ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 146 เจ้าชายนิทราเสิ่นอวี้หลง
ตอนที่ 146 เจ้าชายนิทราเสิ่นอวี้หลง
ตอนที่ 146 เจ้าชายนิทราเสิ่นอวี้หลง
พอผู้เฒ่าเฉินแสดงสีหน้ามืดมนแบบนั้น หลินเซี่ยก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เธอมองไปที่ผู้เฒ่าเซี่ยและเชื้อเชิญด้วยความเคารพว่า “คุณตา เชิญนั่งลงก่อนค่ะ เดี๋ยวฉันจะสระผมให้คุณเอง”
ดูเหมือนผู้เฒ่าเซี่ยจะยังไม่เชื่อในทักษะการตัดผมของหลินเซี่ย เขาจึงปฏิเสธ
“ช่างเถอะ ไหน ๆ เราก็มาดูกิจการเธอถึงที่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตัดผมหรอก”
เขาถูกผู้เฒ่าเฉินลากมาที่นี่ ต่อให้ผมของเขาจะยาวไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะตัดอยู่ดี
“แต่ผมของคุณเริ่มยาวแล้วจริง ๆ นะคะ ให้ฉันตัดผมให้เถอะค่ะ คุณจะได้เชื่อในทักษะของฉันซะที” หลินเซี่ยต้องการชดใช้ความผิดให้ผู้เฒ่าเซี่ย จึงกระตือรือร้นมากที่จะลบล้างชื่อเสียงในทางลบของตัวเอง
“เอาล่ะ หยุดทำตัวหยิ่งยโสได้แล้ว รีบนั่งลงเร็วเข้า ฉันบอกนายแล้วไงว่าหล่อนฝึกฝนเพิ่มเติมจนเก่งแล้ว นายก็เห็นนี่ว่าหล่อนตัดผมให้ฉันดีแค่ไหน?”
เฉียนต้าเฉิงบังเอิญเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเซี่ยลังเลและกังวลที่จะให้หลินเซี่ยตัดผม เขาก็ยิ้มแล้วช่วยพูดว่า
“ดูนี่สิครับ เสี่ยวหลินก็ตัดผมให้ผมเหมือนกัน ทุกคนที่เปิดร้านอยู่บนถนนสายนี้ต่างก็มาใช้บริการตัดผมกับหล่อนทั้งนั้น พนักงานจากโรงงานใกล้เคียงก็เหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้หล่อนตัดผมให้ลูกค้าไปหลายสิบหัวไม่ใช่เหรอ? เร็วแทบไม่ต่างอะไรจากเครื่องจักร แถมไม่มีใครผมเสียทรงด้วย ทุกคนจ่ายเงินแล้วจากไปพร้อมกับรอยยิ้มกันหมดเลยครับ”
“เห็นไหม พ่อหนุ่มคนนี้ตัดผมกับหล่อนแล้วดูดีออกไม่ใช่เหรอ?”
ผู้เฒ่าเซี่ยถูกผู้เฒ่าเฉินกดให้นั่งลงบนเก้าอี้
หลินเซี่ยจัดการสระผม จากนั้นก็เริ่มตัดผมให้เขา เธอบรรจงทำทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวัง มือที่ถือกรรไกรไม่กล้าผ่อนคลายสักนิด จากทรงผมที่เรียบง่าย กลับใช้ความพิถีพิถันและระมัดระวังเป็นพิเศษ ทำให้เธอใช้เวลาในการตัดผมนานกว่าปกติถึงสองเท่า
หลังจากตัดผมเสร็จ ในที่สุดหลินเซี่ยก็มองดูผู้เฒ่าเซี่ยอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “คุณตา ทรงผมออกมาเป็นที่น่าพอใจไหมคะ?”
ผู้เฒ่าเซี่ยเหลือบมองตัวเองในกระจก ในที่สุดก็ไม่ได้สาปแช่งเธอ “ไม่เลว”
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้ว” ผู้เฒ่าเซี่ยตั้งท่าจะเดินออกไปหลังจากตัดผมเสร็จ
ผู้เฒ่าเฉินหยุดเขาแล้วพูดว่า “เราเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน นั่งพักสักครู่เถอะ”
“เย็นมากแล้ว ฉันยังต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมหลานชายฉัน” ผู้เฒ่าเซี่ยพูด จากนั้นมองไปที่หลินเซี่ยพร้อมกับถามอย่างมีความหมาย “เธอคงรู้ใช่ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”
“หืม?” หลินเซี่ยได้ยินผู้เฒ่าเซี่ยถามแบบนี้ หัวใจของเธอพลันสะดุ้งวูบขึ้นมาทันใด ก่อนที่เธอจะคิดอะไรบางอย่างออก มองไปที่ผู้เฒ่าเซี่ยและพูดด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ “คุณตา วันนี้เป็นวันเกิดของอวี้หลงค่ะ”
เสิ่นอวี้หลงเกิดวันที่ 2 กุมภาพันธ์
ชาติที่แล้วเสิ่นอวี้หลงกลายเป็นเจ้าชายนิทราและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ดังนั้นความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับเขาจึงถูกเธอเพิกเฉยและลืมเลือนไปบ้าง
“คุณตา คุณจะไปเยี่ยมอวี้หลงที่โรงพยาบาลเหรอคะ? ขอฉันไปด้วยได้ไหม?”
