ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 172 กลายเป็นหมาบ้าอีกครั้ง
ตอนที่ 172 กลายเป็นหมาบ้าอีกครั้ง
ตอนที่ 172 กลายเป็นหมาบ้าอีกครั้ง
หลิวกุ้ยอิงรีบดึงเขากลับมาแล้วพูดว่า “จินซาน เจียเหอให้ของหมั้นกับแม่ตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังอยู่ในบ้านเกิดแล้ว”
“ตั้งแต่อยู่ที่บ้านเกิดเหรอ? งั้นใครเป็นคนเก็บเงินนั้นไว้ล่ะ? อย่าบอกนะว่าพวกเขาขโมยไปจากแม่อีกแล้ว?” หลินจินซานถาม
“เปล่าหรอก”
หลินเซี่ยออกมาจากห้องครัว อธิบายว่า “ตอนแรกย่าก็ริบเอาเงินไปหมด แต่พอฉันกลับมาที่บ้านอีกครั้งก็หาทางยึดเอาเงินคืนมาได้ ฉันเลยเอาเงินจำนวนนั้นไปเช่าลานบ้าน และก็เอาเงินที่เหลือไปลงทุนเปิดร้านตัดผม แถมยังมีเงินเหลือไปซื้อสิ่งสำคัญสามรายการสำหรับแต่งงานด้วย พวกเราถึงร่ำรวยกันมากแบบนี้ไง”
“อะไรนะ? เธอหาทางยึดเงินพวกนั้นคืนมาจากย่าได้ด้วยเหรอ?” หลินจินซานมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าทึ่ง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม “เธอนี่มันอัจฉริยะตัวน้อยจริง ๆ จากนี้ไปฉันจะนับถือเธอเป็นพี่สาว”
หลินเซี่ย “???”
ยายแก่คนนั้นเอาชนะยากขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่กัน?
สำหรับเธอแล้ว เธอคิดว่าตัวเองจัดการกับอีกฝ่ายไม่ยากเลย
หลินจินซานมองหลินเซี่ยพลางบ่นว่า “พูดกันตามตรง เงินที่ย่าได้ไปแทบไม่ต่างจากโยนซาลาเปาเนื้อให้สุนัข คนอย่างหล่อนไม่มีวันคายออกมาง่าย ๆ หรอก”
“เธอเก่งมากจริง ๆ” หลินจินซานมองหลินเซี่ยด้วยความชื่นชม พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เธอ
เมื่อหลินเยี่ยนได้ยินหลินจินซานยกย่องหลินเซี่ยแบบนั้น หล่อนก็พูดอย่างตื่นเต้น
“พี่ชาย พี่สาวเก่งจริง ๆ นอกจากนี้หล่อนยังไปทวงค่าจ้างจากเจ้าของร้านอาหารแทนฉันอีกด้วย หลังจากนั้นก็ขับไล่ครอบครัวอารองออกไป และบีบให้ย่ายอมคืนสินสอดทองหมั้นกลับมาได้สำเร็จ ท้ายที่สุดก็สั่งให้ย่าย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่ที่บ้านของอารองแทน ตอนนี้เราได้บ้านเก่าของเราคืนมาเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยกล้าคิดกล้าฝันมาก่อน”
หลินจินซานไม่คาดคิดว่าหลินเซี่ยจะจัดการปัญหาเรื้อรังได้ย่างเบ็ดเสร็จภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่เธอถูกพาตัวกลับมา
เขาถอนหายใจ “เมื่อก่อนฉันเองก็อยากทำแบบนั้น แต่หล่อนก็เป็นย่าของฉันเหมือนกัน หล่อนชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง สมัยฉันยังเด็ก หล่อนก็รักและเอ็นดูฉันมากเหมือนกัน แม่สั่งสอนมาตลอดให้เรากตัญญูรู้คุณผู้ใหญ่ และอย่าจาบจ้วงหยาบคายกับย่า ฉันก็เลยไม่เคยทำอะไรที่รุนแรงกับหล่อนเลยสักครั้ง”
หลินเซี่ยเหลือบมองหลิวกุ้ยอิง และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แม่อบรมสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว โชคดีที่พี่เชื่อฟัง พวกเราถึงยังอยู่ได้มาจนวันนี้”
