ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 144 เฉินเจียวั่งตัดผมแล้ว
ตอนที่ 144 เฉินเจียวั่งตัดผมแล้ว
ตอนที่ 144 เฉินเจียวั่งตัดผมแล้ว
หลังโจวอี้จากไป หลินเซี่ยก็ไปโรงเรียนอนุบาลเพื่อรับหู่จือ แต่เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนที่ตนกับโจวอี้ยืนคุยกันริมถนนนั้นมีใครบางคนจ้องมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล
เมื่อพวกเขามาถึงทางเข้าโรงเรียนอนุบาล เสี่ยวฮวาและหู่จือก็ออกมาพร้อมกัน เมื่อเสี่ยวฮวาเห็นหลินเซี่ย หล่อนก็พูดอย่างไพเราะ “น้าเซี่ยเซี่ย แม่หนูบอกให้วันนี้กลับพร้อมน้าน่ะค่ะ เพราะวันนี้แม่ไม่ว่างมารับ”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “อืม งั้นเรากลับพร้อมกันนะ”
เธอพาหู่จือและเสี่ยวฮวาไปที่ร้าน ขณะที่หลิวกุ้ยอิงกำลังทำเหลียงเฝิ่นในหม้อใบใหญ่อยู่หน้าร้าน เจียงอวี่เฟยก็อยู่ตรงนั้นด้วย และยืนดูอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลังจากหลิวกุ้ยอิงทำเสร็จแล้ว หล่อนก็ตักเหลียงเฝิ่นลงในกะละมังแล้วนำไปวางไว้ข้างนอกเพื่อพักให้เย็นตัวลง
เวลานี้อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่สี่หรือห้าองศาเซลเซียส ซึ่งค่อนข้างหนาวมากทีเดียว
ในช่วงที่อากาศเย็นลง หลิวกุ้ยอิงก็เริ่มปรุงน้ำซุป
หลังจากหลินเซี่ยขอให้หล่อนตั้งแผงขายอาหารในเมืองเพื่อขายเหลียงเฝิ่น หล่อนก็ทำงานหนักในบ้านเพื่อฝึกฝนทักษะของตัวเอง พยายามเรียนรู้เพื่อปรับรสชาติน้ำซุปด้วยเครื่องปรุงที่มีตามที่หลินเซี่ยพูด
“คุณอวี่เฟย ลองชิมหน่อยสิจ๊ะ”
“ได้ค่ะ” เจียงอวี่เฟยจิบซุปแล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “คุณป้า มันอร่อยมากเลยค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงยิ้มและพูดว่า “คุณอวี่เฟย อีกไม่นานฉันจะตั้งแผงขายอย่างจริงจัง คุณต้องบอกความจริงมา อย่าโกหกว่าอร่อยนะ”
“โธ่คุณป้า มันอร่อยจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ให้หลินเยี่ยนลองชิมดูสิคะ”
หลินเยี่ยนพูดว่า “ฉันชิมทุกวันเลยค่ะตอนอยู่ที่บ้าน คิดว่ารสชาติค่อนข้างดีเลยนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าคนเมืองชอบกินแบบไหน”
“อันนี้รสชาติดีมาก ฉันว่าพี่สาวทั้งหลายต้องชอบแน่ ๆ ส่วนคนอื่นบางคนอาจชอบรสจัด บางคนก็ชอบรสอ่อน ๆ ไม่งั้นก็จัดเครื่องปรุงแยกให้เติมตามใจชอบของแต่ละคนก็ได้”
“ใช่ ส่วนผสมบางอย่างไม่ต้องเติมในตอนแรกก็ได้ ไว้ค่อยเติมเมื่ออยากเพิ่มรสชาติ”
หลินจินซานแทรกตัวเข้ามา “ให้ฉันชิมบ้างสิ”
เจียงอวี่เฟยถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
“พวกเรากลับมาแล้ว”
หู่จือเริ่มแนะนำสมาชิกในครอบครัวใหม่ให้รู้จักกับเสี่ยวฮวา “นั่นคือคุณยายฉันเอง นั่นน้าของฉัน และก็ลุงของฉัน”
“พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติของฉันหมดเลย” หู่จือเคยเป็นที่รักของเฉินเจียเหอและลุง ๆ หลายคนก็จริง แต่ความจริงแล้วเขาขาดการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ หลิวกุ้ยอิงเป็นคนอ่อนโยนและใจดี ส่วนหลินจินซานไม่ค่อยพูดมากเท่าใด ถึงอย่างนั้นหู่จือก็ชอบพวกเขามาก
เฉียนต้าเฉิงกำลังจะเลิกงาน แต่หลินจินซานชักชวนให้เขาอยู่ต่อ
“พี่เฉิง อย่าเพิ่งไปสิ มากินเหลียงเฝิ่นที่แม่ผมทำก่อนแล้วค่อยกลับ”
เฉียนต้าเฉิงอยู่ร่วมโดยไม่คัดค้านใดๆ
หลินเซี่ยซื้อซาลาเปาสองสามชิ้น ขณะที่กลุ่มคนกำลังอัดแน่นกันอยู่ในร้าน พวกเขากินเหลียงเฝิ่นคนละชามพร้อมกับซาลาเปานึ่ง
เฉียนต้าเฉิงและเจียงอวี่เฟยต่างบอกว่ามันอร่อยมาก และหลินเซี่ยก็คิดว่ารสชาติอาหารนี้ดีกว่าตอนทดลองทำ มันดีจนถึงขั้นเปิดแผงขายได้
ไม่นานก็เหลือเหลียงเฝิ่นแค่ชามเดียวเท่านั้น หลิวกุ้ยอิงจึงขอให้หลินเซี่ยนำกลับบ้าน แต่หลินเซี่ยกลับเอาไปส่งให้เจ้าของร้านอาหารฝั่งตรงข้ามซึ่งมาดัดผมกับเธอในช่วงบ่าย
เจียงอวี่เฟยไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้ วันนี้เลยต้องรีบกลับ
ก่อนออกเดินทาง หล่อนดึงหลินเซี่ยแล้วกระซิบว่า “เธออย่าลืมถามความเห็นจากคุณป้านะ ยังไงฉันก็คิดว่าป้าเขาเหมาะกับพ่อฉันจริง ๆ พรุ่งนี้ถ้าพ่อฉันมีเวลา ฉันจะพาเขามาตัดผม แล้วนัดแนะให้พวกเขาพบกันที่ร้านตัดผมนี่แหละ”
เจียงอวี่เฟยเฝ้าดูหลิวกุ้ยอิงทำงานยุ่งอยู่ที่นั่นตลอดบ่าย หล่อนดูเป็นคนอบอุ่นและมีคุณธรรมมาก เจียงอวี่เฟยจึงชอบหล่อนอย่างจริงจัง
หลินเซี่ยพูดว่า “แค่ตัดผมน่ะได้ แต่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย”
“แต่เธอก็ลองถามก่อนแล้วกัน”
เจียงอวี่เฟยโบกมือให้เธอ “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ”
หลินเซี่ยพาเจียงอวี่เฟยขึ้นรถประจำทาง จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน
เมื่อถึงตรงทางแยกถนน หลินเซี่ยพาหู่จือและเสี่ยวฮวาเดินเลี้ยวไปทางโรงงานยานยนต์ “แม่คะ ฉันขอพาเด็ก ๆ กลับไปส่งที่บ้านก่อน พรุ่งนี้เช้าฉันจะขอให้พี่ชายช่วยพาแม่กับเสี่ยวเยี่ยนมาหาที่บ้านพักอาศัยของพนักงานนะ”
หลังจากส่งเสี่ยวฮวาที่บ้านของหวังซิ่วฟางแล้ว หลินเซี่ยก็พาหู่จือกลับบ้าน
เมื่อมองดูบ้านที่ว่างเปล่า หลินเซี่ยก็เริ่มคิดถึงและกังวลเกี่ยวกับเรื่องเฉินเจียเหออีกครั้ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลย
ถ้าไปถามเลขาหลี่อีกรอบ เขาคงพูดจาทำนองเดิม ๆ ว่าสมาชิกในครอบครัวต้องสนับสนุนงานของพวกเขา
หลินเซี่ยไม่กล้าถามซ้ำ เพราะกลัวเลขาหลี่จะคิดว่าเธอโง่เขลา และเป็นคนหน้าซื่อใจคด
“หู่จือ ทุกครั้งที่พ่อเขาออกไปทำงาน เขาออกไปนานแค่ไหนกว่าจะกลับมาเหรอ?” หลินเซี่ยใส่เสื้อผ้าของหู่จือลงในเครื่องซักผ้า พลางถามเขาถึงเรื่องพ่อ
หู่จือเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า
“ไม่แน่นอนครับ บางทีก็สองวัน บางทีก็สามวัน เหมือนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาไปทำงานข้างนอกหลายวัน ผมเลยต้องไปพักอยู่ที่บ้านคุณลุงฟาง แม่ถามแบบนี้เพราะคิดถึงพ่อของผมใช่ไหม?” หู่จือเดินตามอยู่ข้างหลัง คอยดูเธอทำงานบ้านแถว ๆ เครื่องซักผ้า
