ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 168 ถูกเหมารวมว่าเป็นหลานชาย
ตอนที่ 168 ถูกเหมารวมว่าเป็นหลานชาย
ตอนที่ 168 ถูกเหมารวมว่าเป็นหลานชาย
ตอนเที่ยง หลินเซี่ยขอให้หลินจินซานไปส่งอาหารให้เฉินเจียเหอ หลิวกุ้ยอิงรู้ว่าเฉินเจียเหอกลับมาแล้วและได้รับบาดเจ็บ จึงขอให้หลินเยี่ยนกลับมาทำอาหารมื้อเที่ยงที่บ้าน และขอให้หลินจินซานเป็นธุระไปส่งให้เฉินเจียเหอ
หลินจินซานรู้ว่าเซี่ยไห่อยู่กับเฉินเจียเหอที่บ้าน ดังนั้นเขาจึงอาสาเป็นธุระแทนหลินเยี่ยนแต่โดยดี
ถังจวิ้นเฟิงกลับไปทำงานตอนเที่ยง เมื่อหลินจินซานมาส่งอาหาร เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอกำลังนั่งดูตำนานวีรบุรุษยิงอินทรี(มังกรหยก)อยู่บนโซฟา เปิดโทรทัศน์เสียงดังลั่นออกไปถึงทางเดิน
เซี่ยไห่หอบถุงเมล็ดแตงไว้ในอ้อมแขน โยนเปลือกทิ้งลงบนโต๊ะกาแฟอย่างลวก ๆ
เมื่อเห็นหลินจินซานเดินเข้ามาพร้อมกับอาหาร เฉินเจียเหอก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ และพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “พี่เขย ขอบคุณที่อุตส่าห์เป็นธุระให้นะครับ เชิญนั่งลงก่อน”
หลินจินซานเหลือบมองโซฟาตัวเล็กแล้วมองไปที่เซี่ยไห่ ไม่กล้าที่จะนั่งในตำแหน่งเท่าเทียมกับผู้เป็นเจ้านาย
เฉินเจียเหอมองเซี่ยไห่ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ทำความสะอาดโต๊ะให้หน่อย ไม่เห็นเหรอว่ามันเลอะเทอะไปหมดแล้ว?”
เซี่ยไห่รู้สึกอับอายที่ถูกเฉินเจียเหอตะโกนสั่งต่อหน้าลูกน้องตัวเอง เพราะความจริงแล้วเขาเป็นคนขว้างเปลือกเมล็ดแตงทิ้งไว้บนโต๊ะ เอนหลังนอนบนโซฟา ตาจ้องทีวี ทำให้ผ้าคลุมโซฟายับยู่ยี่
เซี่ยไห่คลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้าแล้วเช็ดโต๊ะอย่างเสียไม่ได้
“เพราะฉันเห็นว่านายบาดเจ็บและมีอารมณ์ไม่คงที่หรอกนะ เลยไม่เอาเรื่อง รอจนกว่านายจะหายดีซะก่อน คราวนี้มาดูกันว่าฉันจะจัดการนายยังไง”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขามองไปที่หลินจินซานแล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่ได้รับบาดเจ็บมา อารมณ์เขาเลยไม่ค่อยดีนัก ฉันเห็นแก่มิตรภาพเลยยอมช่วยเหลือเขา วันนี้จะงดเถียงกับเขาสักวัน”
หลินจินซานวางกล่องอาหารกลางวันไว้บนโต๊ะกาแฟ ยกนิ้วให้เซี่ยไห่พลางเอ่ยชมอย่างระมัดระวัง “หัวหน้า คุณมีน้ำใจกับมิตรสหายมากเลยครับ”
“นั่งลงเร็วเข้า”
หลินจินซานนั่งบนโซฟา
เซี่ยไห่ไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบชามและตะเกียบ เทข้าวครึ่งหนึ่งลงในกล่องอาหารกลางวันสำหรับตัวเอง
เฉินเจียเหอมองไปที่หลินจินซาน ถามว่า “พี่ภรรยา กินข้าวมาหรือยังครับ?”
