ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 143 ขอความช่วยเหลือจากโจวอี้
ตอนที่ 143 ขอความช่วยเหลือจากโจวอี้
ตอนที่ 143 ขอความช่วยเหลือจากโจวอี้
ครั้นหลินเซี่ยบอกว่าเธอเต็มใจจะขอความเห็นจากหลิวกุ้ยอิง เจียงอวี่เฟยก็รู้สึกปีติยินดีมาก แต่เนื่องจากมีโจวอี้อยู่ข้างกาย หล่อนจึงเก็บอาการทำตัวสงบเสงี่ยมทั้งที่ในใจตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“หยุดเฉไฉไปมาได้แล้ว เธอล่ะถามพ่อตัวเองหรือยังว่าเขาคิดยังไง? เขาเต็มใจจะแต่งงานใหม่หรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวที่กำลังเม้มปากกลั้นยิ้ม
เจียงอวี่เฟยตอบกลับ “เต็มใจแน่นอน หลายปีหลังจากที่แม่ฉันเสีย เขาก็ไม่มีความคิดจะหาคู่ครองใหม่เลย ตอนฉันเริ่มเป็นวัยรุ่นมีหลายคนแนะนำพ่อให้รู้จักผู้หญิงคนอื่นอยู่ เขาเองก็พร้อมสร้างสัมพันธ์ใหม่และขอความเห็นจากฉันจริง ๆ จัง ๆ แต่ฉันในตอนนั้นดันรีบปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณหลังได้ยินคำว่าแม่เลี้ยง พ่อก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างถาวร พอมาคิดดูแล้วก็เสียใจจริง ๆ ที่ทำแบบนั้นกับพ่อ ถ้าไม่รีบหาแม่เลี้ยงตอนนี้ นับวันเขาก็จะยิ่งแก่ตัวลงเรื่อย ๆ เซี่ยเซี่ย ช่วยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หน่อยนะ เธอคุยกับคุณป้าดี ๆ ล่ะ แล้วค่อยหาวันนัดพวกเขาภายหลัง”
“ได้ ฉันจะลองไปคุยดู อย่าเพิ่งรีบร้อนก็แล้วกัน”
หลินเซี่ยดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “ฉันจะไปรับหู่จือก่อน พวกเธอก็นั่งอยู่นี่สักพักระหว่างรอแม่ฉันทำเหลียงเฝิ่น แล้วค่อยออกไปหลังกินข้าวเสร็จก็ได้”
โจวอี้ยืนขึ้นและตั้งท่าจะออกไป “ฉันเองก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน”
หลินเซี่ยพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ต่อ “อย่าเพิ่งไปสิ วันนี้ฉันทำเงินได้เพราะนายเลยนะ ถ้านายไม่ชอบเหลียงเฝิ่น ไว้เราไปร้านอาหารแล้วฉันเลี้ยงอะไรดี ๆ ให้นายก็ได้”
“พอดีฉันมีเรื่องต้องทำจริง ๆ” โจวอี้ยืนกรานปฏิเสธ และเตรียมจะเดินออกไป
เจียงอวี่เฟยยังคงดื่มด่ำกับความสุขกับการหาแม่เลี้ยงคนใหม่ แต่เมื่อเห็นว่าโจวอี้กำลังจะจากไป หล่อนก็ร้อนใจและลุกขึ้นยืนขวางเขาไว้ พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ต่อ แต่โจวอี้กลับไม่มองหล่อนเลยด้วยซ้ำ
จู่ ๆ เจียงอวี่เฟยก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ ด้วยคิดไปว่าโจวอี้เป็นฝ่ายริเริ่มไล่ตามตัวเอง เพราะอย่างน้อยความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อนค้างคุ้นเคยกันดี แต่ท่าทางไม่แยแสของโจวอี้กลับทำให้หล่อนสูญเสียความมั่นใจไปโดยปริยาย