หลินเซี่ยเข้าใจหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงดี พวกเขาทั้งคู่แทบไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใด ๆ เลยกับคนในบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตัดญาติขาดมิตรกับครอบครัวใหม่ ต่างจากเธอที่เพิ่งรู้จักแม่เฒ่าหลินกับหลินเอ้อร์ฝูในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ไม่มีความผูกพันต่อกัน จึงสามารถทำแบบนั้นได้บราวนี่ออนไลน์
หลินจินซานเหลือบมองหลิวกุ้ยอิงแล้วพูดว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เมื่อก่อนฉันรู้สึกเสมอว่าความกตัญญูรู้คุณของแม่ช่างโง่เขลา”
หลิวกุ้ยอิงตระหนักถึงปัญหาของตัวเอง จึงยอมรับอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อก่อนแม่ยอมอ่อนข้อให้ย่าของลูกมากเกินไปจริง ๆ ทำผิดต่อลูกแล้ว”
“ใช่แล้ว ต่อจากนี้แม่ควรยืนหยัดสู้เพื่อพวกเรา แม้แต่คนดีพร้อมยังไม่วายถูกคนอื่นรังแกเลย แม่ต้องจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจตลอดเวลา”
“พี่สาว น้ำเดือดแล้ว ฉันเอาเส้นบะหมี่ลงไปลวกเลยนะ”
“ได้ มาปรุงบะหมี่กันเถอะ”
ตอนนี้หลินจินซานเริ่มสนิทคุ้นเคยกับเฉินเจียเหอมากขึ้น เขาย้ายก้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ เฉินเจียเหอ จากนั้นก็มองหน้าอีกฝ่ายแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“น้องเขย ได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่าคุณเป็นหลานชายของโจวเจี้ยนกั๋วที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเรา นี่เป็นเรื่องจริงไหม?”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “จริงครับ”
“ตอนแรกผมก็นึกว่าพวกคุณแค่ชื่อเหมือนกันซะอีก คุณใช่คนที่คอยดูแลเจ้าโง่เอ้อร์เลิ่งนั่นหรือเปล่า?” หลินจินซานมองไปที่เฉินเจียเหอ ในเวลานี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้เจอกับสหายร่วมชาติที่พลัดถิ่นจากกันมานานแรมปี
เฉินเจียเหอเหลือบมองเขา แก้ไขคำพูดเบา ๆ “เอ้อร์เลิ่งไม่ใช่คนโง่”
หลินจินซานเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด “ใช่ๆๆ สมัยวัยรุ่นเขายังไม่ได้เป็นแบบนี้ เขากลายเป็นคนสติไม่เต็มเต็งเพราะถูกผู้หญิงทำร้ายจิตใจ”
หลินจินซานมองไปที่เฉินเจียเหอ รู้สึกจริงใจกับเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเฉินเจียเหอสุภาพและให้เกียรติคนอื่นมากแค่ไหน ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ พยายามสร้างความสัมพันธ์กับเฉินเจียเหอ “พวกเราเป็นเพื่อนเก่าที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน ไม่นึกเลยว่าคุณจะกลายมาเป็นน้องเขยของผมได้ ถ้าตอนเด็ก ๆ ผมรู้ว่าโตมาเราจะมีโชคชะตาได้เกี่ยวดองกัน ผมจะไปเล่นกับคุณที่สุดฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านเลย”
หลินเซี่ยยกจานออกมาวางบนโต๊ะแล้วตอบว่า “เฉินเจียเหออาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้นแค่ไม่กี่ปี ต่อมาเขาบรรจุเป็นทหาร หลังปลดก็สอบเรียนต่อวิทยาลัย ช่วงชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในตัวเมืองมากกว่า”
“งั้นก็ถือเป็นลูกหลานชาวชนบทแค่ครึ่งหนึ่ง” หลินจินซานถามเฉินเจียเหอต่อไป “เราอยากรู้สถานการณ์ภายในครอบครัวปู่ของคุณบ้าง ครอบครัวคุณทำงานอะไร น้องสาวผมแต่งเข้าบ้านคุณทั้งที พวกเราควรเข้าใจสถานการณ์ทางฝั่งของคุณด้วย จะได้รู้ว่าน้องผมแต่งงานกับคนผิดไหม?”
