ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 211 กลัวเก็บความลับไว้ไม่ได้
ตอนที่ 211 กลัวเก็บความลับไว้ไม่ได้
ตอนที่ 211 กลัวเก็บความลับไว้ไม่ได้
เฉินเจียเหอรีบอธิบาย “หมอเย่ ผมเอามีดพร้ามาช่วยคุณถางหญ้าครับ จะได้ใช้ถางพวกวัชพืชในสวนคุณได้ง่ายขึ้น”
เมื่อได้ยิน หมอเย่ก็ตอบว่า “ดูจริงจังกันจังเลยนะ”
“แล้วนั่นใคร?”
“หมอเย่ นี่ภรรยาของผมเองครับ หลินเซี่ย”
หลิวกุ้ยอิงพูดเสริมว่า “หล่อนคือลูกสาวของฉันเองค่ะ และเจียเหอก็เป็นลูกเขยฉัน”
หมอเย่เหลือบมองหลินเซี่ย และยืนยันกับเฉินเจียเหอ “ใช่เด็กที่เธอพูดถึงเมื่อวานนี้หรือเปล่า ที่ว่าถูกสลับตัวกลับไปเลี้ยงดูผิดคนตั้งแต่ยังแบเบาะ?”
“ครับ”
หลินเซี่ยทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะหมอเย่ ฉันหลินเซี่ยค่ะ เป็นลูกสาวของพ่อหลินต้าฝูและแม่หลิวกุ้ยอิง”
“สวัสดี” หมอเย่จ้องไปทางหลินเซี่ย พลางเผยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “สาวน้อยคนนี้หน้าตาดีจริง ๆ”
“มา เราเข้าไปนั่งข้างในกันเถอะ”
หลังจากเข้าไปในห้องโถงและนั่งลง หลินเซี่ยยิ้มอย่างสุภาพแล้วพูดขึ้นว่า “หมอเย่คะ ฉันได้ยินจากแม่มาว่าคุณกับพ่อเป็นเพื่อนกันมาหลายปี น่าเสียดายที่ฉันไม่มีโอกาสได้เจอพ่อของฉันเลย แต่พอรู้ว่าเมื่อก่อนพวกคุณเคยเป็นเพื่อนกัน ด้วยลักษณะนิสัยของคุณแล้ว ฉันคิดว่าพ่อต้องเป็นคนดีมากแน่ ๆ”
“ใช่แล้ว ต้าฝูเป็นคนดี”
น้ำเสียงของเขาลากยาว ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนัก “เป็นคนดีมาก”
หมอเย่มองไปยังหลิวกุ้ยอิง ถามว่า “เสี่ยวหลิว ทำไมเธอถึงย้ายมาอยู่เมืองนี้ได้ล่ะ?”
หลิวกุ้ยอิงอธิบาย “หมอเย่คะ หลังจากเซี่ยเซี่ยและฉันรู้จักกันเป็นแม่ลูกแล้ว หล่อนก็สนับสนุนให้ฉันย้ายมาในเมืองนี้เพื่อทำธุรกิจ ฉันเลยพาเสี่ยวเยี่ยนมาช่วยตั้งแผงขายอาหารที่นี่ด้วยกันค่ะ”
หมอเย่ยิ้มและพยักหน้า “ดีแล้ว เดี๋ยวนี้คนแห่กันย้ายงาน ตอนนี้สังคมยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีก ตราบใดที่ยังขยันขันแข็ง คนคนนั้นก็สามารถอยู่รอดได้ทุกที่”
หลังจากนั่งไปได้สักพัก หมอเย่ยิ้มแล้วหันไปพูดกับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย
“เสี่ยวเฉิน ไหน ๆ พวกเธอก็เอาพร้าติดมือมาด้วย งั้นพวกเธอทั้งสองคนช่วยออกไปถางหญ้าในสวนให้ฉันหน่อยแล้วกัน สนามหญ้านี้ถูกทิ้งร้างมานานหลังจากไม่มีใครอยู่มาหลายปี”
เฉินเจียเหอตอบกลับ “ได้ครับ”
ทั้งคู่ลุกขึ้นและเดินกลับออกไปในสวน
ทันทีที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเดินห่างออกไป หมอเย่ก็หันมองไปทางหลิวกุ้ยอิงแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลิว เด็กคนนี้… ไม่รู้ความเป็นมาของตัวเองเหมือนกันใช่ไหม?”