“พรุ่งนี้ฉันจะไปสมัครประกวดนางแบบ นายช่วยไปส่งฉันหน่อยได้ไหม?” เจียงอวี่เฟยรวบรวมความกล้ายืนเผชิญหน้ากับเขา และถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอโทษด้วย พรุ่งนี้ฉันมีงานต้องทำ คงไปส่งไม่ได้”
จากนั้นโจวอี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสต่อไป “ฉันขอตัวก่อน”
หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็เดินออกจากประตูไปทันที
เจียงอวี่เฟยยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น หัวใจจมดิ่งวูบบราวนี่ออนไลน์
“เธอรอที่ร้านไปก่อนแล้วกัน ฉันขอไปรับหู่จือแป๊บเดียว เสร็จแล้วจะรีบกลับมา”
หลินเซี่ยตบไหล่เจียงอวี่เฟย บอกให้หล่อนนั่งลง จากนั้นก็ออกเดินไล่ตามโจวอี้ที่ออกไปก่อนหน้า
โจวอี้เป็นคนลึกลับที่นึกอยากมาก็มานึกอยากไปก็ไป วันนี้เขาตั้งใจมาตัดผม วันข้างหน้าอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วก็ได้ หลินเซี่ยจึงกลัวว่าตนอาจจะไม่ได้พบเขาอีก จึงคิดว่าควรคว้าโอกาสนี้ไว้ รีบพูดว่า “นายจะไปทางไหนเหรอ? กำลังจะไปทางโรงเรียนอนุบาลหรือเปล่า? ฉันอยากคุยกับนายระหว่างทางน่ะ”
โจวอี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ไปทางนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปหยุดคุยกันที่ริมถนนกันก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องสำคัญมากอยากจะคุยกับนายเป็นการส่วนตัว”
โจวอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ได้”
แล้วทั้งสองก็เดินไปทางถนนไร้ผู้คนและยืนคุยกัน
“มีอะไรเหรอ?”
หลินเซี่ยมองหน้าเขา นึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดอย่างระมัดระวังว่า
“โจวอี้ สิ่งที่ฉันพูดต่อไปนี้อาจจะกะทันหันไปหน่อย ฉันหวังว่านายจะไม่รังเกียจ”
โจวอี้สวมหน้ากาก จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าภายในได้ชัดเจน เขาตอบเบา ๆ แค่ว่า “ว่ามา”
“คืออย่างนี้… ฉันอยากถามนายว่า ตอนนี้อาการป่วยหายดีแล้วหรือยัง?” หลินเซี่ยมองตรงไปที่เขา ถามอย่างระมัดระวัง
โจวอี้ดูเหมือนไม่คาดคิดว่าเธอจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา
เมื่อได้ฟังเธอถามเกี่ยวกับตัวเขาเอง เขาก็ลดสายตาลงเล็กน้อยแล้วตอบกลับ “ดีขึ้นแล้ว”
“แล้วนายเข้ารับการรักษาที่ไหน?” คำตอบของเขาทำให้ดวงตาของหลินเซี่ยสว่างวาบ ราวกับมองเห็นความหวัง
เธอรีบอธิบายว่า “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้จะมายุ่งวุ่นเรื่องส่วนตัวของนาย ที่ฉันถามก็เพราะสมาชิกในครอบครัวของฉันคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับนายเหมือนกัน แถมยังอายุไล่เลี่ยกันกับนายด้วย
ตอนนี้เขาอาการไม่สู้ดี เกิดอาการชักบ่อย จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เราทุกคนต่างเป็นห่วงเขามาก เลยอยากถามว่านายรักษาโรคนั้นได้ยังไง พอจะช่วยแนะนำหมอที่เชื่อถือได้ให้เราหน่อยได้ไหม?”
