ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 170 หวังว่าการเกิดใหม่จะสร้างปรากฎการณ์ผีเสื้อขยับปีกได้
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 170 หวังว่าการเกิดใหม่จะสร้างปรากฎการณ์ผีเสื้อขยับปีกได้
ตอนที่ 170 หวังว่าการเกิดใหม่จะสร้างปรากฎการณ์ผีเสื้อขยับปีกได้
ตอนที่ 170 หวังว่าการเกิดใหม่จะสร้างปรากฎการณ์ผีเสื้อขยับปีกได้
พอพูดถึงเรื่องนี้ หลินเซี่ยก็เริ่มทำใจแล้ว ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเขียนป้ายรับสมัครทันที
ไม่น่าเชื่อว่าชุนฟางจะมาได้ทันเวลา
หล่อนยังคงแต่งตัวเหมือนวันนั้น ถือถุงผ้าใบเล็กไว้ในมือ เดินเข้ามาในร้านตัดผมด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“หลินเซี่ย” เสียงเรียกของหล่อนแหบแห้ง ดูเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ
ในที่สุดหลินเซี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นอีกฝ่าย เธอยิ้มและพูดว่า “ชุนฟาง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจมาหาฉันซะที ฉันกำลังคิดจะเขียนป้ายรับสมัครงานอยู่เลย”
ชุนฟางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ดวงตาทั้งคู่บวมแดง
หลินเซี่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เธอเป็นอะไรไป?”
“หลิวลี่ลี่รังแกฉัน”
หลินเซี่ยรีบดึงหล่อนให้นั่งลง “เกิดอะไรขึ้น?”
ชุนฟางเช็ดน้ำตา เริ่มเล่าด้วยเสียงเจือสะอื้น
“วันนั้นเธอเดาไม่ผิดเลย หมวกอบร้อนทั้งสองใบที่หล่อนรับผิดชอบพังเพราะน้ำมือหล่อนจริง ๆ เธอเคยเตือนให้ฉันคอยระวังว่าจะโดนหล่อนแกล้งอยู่เสมอ หล่อนเลยพยายามใส่ร้ายฉันไม่สำเร็จ หลังจากอาจารย์รู้ เขาก็หักค่าจ้างฝึกงานของหล่อนเป็นเวลาสองเดือน ถึงอย่างนั้นหล่อนไม่เคยยอมจบ เอาแต่สร้างปัญหาให้ฉันตลอดเวลา”
ชุนฟางสูดลมหายใจและพูดต่อ “วันนี้เพื่อนของหล่อนแวะมาหา ฉันเอาขยะออกไปทิ้งพอดี เลยบังเอิญได้ยินพวกหล่อนคุยกัน หลิวลี่ลี่รีบเข้ามาต่อว่าว่าฉันไม่มีมารยาท แอบฟังบทสนทนาของคนอื่น เลยตบหน้าฉันสองครั้ง หลังจากนั้นฉันกำลังสระผมให้ลูกค้า หล่อนก็จงใจผลักเครื่องทำน้ำอุ่นจนน้ำร้อนหกลวกลูกค้า พอโดนเจ้านายดุ หลิวลี่ลี่ก็สบโอกาสบอกว่าเป็นความผิดของฉัน ครั้งที่แล้วคนที่ทำหมวกอบร้อนแตกก็คือฉันเหมือนกัน แต่หล่อนรับผิดแทน อาจารย์รู้แบบนั้นก็ไล่ฉันออกทันที”
ชุนฟางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้
หลินเซี่ยปลอบใจหล่อน
“ถูกไล่ออกก็ช่างมันปะไร เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยอาชีพเดิมกับฉันกันดีกว่า”
