ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 161 เหล่าหนานไหเจ้าสำอาง
ตอนที่ 161 เหล่าหนานไหเจ้าสำอาง
ตอนที่ 161 เหล่าหนานไหเจ้าสำอาง
เซี่ยไห่มองตามออกไปทางถนน แต่แล้วก็ก้าวขากลับเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังและไม่พอใจ “สหายหลินเซี่ย เธอคิดว่าฉันเป็นคนยังไง? ทำไมฉันต้องไปสถานที่แบบนั้นเพื่อสระผมด้วย”
หลินเซี่ยไม่ตอบคำพูดของเขา เธอหยิบซองกระดาษออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา “เถ้าแก่เซี่ย เงินห้าร้อยหยวนนี้คือค่าเช่าสำหรับร้านของฉัน พี่เฉิงบอกว่าคุณจะมาที่นี่เพื่อเก็บค่าเช่าด้วยตัวเอง ตอนนี้คุณก็กลับมาพอดี นี่ค่ะ”
เซี่ยไห่หนีบกระเป๋าหนังใบเล็กไว้ใต้วงแขนของเขา ก่อนจะโบกมือรัว ๆ เพื่อปฏิเสธ “ไม่ได้ เธอเป็นคนรักของสหายน้องชายคนสนิทของฉัน ฉันบอกว่าจะให้เธอเช่าฟรีหนึ่งปีก็คือฟรี ไว้ค่อยจ่ายค่าเช่าหลังจากทำกำไรได้แล้วก็ได้”
“รับไปเถอะค่ะ หลังจากเปิดมาช่วงหนึ่งฉันก็พอทำกำไรได้บ้างแล้ว”
หลินเซี่ยยืนกรานที่จะมอบซองเงินให้เซี่ยไห่ “เปิดนับก่อนนะคะ แล้วค่อยส่งใบเสร็จมาให้ฉันทีหลัง”
ทัศนคติของหลินเซี่ยนั้นทั้งห่างเหินและสุภาพมาก ราวกับกลัวว่าตัวเองจะเอารัดเอาเปรียบเขา และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาโดยใช่เหตุ เซี่ยไห่โต้กลับ “สาวน้อย ทำไมถึงได้ทำให้ทุกเรื่องกลายเป็นจริงจังอยู่เรื่อยเลยนะ? ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้อง”
เขาวางซองจดหมายลงบนโต๊ะ แล้วยื่นกระเป๋าหนังใบเล็กใต้วงแขนของเขาให้หู่จือ “หู่จือ ช่วยถือไว้ให้ดีในระหว่างที่ฉันกำลังสระผมด้วย”
เขาถามหลินเซี่ย “เธอเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วหรือยัง? ฉันสระเองก็ได้”
“เปิดแล้วค่ะ”
เซี่ยไห่ถอดสูทตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อกั๊กแคชเมียร์สีเบจ เสื้อเชิ้ต และเนคไท สไตล์การแต่งตัวค่อนข้างหรูหรา
เขายุ่งกับการสระผมด้วยตัวเอง เนื่องจากตอนนี้ยังเช้าเกินไป จึงไม่มีลูกค้ารายอื่นอยู่ในร้าน หลินเซี่ยเลยพาหู่จือออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก
หู่จือมองไปที่ถนนทอดยาวตรงหน้า แล้วถามหลินเซี่ยว่า “แม่ วันนี้พ่อจะกลับมาใช่ไหม?”