“หมอเย่ คือ…” หลิวกุ้ยอิงมองหน้าหมอเย่ด้วยความวิตกกังวล
หมอเย่ยิ้มตอบรับ ดวงตาที่เคยตกตะลึงของเขาเริ่มเป็นประกายอย่างช่างสังเกต “เธอคงอยากจะถามว่าฉันรู้ได้ยังไงสินะ?”
หลิวกุ้ยอิงพยักหน้าอย่างประหม่า
“ต้าฝูเป็นคนบอกฉันเอง” หมอเย่มองไปหลิวกุ้ยอิง สีหน้าเขาดูเรียบเฉยและใจดี จากนั้นก็พูดต่อ “เสี่ยวหลิว อย่าตำหนิต้าฝูที่พูดมากเกินไปเลย ย้อนกลับไปในตอนนั้น ต้าฝูดั้นด้นเดินฝ่ายอดเขาที่มีหิมะปกคลุมทั้งแถบแล้วมาหาฉันถึงที่พร้อมกับลูกน้อยในอ้อมแขนเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากฉัน พอเห็นอาการเด็ก ตอนแรกฉันรีบปฏิเสธการรักษาทันที เพราะอาการของหล่อนแย่มาก แถมฉันเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะทักษะทางการแพทย์ของฉันในตอนนั้นยังไม่แกร่งพอ กลัวว่าจะทำให้เด็กอาการแย่ลงกว่าเดิม ฉันไม่กล้าเสี่ยงกับชีวิตคนจริง ๆ
แต่อาจเป็นเพราะความสิ้นหวัง ต้าฝูบอกฉันว่าพ่อแท้ ๆ ของเด็กคนนั้นเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องประเทศของเรา เขายอมคุกเข่าตรงหน้าประตูบ้าน และขอร้องให้ฉันช่วยเด็กเพื่อเห็นแก่วีรบุรุษคนนี้ จนฉันรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และยอมเสี่ยงรักษา ซึ่งก็โชคดีที่เด็กรอดมาได้“
เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ฟังเรื่องเล่าจากหมอเย่ อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาเมื่อคิดถึงใบหน้าอันซื่อสัตย์และเรียบง่ายของหลินต้าฝู “ฉันยังจำได้ทุกอย่าง ต้าฝูเขาเป็นคนดีจริง ๆ เขายอมเสียสละมากมายเพื่อเราทั้งแม่และลูกสาว”
“ใช่แล้ว ต้าฝูเป็นคนดีมาก” หมอเย่มองหล่อนแล้วพูดต่อ “พอเมื่อวานฉันได้รู้ความจริงว่าเธอเลี้ยงลูกผิดคน ฉันเองก็เสียใจมาก เมื่อวานนี้ถึงกับนอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่คิดถึงคนและเรื่องราวต่าง ๆ เต็มไปหมด ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนมากนักสมัยอยู่ในเทศมณฑลจินซาน ต้าฝูเป็นคนเดียวที่ฉันยินดีผูกมิตรด้วย น่าเสียดายที่คนดีมักอายุไม่ยืนยาว
วันนี้ในที่สุดฉันก็ได้เจอสาวน้อยคนนั้นแล้ว หล่อนนิสัยดีมาก ฉลาด แล้วก็มีสุขภาพที่แข็งแรงดี คิดว่าวิญญาณของต้าฝูที่อยู่บนนสวรรค์ต้องพอใจมากแน่ ๆ ถึงแม้ลูกสาวของวีรบุรุษที่เขาพยายามช่วยกลับกลายเป็นคนอื่น แต่โชคยังดีที่ลูกสาวของคนคนนั้นเติบโตมาอย่างแข็งแรง และเติบโตมาอย่างดี“
หลิวกุ้ยอิงยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันคิดว่ามีแค่ต้าฝูและฉันเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ ไม่คิดเลยว่าคุณจะรู้เห็นเรื่องนี้เหมือนกัน”
ทันใดนั้นหลิวกุ้ยอิงเกิดมีลางสังหรณ์ขึ้นมาว่า คำพูดที่เหมือนไม่ผ่านกระบวนการคิดของเสิ่นอวี้อิ๋งเมื่อวานนี้อาจไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ หล่อนกำลังลองหยั่งเชิงอะไรบางอย่าง