“ครอบครัวของเธอ?” โจวอี้ยกเปลือกตาขึ้นพลางมองดูเธอ
หลินเซี่ยครุ่นคิดและตอบกลับ “อืม เขาเป็นน้องชายฉันเอง”
น้องชายสามีก็ถือเป็นน้องชายเธอด้วยเหมือนกัน
“เพราะอาการจากโรคนี้ บุคลิกของเขาเลยดูไม่ค่อยดี เขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมออกไปข้างนอก จนฉันอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขากำลังเป็นโรคซึมเศร้า ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปฉันก็กลัวจริง ๆ ว่าเขาอาจคิดอะไรตื้น ๆ อย่างที่รู้กัน คนเป็นซึมเศร้ามักทำอะไรโง่ ๆ ได้ง่าย“
หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ ดวงตาของโจวอี้ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มือที่ห้อยอยู่ข้างตัวเกิดอาการสั่นเทาเล็กน้อย
คนเป็นโรคซึมเศร้ามักทำอะไรโง่ ๆ ได้ง่ายเหรอ
ความจริงแล้วผู้ที่เป็นโรคนั้นไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องโง่ ๆ เลย แต่ที่ทำลงไป เพราะคิดแค่ว่ามันคงจะช่วยให้สบายใจกว่าที่เป็นอยู่
หลินเซี่ยมองเขาและขอร้องด้วยสายตาอ้อนวอน “ฉันเห็นว่านายอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เลยอยากให้นายช่วยแบ่งปันประสบการณ์การรักษา เผื่อจะช่วยน้องชายที่น่าสงสารของฉันได้บ้าง”
น้องชายที่น่าสงสาร?
โจวอี้มองเธอด้วยสายตาจริงจังแล้วถาม “เธอเป็นห่วงเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอนสิ ฉันเป็นห่วงคนในครอบครัวทุกคน และทุกคนต่างก็เป็นห่วงเขาไม่ต่างจากฉัน ฉันได้ยินมาว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผ่าตัดที่สามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างสมบูรณ์ นายพอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการผ่าตัดบ้างไหม?”
โจวอี้ตอบกลับ “ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว และกำลังตามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
“โอ้ งั้นเราจะติดต่อกันเป็นครั้งคราวได้ไหม?” หลินเซี่ยพูดอย่างจริงใจ “ฉันหวังว่าน้องชายจะมีเพื่อน และยอมออกไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนนายได้ จริง ๆ แล้วโรคนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่อาจเป็นเพราะนิสัยของเขาเองก็ได้ เขาอาจจะอ่อนไหวและใส่ใจสายตาคนอื่นมากเกินไป”
“เธอต้องเข้าใจเขาให้มาก” โจวอี้หรี่ตาลงและยิ้มอย่างขมขื่น “เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดมาก่อน เลยเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่อะไร”
เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ยด้วยสายตาเศร้าโศกอย่างไม่ปิดบัง “สมัยฉันอยู่ในชั้นเรียนเดียวกันกับเธอ ตอนที่ฉันเริ่มแสดงอาการ เวลานั้นมีคนในชั้นเรียนมากกว่าสี่สิบคน แต่เธอกลับเป็นคนเดียวที่เข้ามาช่วย ต่างจากคนอื่น ๆ ที่เอาแต่กรีดร้องและซ่อนตัว บางคนก็กลัวฉันจนวิ่งหนีออกห่าง จนถึงทุกวันนี้ บางครั้งฉันยังฝันถึงเสียงตะโกนตื่นตระหนกเหล่านั้นได้อยู่เลย และเสียงพวกนั้นก็มัดฉันไว้ราวกับคำสาป“
ช่างน่าเศร้า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาไม่เพียงแต่ต้องย้ายที่เรียนอยู่บ่อย ๆ แต่ยังได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนอยู่ในโรงเรียนนั้นด้วย
ทุกครั้งที่เขาแสดงอาการป่วยในสถานที่ใดที่หนึ่ง ใจของเขาก็เย็นชาจนไม่สามารถยอมรับสภาพแวดล้อมได้ และตัดสินใจย้ายไปเรียนที่อื่นอีกครั้ง…