หลินเซี่ยลูบหัวเขาเบา ๆ พลางพูดว่า “เลขาหลี่บอกว่าอย่างนั้น พวกเราอดทนรอกันเถอะ”
หลินเซี่ยบอกให้เขารออย่างอดทน แต่ในใจเธอกังวลมากกว่าหู่จือเสียอีก เธอแทบจะนับเวลาทันทีที่ลืมตาตื่นในตอนเช้า ทั้งยังแวะไปที่บ้านของหยางเป่าเฉวียนเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้ง แต่พี่สาวหลิวจิตใจสงบกว่ามาก เช้าวันอาทิตย์แบบนี้หล่อนยังนอนอยู่เลย
เธอมองไปที่ถนนข้างหน้าด้วยสีหน้าที่มีชีวิตชีวามากขึ้น จินตนาการว่าเฉินเจียเหอกำลังเดินตรงมาหาเธอจากมุมสุดถนนตรงโน้น
ถึงเวลานั้น เธอจะวิ่งไปหาเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด และกอดเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุด
ขณะที่เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มุมปากก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มแสนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“แม่ จู่ ๆ ยิ้มคนเดียวทำไมน่ะ?” หู่จือดึงแขนเธอแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“อะแฮ่ม ไม่มีอะไร” หลินเซี่ยพูดกับเขา “หู่จือ ตอนเที่ยงช่วยบอกให้ลุงของลูกพาลูกไปกินเหลียงผีที่ร้านของคุณยายที แล้วขากลับอย่าลืมห่อกลับมาให้แม่ชามหนึ่งด้วยนะ”
เร็ว ๆ นี้อุณหภูมิช่วงเช้าและเย็นแตกต่างกันมากพอสมควร ตอนเช้าอากาศหนาวเย็น ลูกค้าเข้าร้านไม่เยอะ แต่ตอนเที่ยงคนกลับแห่กันมาเยอะมาก จนเธอไม่มีเวลาแวบออกไปกินข้าวตอนเที่ยงเลย
“ได้ฮะ”
หลังจากเซี่ยไห่สระผมเสร็จแล้ว เขาก็เป่าผมให้แห้งด้วยตัวเอง จากนั้นมองดูผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมต่าง ๆ บนตู้ในร้านเสริมสวย พร้อมกับตะโกนออกไปนอกร้านว่า “หลินเซี่ย เข้ามาได้แล้ว”
“เถ้าแก่เซี่ย สระผมเสร็จแล้วเหรอคะ?” หลินเซี่ยจูงหู่จือเข้ามาและถาม
เซี่ยไห่กำลังเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมต่าง ๆ ที่วางเรียงรายอยู่ในตู้ ก่อนจะหยิบขวดขึ้นมาขวดหนึ่งแล้วพลิกดูฉลาก “ขวดนี้ใช่มูสแต่งทรงผมหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ ที่ร้านมียี่ห้อเดียว”
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อนี้มาก่อนเลย ปกติใช้แบรนด์ดัง ๆ ที่มีคุณภาพดี สรรพคุณคือไม่ทำให้ผมแห้งเสีย แล้วอันนี้ใช้ดีไหม?”
หลินเซี่ยไม่คิดว่าเขาซึ่งเป็นผู้ชายอกสามศอกจะมีนิสัยละเอียดอ่อนขนาดนี้ เธอตอบว่า “ลองใช้ดูสิคะ ฉันว่าคุณภาพมันไม่ต่างจากยี่ห้อแพง ๆ เลย”
เซี่ยไห่ฉีดมูสแต่งผมอย่างชำนาญ จากนั้นก็จัดการหวีผมไปด้านหลังให้เป็นแนวยาว
“ใช้ดี แต่ไม่ดีเท่าของที่ฉันใช้ประจำ” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย “ถ้าฉันรู้แต่แรกคงหยิบติดมือมาด้วยสักสองสามขวด”
หลินเซี่ยซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูทักษะการจัดแต่งทรงผมที่เชี่ยวชาญและพิถีพิถันของเซี่ยไห่ สังเกตเสื้อผ้าของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นว่าผิวของเขาขาวเนียนละเอียดจนแทบจะมองไม่เห็นรูขุมขน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นเหล่าหนานไหเจ้าสำอาง*
*ผู้ชายที่อายุมากแล้วแต่พยายามดูแลตัวเองให้หนุ่มอยู่เสมอ
เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า “ในเมืองเชินเฉิงมีร้านขายส่งด้วยเหรอคะ?”