และดูเหมือนว่าหลินเซี่ยเองก็สังเกตเห็นเมื่อนานมาแล้วเช่นกัน
ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่โพล่งถามเกี่ยวกับอดีตในวัยเยาว์ของตัวเองหลายครั้งก่อนหน้านี้
หล่อนกลัวมากจริง ๆ กลัวว่าสักวันจะเก็บความลับนี้ไว้ไม่อยู่
หมอเย่กลัวว่าหลิวกุ้ยอิงจะตำหนิหลินต้าฝูที่เสียชีวิตไป เขาจึงอธิบายต่อว่า “ต้าฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดเผยความลับว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเด็กคนนี้คือวีรบุรุษ ถ้าวันนั้นผมไม่ได้อยู่ที่บ้าน วันนั้นเด็กคงจะตายในอ้อมแขนของเขาไปแล้ว”
“ทำไมเธอไม่ยอมบอกความจริงกับเด็กล่ะ?” หมอเย่มองหลิวกุ้ยอิงแล้วถาม
หลิวกุ้ยอิงส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวดในใจ “ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี”
หมอเย่มองเธออย่างจริงจัง แล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอนะ ว่าเธอไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าตัวเองพลาดท้องอย่างไม่ควรเกิดขึ้นก่อนแต่งงาน และไม่ต้องการแยกจากครอบครัวของต้าฝูด้วย แต่เธอเคยคิดเรื่องนี้บ้างไหม? ว่าพ่อแท้ ๆ ของเด็กตายจากไปยังไม่พอ ครอบครัวต้องทุกข์ใจมากเมื่อสูญเสียหลานสาวอีก พวกเขาจะดีใจแค่ไหนที่รู้ว่าเด็กยังมีชีวิตและเลือดเนื้ออยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตใหม่น้อย ๆ นี้มันช่วยเยียวยาผู้คนได้นะ”
หลิวกุ้ยอิงน้ำตาตกเมื่อนึกถึงอดีต หล่อนร้องไห้ พูดจาด้วยเสียงเจือสะอื้น “หมอเย่ ฉันเองก็อยากตามหาครอบครัวของเขาเหมือนกัน แต่ฉันไม่มีความสามารถมากพอ เขาไม่เคยบอกอะไรเลย ฉันเลยไม่รู้ว่าครอบครัวจริง ๆ ของเขาอยู่ที่ไหน เขาบอกแค่ว่าจะกลับมา แล้วจะพาฉันไปเจอครอบครัวทีหลัง วันที่รู้ข่าวร้ายเรื่องการสละชีพของเขาเป็นวันเดียวกับที่ฉันรู้ว่าตัวเองท้อง ตอนนั้นฉันอายุแค่สิบเก้า ในสมัยนั้นก็รู้กันอยู่ว่าเรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมที่รับไม่ได้ง่าย ๆ เลย
ตอนนั้นฉันกลัวมาก เลยพยายามหลบซ่อนต่อไป ต่อมาพอพี่ชายฉันรู้ พวกเขาก็คิดจะพาฉันไปทำแท้ง แต่เพราะหล่อนเป็นลูกของพ่อที่ยอมเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อประเทศชาติ ฉันจึงอยากรักษาชีวิตของเจ้าหญิงตัวน้อยเพื่อเขา พยายามปกป้องหล่อนอย่างเต็มที่มาตลอด
ครอบครัวของฉันกลัวว่าฉันจะทำลายชื่อเสียงของพวกเขา ก็เลยตัดความสัมพันธ์กับฉันทันที จนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยกล้าหวนนึกถึงความสิ้นหวังที่ต้องรู้สึกในตอนนั้นอีกแล้ว ถ้าต้าฝูไม่ลุกขึ้นมาปกป้องฉัน และพาฉันกลับมาที่บ้านเกิดของเขา ฉันก็คงตายพร้อมลูกไปแล้ว