“กิจการของเธอจะมั่นคงไปอีกนานไหม?” ชุนฟางปาดน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ย ถามอย่างอ่อนแรงด้วยความสงสัยและคาดหวัง
หลังจากได้ยินคำถามของชุนฟาง หลินเซี่ยก็ตอบอย่างมั่นใจและหนักแน่นบราวนี่ออนไลน์
“ร้านของฉันต้องอยู่ไปอีกนานแน่ ลูกค้าหลายคนเริ่มประจักษ์ในฝีมือของฉันแล้ว หลังจากนี้ฉันยังวางแผนที่จะขยายร้านไปอีกหลาย ๆ สาขา และจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ เธอนั่งอยู่ในร้านสักพักสิ จะได้รู้ว่าปริมาณลูกค้าของที่นี่คึกคักแค่ไหน”
เห็นได้ชัดว่าชุนฟางรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อคิดว่าครอบครัวตัวเองกำลังจะสูญเสียชามข้าวเหล็กที่ผู้เป็นแม่อุตส่าห์ไปขอร้องคนอื่นเพื่อให้ได้มา หล่อนก็ไม่อยากกลับบ้านไปอธิบายให้ใครเข้าใจ เพราะรู้สึกหวาดกลัวกับผลลัพธ์
“ถ้าเธอมาทำงานที่นี่ ฉันบอกเลยว่าจะไม่ให้เธอสระผมแค่อย่างเดียว แต่จะสอนเทคนิคการตัดผมให้เธอเรียนรู้ทุกวัน เธอมีพื้นฐานอยู่แล้ว ตราบใดที่ตั้งใจเรียนให้มาก เธอจะลงมือทำได้ภายในสามเดือนแน่ แล้วถ้าเธอเริ่มคล่องเมื่อไหร่ ฉันค่อยรับสมัครเด็กฝึกงานที่ร้านเพิ่ม”
หลินเซี่ยชี้ไปที่ตัวอักษรอันทรงหลังทั้งสี่ตัวบนป้าย “มาทำงานหนักด้วยกันเถอะ เริ่มต้นครั้งใหม่กัน!”
ชุนฟางนั่งอยู่ตรงนั้น ยังคงกอดถุงผ้าไว้ในอ้อมแขน ในใจยังคงลังเล
ทันใดนั้น มีลูกค้าคนหนึ่งมาที่ร้าน เป็นเด็กสาวหน้าตาละอ่อนเหมือนนักเรียนมัธยมต้น
หล่อนโผล่หน้าเข้ามาในประตูแล้วถามว่า “สวัสดีค่ะ ที่นี่รับตัดผมหรือเปล่าคะ?”
หลินเซี่ยรีบเดินมาเปิดประตูให้กว้างขึ้น แล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ค่ะ เข้ามาสิ”
เด็กสาวเหลือบมองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามแล้วบอกว่า
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งแวะไปร้านเสริมสวยฝั่งตรงข้าม แต่พวกหล่อนบอกว่าวันนี้ช่างตัดผมไม่อยู่ เลยบอกให้ฉันข้ามถนนมาที่ร้านของคุณแทน”
เด็กสาวบ่นพึมพำต่อไป “ร้านนั้นเป็นร้านเสริมสวยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่รับตัดผมล่ะ? พี่สาวหน้าสวยพวกนั้นตัดผมไม่เป็นกันสักคน”
หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะมีศีลธรรมทางสังคมมากพอ พวกหล่อนพยายามป้องกันไม่ให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ รู้ว่าสังคมนี้มันฟอนเฟะและน่ารังเกียจแค่ไหน
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันจะตัดผมให้เธอเอง”
