ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 216 จากนี้ไปต้องเรียกเซี่ยไห่ว่าอาแล้วนะ
ตอนที่ 216 จากนี้ไปต้องเรียกเซี่ยไห่ว่าอาแล้วนะ
ตอนที่ 216 จากนี้ไปต้องเรียกเซี่ยไห่ว่าอาแล้วนะ
เมื่อหลินเซี่ยกลับมาถึงบ้าน เฉินเจียเหอและหู่จือก็เพิ่งจะตื่นนอน แต่หู่จือยังไม่ได้ล้างหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยขี้ตาเกรอะกรัง สีหน้าก็บูดบึ้งเหมือนอารมณ์ไม่ดี มองแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเขาถูกเฉินเจียเหอบังคับให้ลุกจากเตียง
“หู่จือ แม่กลับมาแล้วจ้า” หลินเซี่ยยกถุงในมือขึ้นพลางพูดว่า “แม่ซื้อซาลาเปาลูกใหญ่มาฝากด้วยนะ”
เมื่อเห็นหลินเซี่ย หู่จือก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นเต้นทันที เขาขยี้ตาแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าด้วยขาสั้น ๆ ของเขา เสียงของเขาเศร้าโศกและแผ่วเบา “แม่ แม่กลับมาแล้ว”
หลินเซี่ยลูบหัวของเขาและถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ? อย่าบอกนะว่าโดนพ่อดุอีกแล้ว?”
หู่จือพยักหน้ารัว ๆ “อืม พ่อดึงหูผม”
“อะไรนะ? เขากล้าดียังไงมาดึงหูลูกชายแม่? เดี๋ยวแม่จะจัดการกับเขาเอง เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าเถอะ เสร็จแล้วเราออกมากินซาลาเปาด้วยกันนะ”
หู่จือฟื้นคืนพลังขึ้นมาทันที ยืดตัวตรง “แม่ฮะ ถ้าอย่างนั้นแม่ช่วยดุพ่อให้แรง ๆ แทนผมทีนะ”
“ได้ ไปล้างหน้าเร็วเข้า เดี๋ยวแม่คุยกับพ่อเอง”
เฉินเจียเหอที่กำลังพับผ้าห่มอยู่ในห้องนอนได้ยินเสียงของหลินเซี่ยจึงเดินออกไป เขาเดินเข้ามาหาเธอและพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “คุณจะจัดการกับผมยังไงดีล่ะ?”
หลินเซี่ยกลอกตาใส่เขาและบ่นด้วยความขุ่นเคือง “คุณช่วยอ่อนโยนกับลูกกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง? จำเป็นต้องดึงหูเขาเชียวเหรอ?”
“เอาล่ะ ครั้งต่อไปผมจะพยายามเบามือกว่านี้” เฉินเจียเหอดึงเธอเข้าไปในห้อง เลิกทำสายตาวิบวับแล้วถามอย่างจริงจัง
“ภรรยา ทำไมคุณกลับมาเร็วขนาดนี้?”
“แม่ตื่นนอนมาทำเหลียงเฝิ่นตั้งแต่เช้า ฉันก็เลยนอนต่อไม่หลับค่ะ”
หลินเซี่ยกลับบ้านมาเร็วกว่าที่คิดไว้ เฉินเจียเหอจึงอยากทราบความคืบหน้าจากทางด้านแม่ยายของเขา
หลิวกุ้ยอิงขอให้หลินเซี่ยนอนค้างที่บ้านเมื่อคืนนี้ ไม่น่าจะแค่อยากอยู่กับเธอตามประสาแม่ลูกแน่
เขามองไปที่หลินเซี่ยและถามเบา ๆ “เมื่อคืนคุณคุยกับแม่ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง?”
หลินเซี่ยยืนอยู่ตรงหน้าเขา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวกระจ่างใสของเธอเต็มไปด้วยความคิด
เฉินเจียเหอยกมือขึ้นบีบแก้มเธอเบา ๆ พลางถาม “ทำไมเหรอ ผมเดาผิดหรือเปล่า?”บราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ยส่ายหน้า
“พี่ใหญ่ของเซี่ยไห่ เขาน่าจะเป็นพ่อของฉัน” หลินเซี่ยมองเขาแล้วพูดขึ้นทันที
ดวงตาที่ลึกล้ำของเฉินเจียเหอสว่างขึ้นเล็กน้อย “คุณแน่ใจเหรอ?”