หลังจากแต่งงานกับต้าฝู ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ดีร่วมกับเขา ต้าฝูเองก็มีลูกชายคนหนึ่ง แล้วเขาก็ไม่รังเกียจลูกในท้องฉันด้วย ทุกอย่างในอดีตถูกฝังทิ้งไว้ที่ซีเหอ และฉันก็ไม่เคยต้องการจะขุดมันขึ้นมาอีก เพราะมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”
“เสี่ยวหลิว ฉันเข้าใจประสบการณ์อันเลวร้ายของเธอนะ แต่ยังมีบางสิ่งที่เธอยังต้องเผชิญอยู่” หมอเย่มองหลิวกุ้ยอิงและพูดอย่างจริงจัง “บอกความจริงกับเด็กเถอะ หล่อนแต่งงานแล้ว ได้อยู่กับครอบครัวใหม่ที่ดี สามีเป็นคนดีมากและสามารถวางใจได้ ในเมื่อหล่อนมีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิน บางทีเธออาจจะได้พบกับญาติของวีรบุรุษผู้สละชีวิตเพื่อชาติคนนั้นก็ได้ เขาน่าจะมีลูกหลานสักคนไว้คอยไปวางดอกไม้อาลัยให้เขา สวดส่งเพื่อปลอบโยนวิญญาณของเขาที่อยู่บนสวรรค์ คราวนี้ญาติ ๆ ของเขาคงจะโล่งใจมากเหมือนกันที่รู้ว่าพวกเขายังมีลูกหลานเหลืออยู่บนโลกใบนี้”
หมอเย่ชงชาให้ตัวเองและหลิวกุ้ยอิง เขารินน้ำชาพลางพูดอย่างช้า ๆ
“เมื่อก่อน ตอนที่ต้าฝูยังอยู่ ฉันอยากเกลี้ยกล่อมให้เขาบอกความจริงกับเด็กเหมือนกัน แล้วไปตามหาให้เจอว่าพ่อแท้ ๆ ของเด็กถูกฝังอยู่ที่ไหน ค่อยพาเด็กไปปัดกวาดสุสานและวางดอกไม้เพื่อระลึกถึง
ยังไงก็เถอะ ต้าฝูทุ่มความพยายามไปมากกับเด็กคนนั้น ฉันรู้สึกเสมอว่ามันอาจไม่ยุติธรรมกับต้าฝูขืนฉันยังพยายามโน้มน้าวเขาอีก ก็เลยตัดสินใจไม่พูดถึงมัน ลูกสาวของเขาที่โตมาไม่เคยเจอหน้าค่าตาต้าฝูมาก่อน ต่อให้บอกความจริงกับหล่อนไป ก็คงไม่เป็นการทำร้ายใครหรอกนะ”
“ถ้าเธอเอาแต่เก็บซ่อนมันไว้ ลูกอาจจะตำหนิเอาได้ถ้าวันหนึ่งหล่อนรู้ความจริงเข้า เธอใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว พื้นฐานทางอารมณ์ก็อ่อนแอมาก เธอไม่สามารถต้านทานพายุลูกใหญ่ได้หรอก ดังนั้นจะต้องจัดการกับความสัมพันธ์นี้ให้ดี อย่าซ่อนเร้นสิ่งที่ไม่ควรปิดบังไว้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นนับวันลูกจะยิ่งห่างเหินออกไปเรื่อย ๆ”
หลิวกุ้ยอิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับว่า “หมอเย่ ขอบคุณที่เตือนฉันเรื่องนี้ค่ะ ที่ผ่านมาเป็นฉันเองที่ขี้ขลาด”
“เธอพูดไม่ผิดหรอก มีแต่คนที่เคยพานพบประสบการณ์อันเลวร้ายในสมัยนั้นที่จะเข้าใจความยากลำบากของเธอ รู้ไหมทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่หลังจากเวลาผ่านไปกว่ายี่สิบปี?” หมอเย่ยิ้มอย่างขมขื่น “ก็เหมือนกับเธอ ฉันไม่กล้าเผชิญหน้ากับช่วงเวลาแห่งการสังเวยชีวิตคนจริง ๆ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สักวันหนึ่งความลับมันก็ต้องถูกเปิดเผย สู้บอกลูกดีกว่าให้ลูกมาสืบแล้วรู้เองนะคะ เซี่ยเซี่ยโตแล้ว มีวุฒิภาวะพอที่จะรับฟังอยู่ล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)