เธอไม่กล้าไปคนเดียวโดยที่ไม่มีคนอื่นซึ่งเชื่อถือวางใจได้ไปด้วย
เมื่อได้ยินว่าหลินเซี่ยก็อยากไปเยี่ยมอดีตน้องชายเช่นกัน ท้ายที่สุดผู้เฒ่าเซี่ยก็มีอารมณ์อ่อนลง
อย่างน้อยเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ได้ไร้คุณธรรมเสียทีเดียว
“ไปเถอะ”
หลินเซี่ยบอกให้หลินจินซานปิดร้าน ทั้งยังกำชับให้เขาออกไปรอรับหู่จือที่ประตูทางเข้าโรงเรียนอนุบาลล่วงหน้า เพราะเธออาจจะกลับมาไม่ทันห้าโมงเย็น
จากนั้นเธอก็ติดตามผู้เฒ่าเซี่ยมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาล
หลังออกมาจากประตูร้านแล้ว ผู้เฒ่าเฉินก็บอกว่า “ในเมื่อเซี่ยเซี่ยอยากไปเยี่ยม ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับเธอด้วย”
ถ้ามองจากในมุมของหลานชายทั้งสองคน ครอบครัวของเสิ่นเถี่ยจวินก็ถือเป็นญาติกันกับครอบครัวเฉิน ลูกชายของเสิ่นเถี่ยจวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนมีอาการสาหัส เขาเองก็ควรไปเยี่ยมเยียนอีกฝ่ายสักหน่อย
ชายชราสองคนเดินทางมาด้วยรถโดยสาร ตอนนี้ทั้งสามจึงใช้วิธีเดียวกันขึ้นรถไปยังโรงพยาบาล ขณะที่หลินเซี่ยมีอารมณ์ซับซ้อนตลอดทาง
เสิ่นอวี้หลงกลายเป็นเจ้าชายนิทราหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนป่านนี้ยังไม่ได้สติฟื้นขึ้นมา จึงไม่จำเป็นต้องซื้อของไปเยี่ยมไข้เขา เพราะต่อให้ซื้อมาแล้วเสิ่นอวี้หลงก็ไม่สามารถกินได้อยู่ดี
ขณะนี้เขาใส่ท่อช่วยหายใจและป้อนอาหารเหลวทางสายยาง หลินเซี่ยจึงเลือกที่จะไม่ซื้อของกินไปฝาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเอง
เมื่อพวกเขามาถึงแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ก็ปรากฏร่างเสิ่นอวี้หลงนอนทอดยาวอยู่บนเตียงคนไข้ในสภาพหมดสติ ขณะที่เซี่ยหลานนั่งอยู่คนเดียวหน้าเตียง เฝ้าเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างเงียบ ๆ
เซี่ยหลานได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่ประตู จึงหันกลับไป เมื่อเห็นพวกเขาก็รีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นยืนทันที “พ่อ คุณลุงเฉิน ทำไมถึงมาที่นี่ได้คะ?”
ดวงตาของหล่อนจ้องมองไปที่หลินเซี่ยซึ่งอยู่ด้านหลัง “เซี่ยเซี่ยก็มาด้วยเหรอ?”