“นั่งก่อนเถอะ เธออยากตัดผมทรงไหนดีล่ะ? วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการทดลองเปิดร้านของเราพอดี เธอคือผู้โชคดีที่ได้กำไรเชียวนะ เพราะตอนนี้ร้านเรายังลดค่าบริการตัดผมให้เหลือแค่ห้าเหมา”
เมื่อเด็กสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างพลางพูดว่า “ขอบคุณค่ะ”
“มาเถอะ เดี๋ยวฉันสระผมให้ก่อนนะ”
ขณะที่หลินเซี่ยกำลังจะทดสอบอุณหภูมิน้ำ ชุนฟางก็วางกระเป๋าลง แล้วอาสาว่า “ฉันช่วยสระให้เธอเอง”
“อืม ได้เลย”
ชุนฟางสระผมให้ลูกค้าอย่างชำนาญ จากนั้นหลินเซี่ยก็เริ่มตัดผมให้หล่อน
เด็กสาวขอทรงผมที่น่ารักสดใสเหมาะกับนักเรียนชั้นมัธยม หลินเซี่ยจึงเลือกตัดผมทรงบ๊อบให้ โดยอิงตามรูปหน้าและบุคลิกของอีกฝ่าย
หลังจากตัดผมเสร็จ เด็กสาวก็สะบัดผมไปมา พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้มาก
ชุนฟางเฝ้ามองจากด้านข้างขณะที่หลินเซี่ยถือกรรไกรเล็มผมอย่างชำนาญ เมื่อเห็นว่าเธอตัดผมลูกค้าได้สวยงามราวเนรมิต คิ้วของหล่อนก็เลิกขึ้นด้วยความตกตะลึง
พวกเธอต่างก็เป็นเด็กฝึกงานในระดับเดียวกัน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านตัดผมของรัฐก็ทำแต่งานจิปาถะทั่วไป
หลังจากแยกทางกันสามเดือน เธอกลับมีทักษะเชี่ยวชาญมากกว่าอาจารย์มากประสบการณ์เหล่านั้นเสียอีก
“แชมพูที่ร้านคุณใช้ทำให้ผมฉันนุ่มเด้งดีจังค่ะ ขอซื้อแชมพูสักขวดได้ไหมคะ?” เด็กสาวถาม
“ได้สิ”
หลินเซี่ยยื่นแชมพูให้หล่อนหนึ่งขวด เสนอราคาให้หล่อน จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฝากเธอช่วยแนะนำร้านของพี่ให้เพื่อน ๆ รู้จักหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ ไว้สัปดาห์หน้าฉันจะบอกให้เพื่อนร่วมชั้นทุกคนมาตัดผมที่ร้านคุณ”
ชุนฟางเหลือบมองทรงผมฝีมือของหลินเซี่ย จากนั้นเมื่อพิจารณาถึงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าอันเป็นที่น่าพึงพอใจของเพื่อนสาว ในที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ
ที่ผ่านมา หล่อนทำงานในร้านตัดผมของรัฐด้วยอารมณ์หดหู่และหวาดระแวงในทุก ๆ วัน ไม่เคยพบเจอบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลายแบบนี้มาก่อนเลย
“หลินเซี่ย ถ้าฉันทำงานให้กับเธอ เงินเดือนที่ฉันได้รับจะเท่ากับเงินเดือนที่ฉันได้จากร้านตัดผมของรัฐหรือเปล่า?” ชุนฟางถามอย่างไม่มั่นใจ
“ฉันกำหนดระยะเวลาทดลองงานสามเดือน จ่ายให้เดือนละห้าสิบหยวน หลังจากเรียนจนสามารถลงงานจริงได้ นอกเหนือจากเงินเดือนขั้นพื้นฐานแล้ว เธอจะได้รับค่าคอมมิชชั่นตามจำนวนการตัดผมและดัดผมที่ทำได้ในแต่ละวัน”