หลินเซี่ยตอบกลับ
“ถ้าฟังจากข้อมูลหลาย ๆ ด้านแล้วไม่ผิดแน่ แม่ฉันบอกว่าพ่อแท้ ๆ ของฉันชื่อเซี่ยเหลย และเขาก็เสียชีวิตในสงคราม ดังนั้นทุกอย่างก็ถูกต้องแล้ว เซี่ยเหลยคือพ่อผู้ให้กำเนิดของฉัน และเซี่ยไห่ก็เป็นอารองของฉันด้วย”
ตอนแรกสีหน้าของเฉินเจียเหอยังดูปกติเมื่อหลินเซี่ยพูดประโยคแรก แต่เมื่อเขาได้ยินประโยคถัดมา สีหน้าของเขาก็เจื่อนลงเล็กน้อย
“เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นมายังไง?” เฉินเจียเหอถามอย่างสงสัย
“ก่อนเกิดสงครามท่านรักอยู่กับเซี่ยเหลย จากนั้นเซี่ยเหลยก็เข้าร่วมกับกองกำลังแนวหน้า แม่ฉันตั้งท้องลูกของเขาก่อนจะได้แต่งงาน สามเดือนต่อมาก็มีข่าวเศร้าเรื่องการเสียชีวิตของเซี่ยเหลยถูกประกาศออกมาจากกองทัพ”
หลินเซี่ยบอกว่า “เซี่ยเหลยถูกพาตัวไปรักษาหลังจากที่เขาได้รับการช่วยเหลือ เพราะเขาสูญเสียความทรงจำ ทำให้คนอื่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตของเขาเคยมีแม่ฉันอยู่ อีกด้านหนึ่งแม่ฉันก็ตัดสินใจแต่งงานกับหลินต้าฝูขณะที่ท่านยังตั้งท้องฉัน และย้ายออกไปจากเทศมณฑลซีเหอ ความรักที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ จึงถูกฝังกลบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
“ผมจะโทรหาเซี่ยไห่แล้วบอกให้เขารีบกลับมา”
ตอนนี้หลิวกุ้ยอิงยอมรับความสัมพันธ์ของเธอกับเซี่ยเหลยแล้ว ที่ควรรู้ความจริงก็ได้รู้แล้ว เซี่ยไห่ไม่จำเป็นต้องไปตามสืบอะไรเพิ่มเติมอีก
หลินเซี่ยพูดว่า “แต่ฉันกลับคิดอีกแบบ ไหน ๆ เซี่ยไห่ก็ไปถึงเทศมณฑลซีเหอแล้ว ให้เขาตรวจสอบดูเผื่อว่าจะเจอเบาะแสอะไรที่นั่นเพิ่มเติมก็ดีค่ะ ถ้าเขารู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ของฉัน ทุกอย่างก็จะลงล็อก ทำให้พวกเราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอธิบายอะไรอีก
ตอนนี้แม่ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเซี่ยเหลยที่ท่านเคยรักยังมีชีวิตอยู่ บางทีแม่ฉันอาจจะยอมรับความจริงข้อนี้หลังจากที่เซี่ยไห่ไปเจอหลักฐานเกี่ยวกับตัวท่านที่นั่นก็ได้”
หลักฐานที่สามารถใช้ยืนยันตัวตนได้ คือสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุด
ถ้าเซี่ยไห่ถูกเรียกตัวกลับมาตอนนี้ ด้วยบุคลิกของเซี่ยไห่แล้ว บางทีเขาอาจจะไม่เชื่อคำบอกเล่าของพวกเขาก็ได้
เช่นเดียวกับหลิวกุ้ยอิง หล่อนยังต้องการให้เซี่ยไห่แสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าเซี่ยเหลยพี่ชายคนโตของเขาเป็นคนเดียวกันกับเซี่ยเหลยที่หล่อนรู้จักจริง ๆ
เมื่อได้ยินข้อเสนอแนะของหลินเซี่ย เฉินเจียเหอก็ตอบตกลง “ได้ งั้นวันนี้ผมจะลองโทรหา เพื่อถามว่าพอจะมีความคืบหน้าอะไรบ้างไหม ถ้าไม่มีความคืบหน้า เราจะได้ให้เบาะแสที่ถูกทางแก่เขาจากคำบอกเล่าของแม่ยาย ไม่อย่างนั้นเขาต้องเสียเวลาเปล่าแน่ถ้าไปถึงที่แล้วไม่เจออะไร”
หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอด้วยสีหน้าติดตลก “ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นจริง เซี่ยไห่ก็จะกลายเป็นอาของฉัน จากนี้ไปคุณก็ต้องเรียกเซี่ยไห่ว่าอาเหมือนกัน”