ในฐานะผู้ชายคนเดียวในครอบครัว หลินจินซานรู้สึกว่าเขาควรแบกรับความรับผิดชอบในการเป็นพี่ชายและดูแลน้องสาวของเขาให้ดี
เฉินเจียเหอมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและหลินจินซาน แนะนำครอบครัวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “บ้านพ่อแม่ผมอยู่ภายในเขตชุมชนบ้านพักทหาร ปู่ของผมเคยเป็นทหารมาก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ พ่อทำงานในองค์กรรัฐวิสาหกิจ แม่ทำงานในสหพันธ์สตรีประจำเมือง ก่อนหน้านี้แม่ผมเคยมีท่าทางต่อต้านการแต่งงานของเรา กลัวว่าเซี่ยเซี่ยอาจไม่คู่ควรกับผม แต่ตอนนี้หล่อนเปลี่ยนทัศนคติไปจากเดิมแล้ว หล่อนชอบเซี่ยเซี่ยมาก”
เมื่อได้ยินเฉินเจียเหอพูดว่าโจวลี่หรงเปลี่ยนทัศนคติต่อหลินเซี่ยแล้ว ในที่สุดหัวใจอันหนักอึ้งอย่างเป็นกังวลของหลิวกุ้ยอิงก็สงบลง
ถึงอย่างนั้นหล่อนยังคงมีข้อสงสัย “เจียเหอ แล้วน้องชายกับน้องสะใภ้ของเธอยังพยายามต่อต้านเซี่ยเซี่ยอยู่หรือเปล่า?”
เฉินเจียเหอแสดงทัศนคติอย่างจริงจัง “คุณแม่ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยครับ พวกเขาอยู่ส่วนพวกเขา พวกเราอยู่ส่วนพวกเรา ต่างฝ่ายต่างไม่มายุ่งเกี่ยวกัน”
“อืม เธอพูดแบบนี้แม่ก็รู้สึกโล่งใจแล้ว”
หลินเยี่ยนยกชามบะหมี่ออกมาเสิร์ฟ จากนั้นทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงกันกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ หลินจินซานและคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวแยกย้ายกลับบ้าน หลินเซี่ยเดินลงไปส่งพวกเขาที่ชั้นล่าง
หลินจินซานเหลือบมองไปทางชั้นบนอย่างอารมณ์ดี “เซี่ยเซี่ย เธอโชคดีมากที่ได้เจอสามีที่ดีแบบเขา อย่าลืมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเขาไว้ให้มากนะ”
ตราบใดที่น้องสาวของเขามีชีวิตแต่งงานที่ดี ครอบครัวของพวกเขาจะพลอยได้รับประโยชน์ตามไปด้วย
หลายปีที่ผ่านมา หลินจินซานเป็นเพียงชายหนุ่มเร่ร่อนพเนจร ไร้เป้าหมายหรือทิศทางก้าวหน้าในชีวิต ถ้าเขาทำงานหาเงินไม่ได้ ชื่อเสียงของเขาก็จะถูกคนในหมู่บ้านทับถมทำลาย ทำให้เขาไม่เคยกล้ากลับไปเหยียบบ้านเกิดอีกเลย
ตอนนี้ ในที่สุดครอบครัวของพวกเขาก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า ทำให้เขาเต็มไปด้วยความหวังในชีวิต
ขณะนี้ไม่มีใครอยู่ในลานกว้างหน้าอาคาร หลินเซี่ยหยุดหลินจินซานไว้ และถามอย่างจริงจัง
“พี่ชาย ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งรู้ว่าพวกเราเปิดร้านที่นี่แล้วตามมาราวีสร้างปัญหา? พี่จะช่วยสนับสนุนอยู่ข้างฉันไหม?”
หลินจินซานตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันต้องปกป้องเธอแน่ ถ้าหล่อนกล้ามาก่อปัญหา ฉันก็จะไม่ปรานีเหมือนกัน”
“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นพี่เจ็บแล้วต้องจำนะ อย่าปล่อยให้หล่อนมาทำลายชีวิตตัวเองซ้ำเป็นครั้งที่สอง ถึงเวลานั้นหล่อนต้องเอาความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายน้องสาวมาอ้างแน่ ที่ผ่านมาหล่อนพยายามวางแผนต่อต้านฉันลับหลังเสมอ”
สถานการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในชาติก่อนมาแล้ว แต่เธอก็สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง และหวังว่าหลินจินซานจะตาสว่างได้เหมือนกัน
หลินจินซานหัวเราะเยาะ “เห็นฉันเป็นคนโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ว่ายังไงพี่ก็ต้องคอยเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีจุดแข็งอะไรก็แสดงออกให้หล่อนเห็นซะ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายฉัน ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้พวกมันมีจุดจบที่ดี ถ้าในที่สุดพี่เลือกอยู่ผิดฝั่ง ฉันก็จะไม่เอาพี่ไว้เหมือนกัน”
ทัศนคติของหลินเซี่ยนั้นแข็งแกร่งมาก ถึงขั้นคุกคามเขาด้วยซ้ำ
น้ำเสียงของหลินจินซานไร้ความปรานี “หล่อนเคยใส่ร้ายว่าฉันแอบทำมิดีมิร้ายกับหล่อนในขณะหลับ ฉันจะยังหลงเหลือความผูกพันฉันท์พี่ชายน้องสาวกับหล่อนได้ยังไง?”
หลินเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างพูดเบา ๆ “พี่สาว ถ้าหล่อนพยายามเข้าหาฉัน ฉันสัญญาว่าจะเมินหล่อนให้ตายไปข้าง”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวเยี่ยน ฉันเชื่อใจเธอ”
“รีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ไม่ต้องออกไปตั้งร้านนะ หลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะไปที่ร้านอาหารเพื่อกินข้าวและเฉลิมฉลองกัน”
หลินเซี่ยส่งพวกเขาถึงหน้าประตูอาคาร จากนั้นก็ออกไปโทรหาเจียงอวี่เฟยที่โทรศัพท์สาธารณะ เพื่อแจ้งข่าวให้ทราบเกี่ยวกับการเปิดร้านในวันพรุ่งนี้
จากนั้น เธอก็ส่งเพจเจอร์แยกอีกข้อความไปถึงโจวอี้
เพจเจอร์ของโจวอี้สามารถรับฝากข้อความได้ หลินเซี่ยจึงฝากข้อความถึงเขาไว้ เพื่อขอให้เขามาร่วมพิธีเปิดร้านวันพรุ่งนี้ด้วย
เธอคิดว่าถ้าพรุ่งนี้โจวอี้มา และผู้เฒ่าเฉินสามารถพาเฉินเจียวั่งออกมาได้ พวกเขาน่าจะได้เจอกันซะที
ถึงเวลานั้นค่อยแนะนำให้พวกเขาเป็นเพื่อนกันไว้
หลินเซี่ยฮัมเพลงและเดินไปรอบ ๆ เคาะประตูบ้านของพี่สาวจางและพี่สาวหลิว เพื่อฝากให้พวกเธอบอกต่อข่าวดีกับทุกคนเกี่ยวกับการเปิดร้านของเธอในวันรุ่งขึ้น
พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดี ไม่ว่าใครจะมีเวลามาอุดหนุนหรือไม่ ก็ควรแจ้งไว้เป็นมารยาท
ในที่สุด เธอก็ไปที่บ้านของหวังซิ่วฟางซึ่งอยู่ใกล้บ้านของเธอมากที่สุด
“เสี่ยวหลิน ฉันมีงานต้องทำตอนเช้า ไว้ตอนเที่ยงฉันค่อยไปแสดงความยินดีกับเธอนะ”
“ได้ค่ะ”
หลินเซี่ยกำลังจะจากไป แต่หวังซิ่วฟางหยุดเธอไว้
หล่อนมองหลินเซี่ยอย่างเป็นกังวล “เสี่ยวหลิน เจียงอวี่เฟยเพื่อนเธอได้แนะนำฉันให้พ่อของหล่อนจริงหรือเปล่า? ฉันคิดว่าเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นในตัวฉันสักเท่าไหร่เลย”
ถ้าเจียงกั๋วเซิ่งเต็มใจที่จะสานสัมพันธ์และแต่งงานใหม่กับหล่อน ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เขาควรเป็นฝ่ายริเริ่มพูดคุยกับหล่อนตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองรับประทานอาหารหน้าแผงลอยของหลิวกุ้ยอิงด้วยกันในวันนั้น
แต่ชายคนนั้นกลับถามคำตอบคำ และไม่แม้แต่จะมองหน้าหล่อนด้วยซ้ำไป
หลินเซี่ยก็ปวดหัวเช่นกันเมื่อหวังซิ่วฟางพูดถึงเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่กล้าบอกหวังซิ่วฟางว่าเจียงกั๋วเซิ่งสนใจหลิวกุ้ยอิงต่างหาก
หวังซิ่วฟางอุทิศตนให้กับเฉินเจียเหอมานานกว่าหนึ่งปี แต่สุดท้ายเฉินเจียเหอกลับเลือกแต่งงานกับเธอ
ไม่ง่ายเลยกว่าหล่อนจะปล่อยวางและหันไปหาใครใหม่อีกครั้ง แต่ผู้ชายที่หล่อนสนใจกลับตกหลุมรักแม่ของเธอเสียอย่างนั้น เรื่องราวช่างบังเอิญอย่างเหลือจะเชื่อ
ถ้าหวังซิ่วฟางรู้เรื่องนี้ หล่อนต้องกลายเป็นหมาบ้าอีกครั้งแน่ ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวก็ได้รู้กันแล้วว่าเจียวั่งกับโจวอี้จะเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า
รักสามเส้านี้จะจบอย่างไรหนอ สงสารพี่สาวหวังจัง กลัวหวังไว้เยอะแล้วเวลาผิดหวังจะเจ็บหนักอีกรอบ
ไหหม่า(海馬)