เขาไม่กล้าออกไปข้างนอกนานเกินไป ไม่กล้าไปในที่แออัด และมักกำยาบรรเทาอาการไว้ในมือ…
“ฉันเข้าใจ อวี่เฟยและฉันถึงได้ดีใจมากที่เห็นนายอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น เราไม่เคยรู้สึกว่านายแตกต่างไปจากเราเลยนะ อวี่เฟยเองก็คอยติดตามเรื่องของนายมาตลอดหลายปี ตอนนี้พอเราได้เจอนายในสภาพที่ดีขึ้นจนเหมือนคนทั่วไป พวกเราก็ยินดีกับนายด้วยจริง ๆ ฉันหวังว่าน้องชายจะได้เรียนรู้บทเรียนจากนาย และหวังว่านายจะช่วยเหลือเขาได้”
“ฉันจะช่วยได้ยังไง?” โจวอี้ถาม
หลินเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองดูเขาอย่างคาดหวังและผุดความคิดขึ้นว่า “ฉันจะหาทางพาน้องชายออกมานอกบ้าน เพื่อนายจะได้ผูกมิตรกับเขา แล้วก็แบ่งปันประสบการณ์ให้กันและกัน รวมถึงแบ่งปันแนวทางการรักษา จะได้เป็นการให้กำลังใจเขาเพื่อให้เขาออกจากโลกส่วนตัว”
ว่ากันว่ามีภาษาเฉพาะในหมู่ ‘ผู้ป่วย’ หรือกลุ่มของพวกเขาเอง ดังนั้นพวกเขาควรจะมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แค่กอดกันก็อุ่นใจแล้ว
“เขาอายุเท่าไหร่? บุคลิกเป็นยังไง?” โจวอี้หรี่ตามองหลินเซี่ยและถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“อายุก็… 20 ต้น ๆ รูปร่างหน้าตาก็ดี หล่อด้วยนะ หล่อพอ ๆ กับนายเลย” หลินเซี่ยมองโจวอี้แล้วพูดพลางเผยรอยยิ้ม
คนในครอบครัวเฉินเจียเหอทุกคนต่างก็หน้าตาดีมาก น้องชายของเขาเองก็ไม่ต่างกัน
โจวอี้เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “เหมือนฉันเหรอ?”
“ถ้าเรื่องหน้าตาคงจะมีความต่างอยู่บ้าง แต่สภาพจิตใจของเขาไม่ดีเท่านายแน่นอน เพราะเขามักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน และค่อนข้างปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก”
หลินเซี่ยเผยรอยยิ้ม ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “แต่เขาฉลาดมากเลยนะ ดูเหมือนจะชอบเรียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมด้วย ถ้าเขาเปิดใจและออกมาจากสภาพแวดล้อมอันหม่นหมองนั้นได้ เขาจะกลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์หาตัวจับได้ยากในอนาคตแน่นอน นายเองก็กำลังเรียนออกแบบอยู่ ฉันหวังว่านายจะเป็นเพื่อนและให้กำลังใจเขาได้จริง ๆ โรคนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เรามาร่วมกันหาวิธีการรักษาที่ได้ผลดีกันเถอะ ฉันได้ยินมาว่ามีเคสหนึ่งที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโรคลมบ้าหมูที่เกิดจากการบาดเจ็บด้วยการผ่าตัด หลังผ่าตัดก็ไม่มีอาการนี้มารบกวนอีกเลย“
ไม่กลับมาอีกเลย…
คำพูดเหล่านี้เปรียบเสมือนแสงที่ส่องตรงเข้าสู่หัวใจโจวอี้
มันจะมีวันนั้นจริง ๆ เหรอ?
“โจวอี้ นายต้องช่วยพวกเรา และช่วยน้องชายฉันนะ”
โจวอี้ตอบกลับ “ไม่ต้องกังวล เขาไม่ได้เปราะบางขนาดนั้นหรอก”
“แปลว่านายตกลงแล้วใช่ไหม?” หลินเซี่ยมองเขาและถามหยั่งเชิง
“อืม เธอพาเขาออกมาให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยคุยกัน”
“งั้นเราพอจะแลกข้อมูลติดต่อกันไว้ได้ไหม?”
โจวอี้หยิบเพจเจอร์ที่เพิ่งซื้อมาแล้วพูดว่า “จดเลขเพจเจอร์ของฉันไปแทนแล้วกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สู้กับโรคนี้ไปด้วยกันนะ นายไม่ได้เดินอยู่คนเดียวนะโจวอี้
ไหหม่า(海馬)