“ค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดของอวี้หลง ฉันก็เลยขอตามคุณปู่กับคุณตามาเยี่ยมเขาค่ะ”
หลินเซี่ยมองไปที่ชายหนุ่มที่นอนไม่ได้สติบนเตียงในโรงพยาบาล ดวงตาของเธอถึงกับพร่ามัวไปครู่หนึ่ง
เด็กชายคนนี้เคยเป็นน้องชายของเธอมาตลอดสิบห้าปี เวลานี้เขายังคงนอนนิ่งอยู่ที่นี่ โดยไม่รู้เลยว่าพี่สาวแท้ ๆ ของเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ผู้เฒ่าเซี่ยถามเซี่ยหลาน “เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“อาการยังทรง ๆ เหมือนเดิมค่ะ”
เซี่ยหลานบอกว่า “แต่หมอเย่บอกว่าสถานการณ์โดยรวมของเขาเริ่มดีขึ้น บางทีเราอาจมีความหวัง”
ผู้เฒ่าเฉินมองไปทางเด็กหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง รู้สึกกังวลและห่วงใย
ทันใดนั้นเย่ไป๋แพทย์เจ้าของไข้ที่ดูแลเสิ่นอวี้หลงก็เดินเข้ามาในห้อง เขาสวมเสื้อกาวน์สีขาว ถือแฟ้มรายการผู้ป่วยไว้ในมือข้างหนึ่ง
“คุณปู่เฉิน ทำไมถึงมาที่นี่ครับ?” เย่ไป๋ดูสับสนเมื่อเห็นผู้เฒ่าเฉิน
“ฉันตามเหล่าเซี่ยมาเยี่ยมหลานชายของเขาน่ะ”
หลังจากเข้าไปในวอร์ด เย่ไป๋ก็เห็นผู้เฒ่าเซี่ย จึงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณปู่เซี่ย”
เย่ไป๋มอบแฟ้มรายการในมือให้กับเซี่ยหลาน บอกหล่อนว่า “หมอเซี่ย สั่งซื้อยาตามรายการนี้ แล้วอย่าลืมป้อนสารอาหารที่จำเป็นแก่เขาอย่างครบถ้วนด้วยนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมาก”
สายตาของหลินเซี่ยจับจ้องไปที่เย่ไป๋ตั้งแต่เขาเดินเข้ามา
เย่ไป๋สังเกตเห็นว่าหญิงสาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองเขา จึงพยักหน้าให้ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ
หลินเซี่ยรวบรวมความกล้าของตัวเองเข้าไปกล่าวทักทายเย่ไป๋
“นี่ภรรยาของเจียเหอ” ผู้เฒ่าเฉินแนะนำให้เธอรู้จักกับเย่ไป๋
ใบหน้าหล่อเหลาของเย่ไป๋เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาแต่งงานกับสาวน้อยแสนสวยคนนี้จริง ๆ สินะ!
เย่ไป๋ปกปิดความประหลาดใจบนใบหน้า ทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สวัสดีครับ ผมชื่อเย่ไป๋ เป็นเพื่อนของเฉินเจียเหอ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลินเซี่ย”
คราวนี้เมื่อหลินเซี่ยเห็นหน้าเย่ไป๋อย่างชัดเจน ในไม่ช้าข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับเขาในชาติก่อนก็ปรากฏขึ้นในใจของเธอ
เขาเป็นหมอให้การรักษาเสิ่นอวี้หลง ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดนับตั้งแต่เสิ่นอวี้หลงถูกย้ายมาอยู่ในความดูแลของแผนกศัลยกรรมประสาท
ต่อมา เสิ่นอวี้หลงกลับล้มเหลวในการฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง เรื่องนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่โจมตีเย่ไป๋อย่างรุนแรง
และเนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินเจียเหอ เธอได้ยินว่าเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการรักษาเฉินเจียวั่งน้องชายของเฉินเจียเหอเช่นกัน
ถึงอย่างนั้น เฉินเจียวั่งก็ยังคงสิ้นหวังและฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา
การเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ยังวัยรุ่นทั้งสองคนแบบตามมาติด ๆ ทำให้เกิดความบอบช้ำทางจิตใจอย่างมากต่อเย่ไป๋ ในที่สุดเขาก็ลาออกเพราะคิดว่าตัวเองล้มเหลวในฐานะแพทย์ แล้วหายไปจากไห่เฉิงอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อพูดถึงการตายของเสิ่นอวี้หลง หลินเซี่ยยังคงสับสนกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
ชาติก่อนของเธอ เธอจำได้ว่าเย่ไป๋เป็นคนวินิจฉัยเองว่าอาการของเสิ่นอวี้หลงกำลังพัฒนาไปในแนวโน้มที่ดีขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะฟื้นขึ้นมา
แต่แล้วจู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หยุดหายใจไปดื้อ ๆ
เมื่อมองไปยังเด็กชายตัวขาวซีดและผอมซูบบนเตียงคนไข้ หลินเซี่ยก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เริ่มคิดถึงความน่าจะเป็นอื่น