เซี่ยไห่ก้มหน้าลง แต่ยังคงมองตัวเองในกระจก เหลือบมองหลินเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาผ่านทางกระจก แล้วพูดว่า “มีสิ เธอคงเห็นแล้วว่าที่ตั้งโรงงานที่ผลิตสินค้าข้างต้นอยู่ในเชินเฉิง ถ้าเธอต้องการสินค้าจำนวนมาก ซื้อแบบขายส่งน่าจะประหยัดกว่า หรือไม่ก็รับเป็นตัวแทนจำหน่ายโดยตรงแทนห้างสรรพสินค้าไปเลย”
เซี่ยไห่จัดทรงผมของตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็หันไปมองหลินเซี่ย และถามด้วยรอยยิ้มว่า “เธออยากซื้อสินค้าแบรนด์นี้มาขายในร้านเสริมสวยไหมล่ะ? ไว้ครั้งต่อไปฉันจะพาเธอไปที่เชินเฉิงเพื่อติดต่อกับโรงงานโดยตรง”
เมื่อเผชิญหน้ากับสีหน้ายิ้มแย้มของเซี่ยไห่ ตอนแรกหลินเซี่ยเกือบจะตอบตกลง
เดิมทีเธอวางแผนว่าจะอาศัยเซี่ยไห่เป็นบันไดในการหาโอกาสทำเงินเพิ่ม แต่เมื่อนึกถึงสายตาจาบจ้วงที่จ้องมองเหมือนเธอเปลือยเปล่าของเขาเมื่อวานนี้ เธอก็เกิดความระวังตัวในใจโดยไม่รู้ตัว รีบรักษาระยะห่างจากเขา และเปลี่ยนคำพูดซะใหม่ด้วยรอยยิ้ม “ไว้ฉันค่อยปรึกษาเฉินเจียเหอหลังจากเขากลับมาแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ น้ำเสียงของเซี่ยไห่ก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ “ไม่เห็นต้องคุยกับเขาเลย เขาน่ะแค่ผู้ชายหยาบ ๆ คนหนึ่งที่หมกมุ่นอยู่แต่กับเทคโนโลยี นอกจากสบู่แล้ว คนอย่างเขาจะรู้จักผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมอื่น ๆ สักกี่อย่างกัน?”
“เขาเป็นสามีของฉัน ทุกอย่างระหว่างเราจะต้องมีการพูดคุยกันก่อน”
“โอเค โอเค ไว้รอเขากลับมาแล้วเราค่อยคุยกันก็ได้”
เซี่ยไห่เหลือบมองทรงผมตัวเองอีกครั้ง ใส่สูทกลับคืนด้วยความพึงพอใจ แตะศีรษะของหู่จือแล้วพูดเบา ๆ ว่า “หู่จือ ฉันขอตัวไปทำงานก่อน อยู่ที่นี่เป็นเด็กดีล่ะ”
“เข้าใจแล้วครับลุงเซี่ย”
เซี่ยไห่พาเฉียนต้าเฉิงไปซื้อเฟอร์นิเจอร์จำพวกโซฟาเบาะนุ่ม ๆ สำหรับห้องเต้นรำ ทันทีที่เจ้านายใหญ่จากไป หลินจินซานซึ่งติดตามเขาเหมือนหุ่นยนต์ตลอดทั้งช่วงเช้า ในที่สุดก็มีเวลาได้หายใจหายคอ รีบเข้ามายืนอยู่ข้างหลินเซี่ย
“เซี่ยเซี่ย เมื่อวานตอนหัวหน้าเซี่ยออกไปกินข้าวกับเธอ เธอได้พูดอะไรดี ๆ ต่อหน้าเขาหรือเปล่า?”
“จะให้ฉันพูดอะไรล่ะ? พี่ได้ทำผลงานอะไรที่สมควรได้รับเครดิตหรือเปล่า? อย่าเอาแต่คาดหวังความโปรดปรานลม ๆ แล้ง ๆ สิ จงทำงานของตัวเองให้ดี ฉันเป็นแม่ที่มีลูกต้องเลี้ยง ไม่มีเวลามาช่วยสนับสนุนพี่หรอก อย่าหวังพึ่งฉันเลย”
“โอ้”
หลินเซี่ยนำสมุดวาดภาพและดินสอสีติดมาให้หู่จือด้วย เธอบอกให้เขาไปนั่งวาดรูปในห้องเล็ก ๆ ด้านหลังร้าน
หลินจินซานไม่ใช่คนอ้อมค้อม แถมหู่จือก็เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เธอกลัวมากว่าหู่จืออาจจดจำคำพูดของหลินจินซานไปบอกเซี่ยไห่ในภายหลัง
หลินเซี่ยเตรียมตัวพร้อมรับลูกค้าแล้ว แต่หลินจินซานยังไม่ยอมกลับไปทำงาน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยนั่งไขว่ห้าง ทอดสายตามองออกไปข้างนอก
หลินเซี่ยมองตามสายตาของเขา กระทั่งเห็นว่าร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนปิดอยู่ และแล้วเธอก็จำได้ว่าเมื่อวานร้านนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เปิดเช่นกัน จึงถามหลินจินซานแบบสบาย ๆ “ร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเจ๊งไปแล้วเหรอ?”
