทรงผมลอนคลายแบบที่เธอบอก เราทุกคนจะกลายเป็นเพื่อนบ้านกันในอนาคต ถ้าดัดแล้วไม่เข้าท่า ตัดสั้นซะก็สิ้นเรื่อง”
หลินเซี่ยยิ้มพลางพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยค่ะพี่สาว ฉันไม่ให้คุณต้องตัดผมสั้นอย่างเสียเปล่าแน่นอน”
เจ้าของร้านอาหารคนนี้มีผมยาวประบ่า เหมาะที่จะดัดและม้วนผมแบบปลายงุ้มเข้า หลินเซี่ยจัดแต่งทรงผมของหล่อนใหม่ แล้วเริ่มหยอดน้ำยาเพื่อม้วนผม
เธอทำงานอย่างพิถีพิถัน ทักษะก็คล่องแคล่วและมีความชำนาญมาก มองแวบแรกเหมือนเป็นช่างผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ปาน
เมื่อเธอม้วนผมและจัดการอบร้อนเสร็จ เธอก็ตัดผมให้คุณลุงอีกสองคนที่มาจากอาคารพักอาศัยของโรงงานด้วย
ผลลัพธ์จากการดัดผมของหญิงสาวเจ้าของร้านอาหารไม่ได้ทำให้ทุกคนที่รอชมผิดหวัง
ทรงผมใหม่ทำให้หล่อนกลายเป็นสาวสวยสะพรั่งขึ้นจริง ๆ
เถ้าแก่เนี้ยสาวจ่ายเงินด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดหญิงสาวคนอื่น ๆ ก็ปล่อยวางความกังวลลงได้ ต่างต่อแถวกันเข้ามาแสดงความประสงค์ที่จะดัดผมและตัดผมกันทันที
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเข้าไปแล้ว อากาศโดยรวมเริ่มหนาวเย็นลง หลินเซี่ยพูดกับพี่สาวสองคนที่ตั้งใจว่าจะมาดัดผมกับเธอว่า “ต้องขอโทษด้วยนะคะ วันนี้พวกคุณมาช้าไปหน่อย การดัดผมจะต้องใช้เวลาในการอบร้อนพอสมควร ไม่งั้นทรงผมที่ได้จะออกมาไม่ดีพอ วันนี้ฉันจะหยุดรับลูกค้าแค่นี้ พี่สาวทั้งสองคะ พรุ่งนี้มาดัดผมกับฉันใหม่แล้วกันค่ะ พรุ่งนี้ตรงกับวันมังกรเชิดเศียรพอดีด้วย ถือเป็นฤกษ์ยามดีในการเปลี่ยนทรงผมใหม่”
“ได้ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาดัดผมกับเธอนะ”
หลังจากที่ผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดแยกย้ายกันออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็เก็บแผงบริการตัดผม และย้ายข้าวของทั้งหมดเข้าไปเก็บในร้าน
หลิวกุ้ยอิงเห็นว่าไฟในเตายังไม่มอดดับทีเดียว แถมน้ำในหม้อก็ยังร้อนอยู่ ในฐานะสาวชนบทที่มีนิสัยประหยัดเงินอยู่เสมอ หล่อนจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา รีบบอกว่าอยากทำเหลียงเฝิ่นในหม้อนี้ต่อ จะได้ประหยัดทรัพยากรเตาน้ำมันก๊าดที่บ้าน
หลินเซี่ยถาม “แม่คะ บ้านเรามีแป้งเพียงพอเหรอ?”