หลินจินซานตอบอย่างรวดเร็วว่า “กินมาเรียบร้อยแล้วครับ คุณกับเจ้านายกินกันสองคนเถอะ”
“น้องเขย แม่ฝากผมมาอธิบายให้คุณฟังว่าท่านกับเสี่ยวเยี่ยนยุ่งมือเป็นระวิงกับธุรกิจแผงขายอาหารตลอดทั้งช่วงกลางวัน ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ ไว้ช่วงบ่ายพวกเธอปิดแผงแล้วจะแวะมาเยี่ยมคุณนะครับ”
เฉินเจียเหอตอบกลับ “ครับ”
เนื่องจากพวกเขาพบกันครั้งแรก เฉินเจียเหอและหลินจินซานไม่คุ้นเคยกันมาก่อน ทั้งคู่จึงค่อนข้างสุภาพต่อกันพอสมควร
เซี่ยไห่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวจนชิน และมักจะยุ่งอยู่กับงาน ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็มักจะฝากท้องไว้กับร้านอาหารเสมอ นานทีปีหนเขาถึงจะได้ลิ้มรสอาหารที่ปรุงเองกับมือ จึงชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“จินซาน ใครเป็นคนทำอาหารพวกนี้? อร่อยมากเลย”
หลินจินซานตอบว่า “น้องสาวผมเป็นคนทำครับ”
“ฝีมืองานครัวไม่เลวเลยจริง ๆ” เซี่ยไห่ถามขณะกินข้าว “ว่าแต่น้องสาวนายกำลังหางานทำอยู่หรือเปล่า? ฉันอยากจ้างหล่อนให้มาเป็นแม่บ้านส่วนตัวซะหน่อย”
ก่อนที่หลินจินซานจะทันได้ตอบกลับ เฉินเจียเหอก็เหลือบมองเขาแล้วพูดแทรก “จะจ้างหล่อนเป็นแม่บ้านส่วนตัวไปทำไม? น้องภรรยากับแม่ยายฉันเปิดแผงขายอาหารอยู่ วันหลังถ้านายอยากกินก็ตามไปที่ร้านพวกเธอสิ”
เมื่อได้ยินว่าพวกหล่อนขายอาหาร เซี่ยไห่ก็พยักหน้า “ได้ มีเวลาเมื่อไหร่จะลองไปอุดหนุน”
หลินจินซานรีบแสดงน้ำใจทันที “หัวหน้าครับ ถ้าคุณอยากกิน ผมซื้อมาส่งให้คุณทุกวันก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้อง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบกิจวัตรในชีวิตประจำวันของฉัน”
ขณะพูดมือของเซี่ยไห่ก็ไม่ยอมหยุดตักอาหาร มือขวาของเฉินเจียเหอบาดเจ็บ ทำให้เอี้ยวตัวไม่ได้มากนัก จึงกินไม่ทันอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าหมูทอดกระเทียมจานโปรดของเขากำลังจะหมดลง จึงเตือนว่า “เหลือไว้ให้ฉันบ้างสิ”
เซี่ยไห่กลืนหมูทอดลงคอ “แต่ฉันยังกินไม่อิ่มเลย”
หลินจินซานนั่งข้าง ๆ ดูเถ้าแก่ใหญ่และน้องเขยตัวเองกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาหาร ทันใดนั้นมุมปากก็กระตุกเล็กน้อย เจ้านายผู้ร่ำรวยคนนี้คงเบื่อจะกินปลากับอาหารจานหรูพวกนั้นแล้วสิ?
กับอาหารที่ธรรมดา ๆ พวกนี้ ทำไมเขาถึงดูชื่นชอบมันมากนัก?
เซี่ยไห่เห็นสีหน้าประหลาด ๆ ของหลินจินซาน จึงแสร้งกระแอมเล็กน้อย ไล่เขาออกไปด้วยท่าทางไว้ตัว
“เอาล่ะ กลับไปทำงานของนายได้แล้ว ฝากกล่องอาหารกลางวันไว้กับเหล่าเฉินก่อนก็ได้”
…
ทันทีที่หลินจินซานจากไป เซี่ยไห่ก็บ่นกับเฉินเจียเหอด้วยความโกรธ “นายช่วยไว้หน้าฉันเวลาอยู่ต่อหน้าหลินจินซานหน่อยได้ไหม? ปกติพวกเขาทุกคนกลัวฉันจนหัวหด ถ้าพวกเขาเห็นว่าฉันโดนนายออกคำสั่ง คราวนี้ฉันจะมีหน้าไปสั่งลูกน้องได้ยังไง? อีกหน่อยฉันจะเอาหน้าที่ไหนไปวางตัวเป็นเจ้านายเขา?”
เฉินเจียเหอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ “ถ้าอยากให้คนอื่นเคารพ นายก็ควรทำตัวให้น่าเคารพสิ”
“กินเสร็จก็ไปล้างจานเร็วเข้า” เฉินเจียเหอวางจานและตะเกียบในมือลง หยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดปากช้า ๆ
เซี่ยไห่ชี้ไปที่ตัวเองอย่างไม่เชื่อหู “ฉันเนี่ยนะ?”
“ไม่ใช่นายแล้วคิดว่าใครจะล้างล่ะ?” เฉินเจียเหอยักไหล่ข้างที่เขาบาดเจ็บ
“ก็ได้ ฉันล้างเอง” เซี่ยไห่เก็บจานแล้วยกเข้าไปที่ห้องครัว
เฉินเจียเหอนั่งบนโซฟาพลางมองนาฬิกาไปด้วย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาปิดร้านของหลินเซี่ย แต่เขาเริ่มกระสับกระส่ายแล้ว หัวใจเต็มไปด้วยความคิดถึงภรรยาอย่างเต็มเปี่ยม อยากออกไปหาเธอที่ร้านตัดผมด้วยซ้ำ แต่ไม่กล้าไปเมื่อนึกถึงคำเตือนของเธอในตอนเช้า
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเข้าไปงีบหลับในห้องนอน เมื่อคืนเขาเหนื่อยเกินไป ผล็อยหลับโดยที่ไม่ได้คุยกับภรรยาเลย
เขาต้องพักผ่อนให้เพียงพอจริง ๆ เพื่อที่พรุ่งนี้เขาจะได้มีสภาพจิตใจและร่างกายพร้อมสำหรับไปจดทะเบียนสมรสในวันพรุ่งนี้ และไปที่ร้านเพื่อให้กำลังใจเธอ…
ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในห้องนอน ก็มีคนมาเรียกเขาที่ประตู
เฉินเจียเหออ้าปากค้างเมื่อเห็นปู่ของเขายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
เขาประหลาดใจ “คุณปู่ ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”
ผู้เฒ่าเฉินทำหน้าเข้มงวดจริงจัง จ้องมองไปที่หลานชายคนโตของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เธอกลับมาแล้วแท้ ๆ แต่ไม่รู้จักแวะไปหาฉันที่บ้าน จะไม่ให้ฉันมาตามตัวถึงที่ได้ยังไง?”
ดวงตาของเฉินเจียเหอกะพริบปริบ ก่อนจะอธิบายว่า “ผมตั้งใจว่าจะไปที่นั่นทีหลัง”
ดวงตาของผู้เฒ่าเฉินกวาดมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลลงเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าเธอได้รับบาดเจ็บเหรอ?”
เฉินเจียเหอ “…”
ก็เพราะเขากลัวว่าชายชราจะกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บนี่แหละ เขาถึงไม่กล้ากลับบ้าน
ไม่คาดคิดว่าชายชราจะได้รับการแจ้งข่าวไวขนาดนี้
เฉินเจียเหอยิ้ม “แผลนิดหน่อยเองครับ ไม่มีอะไรร้ายแรง”
“เข้ามานั่งก่อน”
เซี่ยไห่ที่กำลังล้างจานอยู่ในครัวได้ยินเสียงผู้เฒ่าเฉินมาหา จึงวิ่งออกมาทักทายเขาอย่างอบอุ่น “สวัสดีครับคุณปู่เฉิน”
ผู้เฒ่าเฉินไม่ได้เจอเซี่ยไห่มานานแล้ว แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้เจอหน้าอีกฝ่ายที่บ้านของหลานชายคนโต
ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่เซี่ยไห่ ข่มอารมณ์และพูดอย่างใจเย็น “เซี่ยไห่ จวิ้นเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างเรียกฉันว่าปู่ก็จริง แต่เธอควรเรียกฉันว่าลุง เธออายุเกือบสี่สิบแล้ว ฉันเป็นคนรุ่นเดียวกับพ่อของเธอนะ”
หลายสิบปีที่แล้ว ก่อนที่ตระกูลเซี่ยจะย้ายออกไป พ่อของผู้เฒ่าเฉินและเซี่ยไห่ก็พอจะรู้จักมักคุ้นกันอยู่บ้าง เนื่องจากพวกเขามีอายุใกล้เคียงกัน จึงถือว่าเป็นคนคุ้นเคย
“ได้ยังไงครับ เจียเหอกับผมเป็นพี่น้องกัน ปู่ของเขาก็คือปู่ของผม ถ้าผมเรียกคุณว่าลุง เจียเหอก็ต้องเรียกผมว่าลุงด้วย คุณถามเขาหรือยังว่าเขาเต็มใจไหม?”