ตอนนั้น หลังจากที่เธอออกมาจากชนบทได้แล้ว เธอมักจะแวะมาเยี่ยมเสิ่นอวี้หลงอยู่บ่อยครั้ง เพราะถึงอย่างไรเขาเป็นน้องชายที่เคยเรียกเธอว่าพี่สาวมานานกว่าสิบปี แม้ระหว่างพวกเขาจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ก็ไม่อาจตัดขาดเยื่อใยต่อกันให้หมดสิ้นได้
อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งหลังจากที่เธอเข้าเยี่ยมเสิ่นอวี้หลง เธอก็ได้ยินว่าอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณชีพของเสิ่นอวี้หลงเริ่มแสดงความผิดปกติเมื่อเธอจากไปไกลแล้ว
ในวันนั้น เสิ่นอวี้อิ๋งและเสิ่นเถี่ยจวินต่างก็โกรธมาก บอกว่าตลอดทั้งวันนั้นมีแค่เธอคนเดียวที่เข้าไปเยี่ยมเขา
เสิ่นเถี่ยจวินสงสัยว่าเธอกำลังวางแผนกำจัดเสิ่นอวี้หลง เพราะต้องการแก้แค้นตระกูลเสิ่น เธอจึงคิดฆ่าเสิ่นอวี้หลง ในเวลานั้นเขาถึงขั้นตบหน้าเธอด้วยซ้ำไป
โชคดีที่ครั้งนั้นไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเขา เพราะความผิดปกติเกี่ยวกับอุปกรณ์ถูกตรวจพบได้อย่างทันเวลา ซึ่งสาเหตุของมันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลย เป็นเย่ไป๋คนนี้ที่เป็นคนออกหน้าช่วยอธิบาย ทำให้เธอหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย
ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ไม่เคยมีความกล้าที่จะมาเยี่ยมเสิ่นอวี้หลงตามลำพังอีกเลย
แม้เธอจะเกิดใหม่ในชาตินี้แล้วก็ยังไม่กล้ามาคนเดียว
ต่อมา หลังจากเสิ่นอวี้หลงเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถอธิบายได้ เสิ่นเถี่ยจวินก็ยังรู้สึกเสมอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธออยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งที่เขาเห็นเธอ สีหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความชิงชังรังเกียจ
ขณะที่เธอนึกถึงอดีต เสียงฝีเท้าที่ประตูก็ดังขึ้น
เสิ่นเถี่ยจวิน เสิ่นอวี้อิ๋ง และเสิ่นเสี่ยวเหมยตามมาที่นี่
ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ตั้งใจมาฉลองวันเกิดของเสิ่นอวี้หลงด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นหลินเซี่ย ใบหน้าแสนหวานของเสิ่นอวี้อิ๋งก็แข็งทื่อทันที
สีหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่วินาที เต็มไปด้วยความก้าวร้าวและพร้อมที่จะต่อสู้
แต่ทันทีที่หล่อนเข้ามาและเห็นว่าผู้เฒ่าเฉินก็อยู่ด้วย จึงทำได้เพียงกลืนคำสาปแช่งที่เกือบหลุดออกจากปากกลับลงคอไป
เสิ่นอวี้อิ๋งรีบทักทายผู้เฒ่าเซี่ย
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปที่ผู้เฒ่าเฉิน ทักทายเขาอย่างเสียไม่ได้ “คุณปู่”
“เสี่ยวเหมย เธอคิดจะปักหลักอยู่ที่บ้านพ่อแม่ตัวเองอย่างถาวรหรือยังไงกัน?” ผู้เฒ่าเฉินทำหน้าไม่รับแขกทันทีเมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมย
โจวลี่หรงยอมไปตามตัวหล่อนถึงบ้าน แต่ก็ยังไม่สามารถพาหล่อนกลับมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าหล่อนเป็นคนยุยงให้เฉินเจียซิ่งพาพวกเขาไปจับผิดหลินเซี่ยกับหลิวจื้อหมิงว่าพวกเขาทั้งคู่คบชู้กัน ผู้เฒ่าเฉินก็ยิ่งผิดหวังกับหลานสะใภ้คนนี้
เสิ่นเสี่ยวเหมยเหลือบมองหลินเซี่ยด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“คุณปู่ ตระกูลเฉินยังมีที่ว่างพอสำหรับฉันด้วยเหรอคะ? ก่อนแต่งงานฉันเป็นคนตระกูลเสิ่น ทั้งยังเป็นแก้วตาดวงใจของคุณลุงกับคุณป้า ทำไมฉันต้องกลับไปหาตระกูลเฉินเพื่อทนทุกข์ทรมานด้วย?”
ผู้เฒ่าเฉินตอบกลับอย่างไม่แยแส “ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเธออยู่เป็นแก้วตาดวงใจของเหล่าเสิ่นต่อไปเถอะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น ผู้เฒ่าเฉินก็มองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดว่า “เซี่ยเซี่ย พวกเรากลับกันดีกว่า”
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความเป็นไปได้ที่ผู้แปลเดาก็คือ อวี้หลงอาการทรุดเอง กับยัยอวี้อิ๋งวางแผนฆ่าน้องตัวเองแล้วโยนให้เป็นความผิดของเซี่ยเซี่ย
ถือตัวนักก็หย่าไปให้จบๆ ค่ะยัยเสี่ยวเหมย เธอเป็นใครยศใหญ่มาจากไหนทำไมคนอื่นเขาต้องมาง้อด้วย
ไหหม่า(海馬)
********************************