“แล้วลูกไม่คิดถึงพ่อบ้างเหรอ?” หลินเซี่ยหันกลับมามองและถามพลางแสดงรอยยิ้ม
หู่จือตอบกลับว่า “ผมก็มีคิดถึงพ่อบ้าง แต่พอมีคนอยู่ด้วย ผมก็ไม่ได้คิดถึงพ่อมากเหมือนเมื่อก่อน”
หลินเซี่ยเปิดเครื่องซักผ้า ก่อนเอื้อมมือไปบีบแก้มหู่จือ “เจ้าเด็กตัวน้อยไร้หัวใจเอ๊ย ถ้าแม่ละเลยพ่อของลูก พ่อของลูกก็คงโกรธเหมือนกันแหละ”
“พ่อของผมไม่โกรธหรอกครับ” หู่จือเดินตามเธอกลับไปที่ห้องนั่งเล่น จากนั้นทั้งสองก็นั่งดูการ์ตูนบนโซฟาด้วยกัน
“แม่ ผมสงสัยอยู่ตลอดเลยว่าผมเป็นลูกในสายเลือดแท้ ๆ ของพ่อหรือเปล่า”
“ทำไมคิดอย่างงั้นล่ะ?”
“ถ้าผมเป็นลูกชายแท้ ๆ ของพ่อ ทำไมปู่ย่าตายายและอารองถึงไม่ชอบผมล่ะ ปู่ย่าตายายของเพื่อนในชั้นเรียนผมนะ พวกเขารักใคร่ลูกหลานของตัวเองกันทั้งนั้น”
หู่จืออายุแค่ห้าขวบเท่านั้น แต่เป็นเด็กฉลาดและอ่อนไหว อาจเป็นเพราะเติบโตมาในครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยว จึงรู้วิธีสังเกตคำพูดและอารมณ์ของคนอื่นด้วย
“แถมตงตงยังบอกอีกว่าพ่อต้องเก็บผมจากถังขยะแน่ ๆ” หู่จือมองหลินเซี่ยด้วยดวงตาเล็กใสซื่อที่สั่นไหวเล็กน้อยด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แม่ ผมเป็นลูกแท้ ๆ หรือเปล่า? ถ้าพ่อไม่ได้เก็บผมมาจากถังขยะจริง ทำไมผมถึงไม่มีแม่ล่ะ? ที่บ้านก็ไม่มีแม้แต่รูปถ่ายแม่ของผมด้วยซ้ำ”
หลินเซี่ยลูบหัวเขาและหัวเราะเบา ๆ “เด็กโง่ ลูกยังเชื่อคำพูดของเจ้าตงตงนั่นอีกเหรอ? จะมีเด็กที่ถูกเก็บจากถังขยะได้ยังไงกัน? ลูกกำลังคิดอะไรอยู่? ปู่ย่าตายายทุกคนต่างก็มีงานทำ แถมยังเป็นถึงอดีตเจ้าคนนายคน พวกเขาเลยไม่มีเวลาดูแลลูก ต่างจากปู่ย่าตายายของเด็กคนอื่นที่เกษียณอายุแล้ว เลยมีเวลาดูแลลูกหลานตัวเองไงล่ะ ส่วนรูปถ่ายของแม่ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนสตูดิโอถ่ายภาพมีน้อยมาก ท่านอาจไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปเลยก็ได้“
หลินเซี่ยมองตาเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรัก “ลองนึกภาพว่าเธอหน้าเหมือนแม่สิ”
ชาติที่แล้ว เธอจำแม่ของหู่จือได้ ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานใหม่หลังจากทิ้งเขาไป
เมื่อคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะปรากฏตัวเพื่อทวงสิทธิ์ความเป็นแม่ในอนาคต หลินเซี่ยก็ปวดหัวขึ้นมา
“อืม”
ในที่สุดหู่จือก็มีความสุขและยิ้มออก
หลินเซี่ยเปลี่ยนหัวข้อการคุย “พรุ่งนี้วันที่ 2 เดือน 2 แม่อยากกินถั่ว ตอนเช้าอย่าลืมเตือนล่ะ เมื่อเราไปโรงเรียน แม่จะแวะซื้อถั่วให้ลูก แล้วเราค่อยไปโรงเรียนอนุบาลกัน”
“วันที่ 2 เดือน 2 วันมังกรเชิดเศียรใช่ไหมครับ? จำเป็นต้องตัดผมไหม?” หู่จือถาม
หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ตัดสิ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หู่จือก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พรุ่งนี้ผมจะขอให้อาสามออกจากบ้านมาให้แม่ตัดผม ผมของอาสามยาวมากเลย ผมบอกอาครั้งที่แล้วว่าจะพาเขามาที่นี่เพื่อให้แม่ตัดผมให้อาในวันมังกรเชิดเศียร”
เมื่อหู่จือพูดแบบนี้ ดวงตาของหลินเซี่ยก็สว่างวาบ “ดีเหมือนกัน แต่พรุ่งนี้ลูกยังต้องไปโรงเรียน ไว้แม่จะโทรกลับไปที่บ้านในตอนเช้า และขอให้อาสามของลูกเป็นฝ่ายออกมาหาก็แล้วกัน แม่จะได้ตัดผมให้เขา”
เธอกังวลว่าเวลาปกติอาจไม่มีโอกาสที่น้องเขยซึ่งเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านจะออกมาเห็นแสงสว่างยามกลางวัน ดังนั้นอุบายชวนเขาออกมาตัดผม จึงเป็นเหตุผลที่ดีมากในการดึงตัวออกมา
“ครับ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนไปโรงเรียนอนุบาล หลินเซี่ยพาหู่จือไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ กดหมายเลขในสมุดโทรศัพท์บ้านและขอให้หู่จือเป็นคนคุย
ผู้เฒ่าเฉินรับโทรศัพท์
“หู่จือ ทำไมโทรมาแต่เช้าเชียวล่ะ? ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ?”
“คุณปู่ทวด ผมมีเรื่องสำคัญมากจะบอกครับ รบกวนช่วยผมหน่อยได้ไหม?”
เสียงของหู่จือดังต่อไปว่า “วันนี้วันที่ 2 เดือน 2 วันมังกรเชิดเศียร ผมตกลงกับอาสามว่าจะพาเขาออกมาตัดผมกับแม่วันนี้ คุณปู่ช่วยบอกอาสามและขอให้เขามาหาแม่ตอนเที่ยงทีได้ไหม ร้านแม่อยู่อยู่หลังโรงงานของพ่อพอดี”
“หู่จือ อาสามของหลานตัดผมไปเรียบร้อยแล้ว” ผู้เฒ่าเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
“ตัดแล้วเหรอครับ?” หู่จือพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ เขาเป็นคนออกไปตัดผมเอง แถมทรงผมใหม่ของเขาก็ดูดีมากด้วย ไม่ต้องห่วงนะ หลานรีบไปโรงเรียนดี ๆ ล่ะ ถ้าคิดถึงบ้านเมื่อไหร่ให้บอกปู่ได้เลย เดี๋ยวปู่จะไปรับเอง”
เขาไม่ใช่แค่ออกไปตัดผม แต่ยังออกไปเจอเพื่อนเก่าด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเฉินเจียวั่งช่วงสองวันที่ผ่านมา ที่บ้านจึงกลับมามีเสียงหัวเราะอีกครั้ง
หู่จือตอบกลับทันควันโดยไม่หยุดคิด “ผมยังไม่อยากกลับบ้านครับ คุณยายเตรียมอาหารอร่อย ๆ ไว้ให้เยอะเลย แถมยังมีลุงกับน้าอยู่เล่นกับผมด้วย ทางนี้พวกเรายุ่งกันมากครับ”
“คุณปู่ ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ”
“อาสามตัดผมไปแล้วฮะ” หลังจากวางสาย หู่จือทำหน้ามุ่ยและพึมพำอย่างไม่พอใจ “อ้อ เขาเป็นคนบอกเองว่าถ้าตัดผมในเดือน 1 ชีวิตของเขาอาจตกอยู่ในอันตราย ก็เลยรีบออกไปตัดผมตั้งแต่เมื่อวานสินะ”
หลินเซี่ยเองก็ผิดหวังไม่น้อยเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้โอกาสนี้นัดพบกับเฉินเจียวั่ง จากนั้นก็แนะนำเขาให้รู้จักกับโจวอี้ แล้วให้พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกัน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครเป็นแม่หู่จือกันนะ ต่อไปจะมีเรื่องยุ่งๆ หรือเปล่า
เสียดายจังที่อาสามตัดผมไปแล้ว
ไหหม่า(海馬)