เฉินเจียเหอคิดว่าถ้าเซี่ยไห่เรียกปู่ของเขาว่าลุง อีกหน่อยผู้ชายคนนี้ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ได้ไต่เต้าเป็นหลานรักแทนแน่ ๆ
เขาช่วยพูด “ปู่ครับ คำเรียกขานเป็นแค่ชื่อ ปล่อยให้เขาเรียกอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากเรียกเถอะ”
“ได้ ในเมื่อเธอเรียกฉันว่าปู่ตามหลานชายของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอสั่งสอนเธอในฐานะปู่หน่อย ยังไงซะเธอก็เคยเป็นทหาร ต่อให้ตอนนี้จะปลดเกษียณออกมาแล้ว ก็ควรหันไปหยิบจับธุรกิจที่จริงจังบ้าง”
เซี่ยไห่สับสนกับสิ่งที่ผู้เฒ่าเฉินพูด เขาอธิบายว่า “สิ่งที่ผมทำอยู่ก็เป็นธุรกิจที่จริงจังหมดเลยนะครับ”
ใบหน้าของผู้เฒ่าเฉินมืดมนลง ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอจะอธิบายเรื่องที่ตัวเองไปเปิดห้องเต้นรำใกล้กับเขตโรงงานยังไง?”
เซี่ยไห่ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ผมเปิดเพราะมันสร้างรายได้ได้มหาศาล ทำเลนั้นคนพลุกพล่านจะตายไป”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ่งโกรธ สวนกลับว่า “ในหัวเธอมันก็สนใจแค่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อยากหารายได้ทั้งทีจะทำธุรกิจอย่างอื่นไม่ได้เลยหรือไง?”
เซี่ยไห่พยายามให้เหตุผล “คุณปู่เฉิน ห้องเต้นรำกำลังได้รับความนิยมมากในตอนนี้ คนหนุ่มสาวหัวทันสมัยต่างก็ไปนัดพบสังสรรค์กันที่ห้องเต้นรำกันทั้งนั้น เพื่อเต้นรำและร้องเพลงแสวงหาความบันเทิง ต่อให้ผมไม่เปิด คนอื่นก็ชิงเปิดแทนอยู่ดี นี่เป็นกระแสความนิยมที่ไม่มีใครหยุดมันได้”
ผู้เฒ่าเฉินตะคอกอย่างเย็นชา “ฉันไม่สนใจกระแสความนิยมอะไรนั่น ฉันรู้แค่ว่าเธอกำลังทำลายศีลธรรมอันดีของผู้คน ทำให้คนหนุ่มสาวหลงระเริงกับแสงสี ทำให้พวกเขาสูญเสียความตั้งใจในการผลักดันชีวิตตัวเอง ไม่มีแรงบันดาลใจ…”
“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีธุระที่ต้องกลับไปทำ งั้นขอตัวกลับก่อนนะครับ”
เซี่ยไห่ทนฟังเสียงบ่นไม่ไหวแล้ว จึงคว้าเสื้อคลุมและพรวดพราดออกไปข้างนอก ก่อนจากไป เขาหันกลับมายิ้มให้ผู้เฒ่าเฉินแล้วพูดว่า “คุณพูดถูก ผมควรเปลี่ยนไปเรียกคุณว่าลุงเฉินดีกว่า ไม่เหมาะเลยที่จะเรียกคุณว่าปู่”
พอเรียกชายชราว่าปู่ อีกฝ่ายก็เหมารวมว่าเขาเป็นหลานชายทันที
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เถ้าแก่เซี่ยไม่เคยแพ้ใครนอกจากคนตระกูลเฉินสินะ
ไหหม่า(海馬)