เธอยิ้มแล้วถามต่อ “คุณทำใจเรียกเขาแบบนั้นได้ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เฉินเจียเหอมองเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า พูดติดตลกเช่นกัน “อย่าว่าแต่เรียกเขาอาเลย ผมยินดีเรียกเขาว่าพ่อด้วยซ้ำ”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินดังนั้น เธอก็กลอกตาไปทางเขา “พูดจาเหลวไหลจริง ๆ”
เฉินเจียเหออธิบาย “ผมไม่ได้พูดจาเหลวไหล ผมยึดความอาวุโสของผู้คนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลัง เป็นธรรมดาที่จะต้องมีมารยาทขั้นพื้นฐาน ผมไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้สลักสำคัญอะไร”
แม้ว่าการเรียกสหายรุ่นพี่ว่าอาจะดูขัดใจไปหน่อย แต่ลำดับอาวุโสก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าถึงเวลานั้นแล้วเซี่ยไห่จะวางตัวโอหังขนาดไหน
ถึงอย่างนั้นเฉินเจียเหอก็สองมาตรฐาน เพราะเขาไม่เต็มใจจะเรียกเซี่ยตงว่าน้าเขย
เหตุผลหลักเป็นเพราะเขากับหลินเซี่ยไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด เขาคิดว่าการเรียกเซี่ยตงว่าอา ถือเป็นการประจบประแจงเพื่อหวังผล
แต่กับเซี่ยไห่แล้วมันแตกต่างออกไป เขาเป็นอาของภรรยาเขาโดยสายเลือด
ในอนาคตเขาอาจจะต้องยกน้ำชาไปเคารพอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
หลังจากที่หู่จือล้างหน้าเสร็จแล้ว เขาก็วิ่งกลับออกมาแล้วเรียกหาพวกเขา “พ่อ แม่ ผมอยากกินซาลาเปาแล้วฮะ”
“โอเค มาเร็วเข้า”
หลังอาหารเช้า ครอบครัวทั้งสามก็ออกไปข้างนอก
หวังซิ่วฟางจูงมือเสี่ยวฮวาออกมากำลังจะไปส่งหล่อนที่โรงเรียนอนุบาล เมื่อเห็นหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ กำลังเดินลงมาชั้นล่าง ก็เข้าไปทักทายอย่างอบอุ่น
จากนั้น หวังซิ่วฟางก็ผลักเสี่ยวฮวาไปทางเฉินเจียเหออย่างกระตือรือร้น “เฉินกง ช่วยพาเสี่ยวฮวาของฉันไปส่งที่โรงเรียนแทนหน่อยนะ ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะคุยกับเสี่ยวหลิน”
เฉินเจียเหอมองดูผู้หญิงตรงหน้าที่ไหว้วานคนอื่นโดยไม่สนว่าจะรบกวนเวลาส่วนตัวใคร ใบหน้าหล่อเหลาของเขาตึงขึ้นเล็กน้อย
หลินเซี่ยกลัวว่าเฉินเจียเหอจะโกรธ จึงรีบขยิบตาให้เขาแล้วพูดว่า “พาเสี่ยวฮวาไปด้วยแล้วกันค่ะ ฉันตกลงกับพี่สาวหวังไว้ ว่าถ้าใครมีเวลาก็จะผลัดกันไปรับไปส่งเด็ก ๆ”
“หู่จือ ไปโรงเรียนกับเสี่ยวฮวานะ”
หลินเซี่ยออกปากด้วยตัวเอง เฉินเจียเหอจึงก้าวไปจับมือของเสี่ยวฮวาเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวฮวา ไปกันเถอะ”
หลังจากพวกเขาเดินห่างออกไปไม่กี่ก้าว หลินเซี่ยก็ถามหวังซิ่วฟาง “พี่สาวหวัง มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
หวังซิ่วฟางเหลือบมองผู้สูงอายุและป้า ๆ ทั้งหลายที่กำลังเตรียมตัวเต้นแอโรบิกในลานกว้างหน้าอาคาร แล้วดึงหลินเซี่ยออกไปจากประตูอย่างรวดเร็ว
หล่อนมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ถามด้วยน้ำเสียงกระซิบ “เสี่ยวหลิน บอกความจริงกับฉันมาตามตรง รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงเขาชอบแม่ของเธอหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ซะหน่อย พี่สาวหวัง คุณไปเอาข่าวพวกนี้มาจากไหนกัน?”