“พอสิ แม่ซื้อมาจากตลาดในบ้านเกิดของเรา มีทั้งแป้งมันฝรั่งและแป้งถั่วลันเตา บ้านเกิดเราขายของในราคาที่ถูกกว่า แป้งมันก็บดจากมันฝรั่งที่ขุดได้เอง”
หลิวกุ้ยอิงพูดกับเจียงอวี่เฟยและโจวอี้ “พวกคุณทั้งสองอย่าเพิ่งกลับกันนะคะ ฉันจะทำเหลียงเฝิ่นให้ทุกคนกิน”
พูดจบ หล่อนก็วิ่งกลับบ้านไปเอาแป้งและอุปกรณ์ทำอาหารมาที่นี่
หลิวกุ้ยอิงเป็นคนที่มีคุณธรรมสูง ทั้งยังขยันไม่หวั่นงานหนัก บริหารงานบ้านงานเรือนเก่ง แถมยังทำดีต่อลูก ๆ ทุกคนอย่างเสมอภาค ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆ
เจียงอวี่เฟยมองตามแผ่นหลังของหลิวกุ้ยอิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้าดูไม่เหมือนมาจากชนบทเลยนะ”
“จริงเหรอ? เธอคิดเหมือนกันเหรอเนี่ย?” หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ไม่สังเกตเหรอว่าหลังจากที่หล่อนเปลี่ยนมาดัดผมทรงใหม่ นิสัยและอารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นมั่นใจมากขึ้นทันที แถมกิริยาท่าทางและความเคอะเขินในการสนทนาก็ไม่หลงเหลือแล้ว หล่อนเป็นคนใจดี มีคุณธรรมสมกับเป็นแม่คน ฉันชักจะถูกใจหล่อนเข้าแล้วสิ หรือฉันควรแนะนำให้หล่อนรู้จักกับพ่อฉันดีนะ? พวกเขาสองคนอายุไล่เลี่ยกันเลย…”
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ เจียงอวี่เฟยเฝ้าดูหลิวกุ้ยอิงที่ยุ่งอยู่กับการทำงานบ้าน และกระตือรือร้นในการตระเตรียมอาหารอร่อย ๆ สำหรับหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ทำให้หล่อนอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
แม่ของหล่อนเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว เมื่อเห็นว่าแม่ของเพื่อนทั้งอบอุ่นและใจกว้างถึงขนาดนี้ หล่อนก็รู้สึกทั้งโหยหาและต้องการความรักจากอีกฝ่าย
หลินเซี่ยสะดุ้งกับคำพูดของหล่อน ส่วนโจวอี้ก็มองเจียงอวี่เฟยด้วยสายตาแปลก ๆ
“ไหนว่าเธอถูกใจพี่สาวหวังไง?”
เพิ่งพูดไม่ทันขาดคำ ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมุ่งความสนใจมาที่แม่ของเธออีกแล้ว
เจียงอวี่เฟยอธิบายว่า
“พี่สาวหวังคนนั้นก็น่ารักมากเหมือนกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้สมัครที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ? ฉันลองแนะนำคุณป้าให้พ่อรู้จักดีกว่า ถ้าเราสองคนกลายมาเป็นพี่น้องกันจริง ๆ จะดีขนาดไหน”
หลิวกุ้ยอิงดีกับหลินจินซานผู้เป็นลูกเลี้ยงมาก แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องดีกับหล่อนเช่นเดียวกัน
หลินเซี่ยขัดขวางความคิดเพ้อเจ้อของเพื่อนสาวทันที “จะรีบร้อนคิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายพรรค์นี้ไปทำไม เธอไม่ลองไปจับคู่พ่อตัวเองกับหวังซิ่วฟางก่อนล่ะ?”
หลินเซี่ยคิดว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธออาจจะยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเธอไม่สามารถเป็นแม่สื่อให้หลิวกุ้ยอิงหาสามีใหม่ได้จริง ๆ
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสักวันหนึ่งเธอได้พบเจอกับมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานคนนั้นเข้า?
ถ้าเธอสามารถสืบค้นความจริงและตามตัวบุคคลนั้นจนเจอ ไม่ว่าในอนาคตเขาจะอยากกลับมาสานความสัมพันธ์กับหลิวกุ้ยอิงหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ควรมีสิทธิ์มอบคำอธิบายให้พวกเธอสองแม่ลูก
นอกจากนี้ เธอเกรงว่าตัวหลิวกุ้ยอิงเองก็อาจไม่ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานใหม่
เจียงอวี่เฟยไม่ยอมแพ้ รู้สึกว่าหลินเซี่ยปฏิเสธเพราะหวงหลิวกุ้ยอิง “ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องลองถามคุณป้าตรง ๆ ดูก่อน หล่อนยังอายุไม่เท่าไหร่เลย ในขณะที่คุณป้ายังสาว เธอควรสนับสนุนแม่ให้ค้นพบความสุขของตัวเองสิ อย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลย”
หลินเซี่ยพูดไม่ออก ตอบกลับได้เพียงว่า “ก็ได้ ไว้คืนนี้ฉันจะลองถามให้”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีแนวโน้มร้านตัดผมของเซี่ยเซี่ยจะเติบโตอย่างราบรื่นแล้วสิ
อวี่เฟยใจเย็นก่อนจ้า เธอจะชิปพ่อเธอกับผู้หญิงที่พบเจอทุกคนไม่ได้
ไหหม่า(海馬)