หลินจินซานตอบกลับ “ได้ยินว่ามีบางคนติดต่อขอเปลี่ยนมือโดยจ่ายให้ในราคาสูงมาก ไม่แปลกที่ร้านจะปิดตัวลง”
“คนที่ซื้อคือใครกัน?”
หลินเซี่ยประหลาดใจ ขอซื้อด้วยราคาสูงมากงั้นเหรอ?
“ฉันก็ไม่รู้ เมื่อวานตอนเลิกงาน พวกเราได้ยินคนคุยกันตามถนน” หลินจินซานพูด “ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะปรับปรุงและเปิดเป็นร้านเสริมสวยอะไรสักอย่าง ผู้หญิงอย่างพวกเธอจะไม่ทำกิจการอย่างอื่นนอกจากร้านเสริมสวยเลยหรือไงกัน?”
ดวงตาของหลินเซี่ยหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่หลินจินซานอย่างจริงจังเพื่อขอคำยืนยัน “ร้านเสริมสวย? พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?”
เดิมทีเธออยากจะรอให้ร้านตัดผมเข้าที่เข้าทางเสียก่อน แล้วค่อยขยายธุรกิจไปเป็นร้านเสริมสวยแบบครบวงจร อย่าบอกนะว่ามีคนคิดจะนำร่องไปก่อนแล้ว?
หลินจินซานคิดสักพักแล้วพยักหน้า “ไม่ผิด เป็นร้านเสริมสวยจริง ๆ”
“แล้วตอนนี้พี่ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ?” หลินเซี่ยมองไปที่หลินจินซานแล้วถาม
หลินจินซานยืดตัวตรงและหาววอดอีกครั้ง “ก่อนเจ้านายออกไปข้างนอก เขาขอให้ฉันทำความสะอาดพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ไม่มีอย่างอื่นต้องทำอีกแล้ว”
วันนี้เขาตื่นเช้าเกินไป บรรยากาศชวนให้อยากงีบหลับจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นช่วยข้ามก็ไปอีกฝั่งหน่อยสิ ฉันอยากรู้ว่าคนที่มาเปิดร้านเสริมสวยที่นี่เป็นใคร? ตอนถามก็อย่าลืมทำตัวให้เป็นธรรมชาติล่ะ อย่าแสดงเจตนาชัดจนเกินไป”
“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ?” หลินจินซานรู้สึกง่วงนอนมาก เขาไม่อยากขยับตัวเลย
หลินเซี่ยฉุดเขาให้ลุกขึ้ยจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “อย่าถามคำถามมากมายไปหน่อยเลย ไปหาคำตอบมาก่อนเถอะ”
“โอ้”
แม้ว่าหลินจินซานจะไม่อยากขยับเคลื่อนไหว แต่เขาก็ยังคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับคำขอของน้องสาว
หลินเซี่ยมองไปยังร้านที่ปิดประตูสนิทซึ่งตั้งอยู่ในแนวทแยงฝั่งตรงข้าม ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย สัญชาตญาณของเธอบอกเธอว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายอาจไม่ธรรมดา
ร้านของเธอเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน กลับมีคนคิดจะเปิดร้านเสริมสวยฝั่งตรงข้ามชนกับเธอ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่เธอคิดจะหาตึกแถวทำร้านใหม่ เธอเคยเดินไปถามดู แต่เจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าบอกชัดเจนว่าไม่คิดจะขาย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ธุรกิจมีคู่แข่งแล้วสิ ถึงคราวต้องพึ่งพาเถ้าแก่เซี่ยแล้วหรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)