“อย่าซ่อนมันไว้จากฉันเชียว รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงไปหาแม่เธอที่แผงขายของทุกวัน ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรทำนองนั้นกับแม่เธอจริง ๆ แล้วทำไมเขาถึงยอมเดินเท้าออกจากโรงงานเครื่องจักรมากินเหลียงเฝิ่นได้ทุกวี่ทุกวัน? อย่าบอกเชียวนะว่าเขาแค่ชอบกิน ฉันไม่เคยเห็นคนแก่ที่ไหนกินเหลียงเฝิ่นทุกวันแบบไม่เบื่อมาก่อนเลย นั่งดื่มเหล้าโดยไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของเหล้า(1)ล่ะสิไม่ว่า เรื่องมันยังไงกันแน่? อย่าปิดบังฉันเลย บอกฉันเถอะ ฉันจะได้หลีกทางให้”
น้ำเสียงของหวังซิ่วฟางเมื่อพูดกับหลินเซี่ยเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
สองแม่ลูกคู่นี้ช่างเป็นศัตรูหัวใจตัวยงของหล่อนเสียจริง
ก่อนหน้านี้หล่อนตกหลุมรักเฉินเจียเหอ สุดท้ายก็ถูกหลินเซี่ยขัดขวาง
ต่อมาหล่อนก็ตั้งเป้าความสนใจไปที่รองผู้จัดการโรงงานเจียง แต่ท้ายที่สุดเขายังมาชอบหลิวกุ้ยอิงอีก
ขว้างงูไม่พ้นคอจริง ๆ
ถ้าโชคชะตาโหดร้ายกับหล่อนถึงขนาดนั้น เห็นทีหล่อนคงกลายเป็นบ้าจริง ๆ
หลินเซี่ยอธิบายอย่างเคร่งขรึม “พี่สาวหวัง แม่ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจริง ๆ ค่ะ”
หวังซิ่วฟางไม่เชื่อ “จริงเหรอ?”
“ใช่ แม่ของฉันบอกชัดเจนว่าไม่ได้มีเจตนากับเขาในเชิงนั้นเลย” หลินเซี่ยอธิบาย “ไม่ว่าระหว่างคุณกับรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจะรักชอบพอกันยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่ฉัน ในใจแม่ฉันมีแต่พ่อของฉันคนเดียว ส่วนเรื่องของคุณกับรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจะได้ลงเอยกันยังไง ต้องรอดูว่ามีโชคชะตาร่วมกันไหม”
“ในเมื่อเธอพูดอย่างนั้นฉันก็โล่งใจแล้ว ตราบใดที่ไม่มีบุคคลที่สามเข้ามารบกวน ฉันก็จะเปิดเผยความรู้สึกกับเขาได้อย่างสนิทใจ”
“เสี่ยวหลิน งั้นฉันไปก่อนนะ ถ้ามีโอกาสฉันจะไปคุยกับรองผู้อำนวยการเจียงอีกครั้ง ฉันเชื่อว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนเรามากกว่า”
หวังซิ่วฟางรู้สึกราวกับตัวเองเพิ่งฉีดเลือดไก่*เข้าไป หลังจากพูดอย่างนั้น หล่อนก็โบกมือให้อีกฝ่ายและฮัมเพลงอย่างมีความสุข
*ได้รับกำลังใจเต็มเปี่ยม กลับมาฟื้นคืนพลังเต็มที่
หลินเซี่ยมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปเหมือนมีลมกระโชกแรง รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปาก
เธอเริ่มชอบพี่สาวหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ
พลังแห่งความไม่ยอมพ่ายแพ้นั้นถือเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมาก
ไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน จงรักษาหัวใจให้อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง หลงใหลในความก้าวหน้าของชีวิตอยู่เสมอ
…………………………………………….
นั่งดื่มเหล้าโดยไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของเหล้า 醉翁之意不在酒 หมายถึง ทำในสิ่งที่แตกต่างจากที่เห็นโดยสิ้นเชิง
สารจากผู้แปล
ถึงคราวต้องเรียกว่าอาจริงๆ จะมีคนกลั้นใจเรียกไหมนะ
พี่สาวหวังเตรียมดับเครื่องชนแล้ว นับถือในความพยายามของนางจริงๆ
ไหหม่า(海馬)