ตอนที่พวกเธอยังอยู่ในร้านตัดผมของรัฐ ตอนแรกไม่ได้รับค่าจ้างในฐานะเด็กฝึกงานด้วยซ้ำ แต่เมื่อทดลองงานผ่านไปหกเดือน พวกเธอถึงได้รับเงินสามสิบหยวนต่อเดือน
หลินเซี่ยเพิ่มเงินเดือนให้กับหล่อนเป็นห้าสิบหยวน และยังการันตีว่าจะเลื่อนเป็นช่างตัดผมได้ภายในสามเดือน นี่จึงถือเป็นสิ่งล่อใจครั้งใหญ่สำหรับชุนฟาง
หล่อนมองหลินเซี่ยด้วยดวงตาสดใส ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังสำหรับอนาคตอันใกล้
หลินเซี่ยพูดต่อ
“ฉันตั้งใจจะพัฒนาร้านนี้ให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งและมั่นคงขึ้น จากนั้นก็จะขยายสาขาออกไปเรื่อย ๆ ถ้าเธอใจกล้าพอที่จะสู้ งั้นก็มาฝ่าฟันไปพร้อมกับฉัน แต่ถ้ากลัวความเสี่ยงก็กลับไปสมัครเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมของรัฐที่อื่นก็ได้ ที่ฉันไปทาบทามเธอมาทำงานด้วยก็เพราะรู้จักนิสัยของเธอดี ขอบอกตามตรงว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฉันวางแผนจะไปรับสมัครเด็กฝึกงานจากร้านตัดผมของอาจารย์ด้วย ร้านเขาคงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก”
“ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะมาทำงานกับเธอนะ”
…
ผู้เฒ่าเฉินอยู่คุยกับเฉินเจียเหอจนถึงบ่ายแก่ ๆ จากนั้นก็ไปโรงเรียนอนุบาลเพื่อรับหู่จือพร้อมกับเฉินเจียเหอ จากนั้นจึงตรงไปที่ร้านตัดผม
เขารู้ว่าหลานชายคนโตของตัวเองเชื่อฟังความเห็นของภรรยาเป็นที่สุด
เขาจึงตั้งใจว่าจะมาเกลี้ยกล่อมหลินเซี่ยด้วยตัวเอง ให้ยอมตามพวกเขากลับไปอยู่ที่บ้าน
เมื่อหลินเซี่ยเห็นผู้เฒ่าเฉินเข้ามา ก็รีบต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “คุณปู่ มาได้ยังไงคะ?”
“เซี่ยเซี่ย ฉันได้ยินมาว่าเจียเหอได้รับบาดเจ็บ ก็เลยแวะมาดูเขาสักหน่อย”
หลินเซี่ยมองกลับไปแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณมาคนเดียวเหรอคะ?”
ผู้เฒ่าเฉินอธิบาย “พ่อและแม่สามีของเธอไปทำงาน พวกเขายังไม่รู้เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเจียเหอเลย เจียวั่งก็เริ่มไปเรียนเป็นวันแรก ทันทีที่ฉันได้ยินข่าวคราวในตอนบ่ายก็รีบไปหาเขาทันที”
“เจียวั่งกลับไปเรียนแล้วเหรอ?” เฉินเจียเหอมองปู่ของเขาด้วยความประหลาดใจ
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินข่าว เธอก็มองไปที่ผู้เฒ่าเฉินด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน
เฉินเจียวั่งยอมกลับไปเรียนต่อแล้วเหรอ?
หมายความว่าเขาเต็มใจที่จะออกจากบ้านแล้วสินะ?
นั่นแปลว่าอาการของเขาดีขึ้น และสภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมใช่ไหม?
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ใช่แล้ว เขาเริ่มกลับไปติดต่อทางมหาวิทยาลัยตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ช่วงนี้เขาเปลี่ยนไปจากเดิมมากจริง ๆ ได้ยินมาว่าเขาได้เจอเพื่อนหน้าใหม่ ๆ และออกไปตัดผมด้วยตัวเอง แถมอาการของเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก พวกเราทั้งโล่งใจและมีความสุข”
หลินเซี่ยพลอยโล่งใจตามไปด้วย “นี่ถือเป็นข่าวดีจริง ๆ ค่ะ”
แม้ว่าเธอซึ่งเป็นพี่สะใภ้จะไม่เคยเจอหน้าน้องชายสามีคนนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินว่าเขาเต็มใจที่จะก้าวออกจากโลกส่วนตัวของตัวเอง และกลับสู่สังคมภายนอกอีกครั้ง ในที่สุดเธอก็รู้สึกสบายใจ
หวังว่าการเกิดใหม่ของเธอ จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก เปลี่ยนชะตากรรมของเฉินเจียวั่งในชาตินี้ได้
ครอบครัวของเขาต่างรักเขามาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาขึ้นมา คงทำให้เกิดความสะเทือนใจครั้งใหญ่
ผู้เฒ่าเฉินพูดอย่างอารมณ์ดี “ยังมีข่าวดีกว่านี้อีก ฉันเจอหมอแผนจีนชราที่เคยขอให้ใครสักคนไปสืบถามที่อยู่แล้ว ได้ยินว่าเขาย้ายไปอยู่ในเทศมณฑลจินซาน ฉันตั้งใจที่จะพาเจียวั่งไปที่นั่นด้วยตัวเองเมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้นในฤดูร้อน ทั้งยังขอให้เย่ไป๋ช่วยศึกษาเทคนิคการผ่าตัดที่เซี่ยเซี่ยเคยพูดถึงด้วย ถ้าโรงพยาบาลในเมืองหลวงสามารถผ่าตัดได้ ฉันก็จะพาเขาไปรับการรักษาที่นั่นเหมือนกัน”
เฉินเจียเหอได้ยินสิ่งที่ผู้เฒ่าเฉินพูด ก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ “นั่นเขตเทศมณฑลของคุณตากับลุงของผมนี่? ปู่รู้ชื่อเฉพาะเจาะจงของเขาหรือเปล่าครับ? ผมจะลองเอาชื่อไปถามพวกเขาดู”
“ไว้ฉันจะขอให้แม่เธอโทรหาลุงเพื่อสอบถามข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง ได้อะไรเพิ่มเติมเมื่อไหร่ เราจะเดินทางไปที่นั่นทันที”
หลินเซี่ยมองพวกเขาแล้วพูดว่า “ฉันมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคเดียวกันกับน้องชายเลยค่ะ อายุของพวกเขาเท่ากันด้วย เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาล้มชักและป่วยหนัก แต่ตอนนี้กลับอยู่ในสภาพดีมาก ใจจริงฉันอยากแนะนำให้ผู้ป่วยได้พูดคุยและสื่อสารกันเอง อย่างน้อยอาจได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด ผู้เฒ่าเฉินก็มองดูเธอด้วยความซาบซึ้งและโล่งใจ “เซี่ยเซี่ย ขอบคุณมาก ถึงเธอจะยังเด็กก็จริง แต่ความคิดความอ่านกลับเป็นผู้ใหญ่เกินวัย มีความรับผิดชอบ และเป็นเด็กดี”
ตรงกันข้าม ผู้เฒ่าเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังกับเสิ่นเสี่ยวเหมยมากกว่าเดิม
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เคยถามไถ่เกี่ยวกับอาการป่วยของเฉินเจียวั่งเลยสักครั้ง และมักจะมองเขาผ่านแว่นตาสี* เมื่อไหร่ที่เฉินเจียวั่งอยู่บ้าน เสิ่นเสี่ยวเหมยจะพยายามหลีกเลี่ยงเขาราวกับเขาเป็นเทพเจ้าแห่งโรคระบาด ในฐานะสมาชิกในครอบครัว พวกเขารู้สึกไม่สบายใจมาก
*เป็นสำนวน แปลว่าเลือกปฏิบัติ
จนกระทั่งตอนนี้ หล่อนยังไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านเลย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขอให้การเกิดใหม่ของเซี่ยเซี่ยช่วยเหลือคนรอบข้างที่ดีด้วยในชาติที่แล้วให้ได้ดีนะคะ
เจียวั่งกับโจวอี้นี่คนคนเดียวกันไหมนะ?
ไหหม่า(海馬)