ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 217 เห็นแก่เพื่อนเก่า
ตอนที่ 217 เห็นแก่เพื่อนเก่า
ตอนที่ 217 เห็นแก่เพื่อนเก่า
เมื่อหลินเซี่ยมาถึงร้านตัดผม ชุนฟางก็นั่งดัดลอนผมอยู่หน้ากระจกก่อนแล้ว
หลินเซี่ยชื่นชมความเป็นมืออาชีพของชุนฟางจากใจจริง
หลังเลิกงาน หล่อนจะฝึกทำผมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงในทุก ๆ วัน และมาฝึกทำผมที่ร้านตั้งแต่แปดโมงเช้าก่อนร้านเปิด และเมื่อเธอกำลังตัดผมให้ลูกค้า ตราบใดที่เธอไม่มีงานยุ่งล้นมือ ชุนฟางก็จะมายืนอยู่ข้าง ๆ และศึกษาอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรักและความหลงใหลในวิชาชีพ หรือเพราะเธอต้องการผ่านงานเร็ว ๆ และได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นกันแน่ แต่ทัศนคติในการทำงานของชุนฟางก็ทำให้เธอพอใจมาก
“ชุนฟาง ฝึกทำผมไปถึงไหนแล้ว?”
“เซี่ยเซี่ย ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองเริ่มดัดผมแบบย้อนกลับคล่องแล้วล่ะ แถมยังม้วนผมเป็นลอนเล็กสำหรับคนผมบางได้แล้วด้วย ฉันลองดัดให้เธอดูดีไหม”
“เอาสิ ขอดูความคืบหน้าของเธอหน่อย”
ชุนฟางถืออุปกรณ์ดัดผม จากนั้นก็จัดการกับวิกผมบนหัวหุ่นอย่างรวดเร็ว
เห็นชัดได้ว่าความพยายามของหล่อนในช่วงเวลานี้ไม่ได้ไร้ผลเสียทีเดียว แน่นอนว่าหล่อนเชี่ยวชาญทักษะในการดัดผมเป็นอย่างดีสมราคาคุย
“ไม่เลวเลย เท่านี้ก็พัฒนามาแล้ว แต่เธอยังสามารถเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นจากการดัดแบบล่างขึ้นบน ระวังจะพลาดส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ” หลินเซี่ยช่วยชี้แนะจุดที่ยังขาดและเสนอแนวทางแก้ไข
หลังจากได้รับคำชมจากอาจารย์แล้ว ชุนฟางก็มองดูเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “งั้นถ้ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ฉันขอเริ่มลงมือเองเลยได้ไหม?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “เธอลองลงมือทำจริงได้เลย แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าเต็มใจให้เธอทำหรือเปล่าด้วย”
ชุนฟางดัดผมเป็นลอนสองทรงติดต่อกัน ซึ่งลอนทั้งสองแบบต่างก็ได้รับคำชมจากหลินเซี่ย
วันนี้ชุนฟางอารมณ์ดีมาก พอเสร็จงานแล้วก็วิ่งไปเตรียมน้ำอุ่นอย่างมีความสุข
หลินเซี่ยเก็บกองอุปกรณ์ทำผมของเธอ มองไปทางประตูด้วยความสงสัยว่า “เราติดป้ายรับสมัครงานมาหลายวันแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีใครมาสมัครสักทีนะ?”
ชุนฟางส่ายหน้า “จริงด้วย ไม่มีใครมาเลย”
หลินเซี่ยคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันเดาว่าบางทีคนที่อยากสมัครงานจริง ๆ อาจไม่เห็นป้ายรับสมัครของร้านเราก็ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเธอว่างช่วยเอาไปติดไว้บนเสาโทรศัพท์ตรงนั้น หรือบนกำแพงริมถนนก็ได้ แค่ต้องกระจายพื้นที่ในการโฆษณาซะหน่อย”
“ได้”
ชุนฟางออกจากร้านไปติดใบปลิวประกาศรับสมัครสองใบติดต่อกัน
ถังหลิงเห็นชุนฟางติดกระดาษอะไรบางอย่างบนเสาโทรศัพท์ริมถนน ก็อดไม่ได้ที่จะเดินออกไปอ่านดู
เมื่อเห็นเนื้อหาบนกระดาษแผ่นนั้น หล่อนก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
ผู้หญิงสองคนนี้งานยุ่งเกินกว่าจะทำงานกันเอง เลยเริ่มรับสมัครผู้ช่วยแล้วงั้นเหรอ?
แต่มันก็เป็นความจริง ช่วงนี้ในระหว่างที่หล่อนมาควบคุมการตกแต่งปรับปรุงร้านใหม่ที่นี่ ก็สังเกตเห็นว่ากิจการร้านตัดผมฝั่งตรงข้ามคึกคักเป็นพิเศษ
เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมจริง ๆ
บรรดาพนักงานจากโรงงานหลายแห่งต่างก็แวะเวียนไปทำผมที่ร้านนั้นกันทุกวัน
จากนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับผมดัดทรงใหม่
ราคาค่าบริการดัดผมของหลินเซี่ยนั้นคิดแพงกว่าร้านอื่นหนึ่งหยวนก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนงานหญิงเหล่านั้นล้มเลิกความคิดที่จะเสริมสวย
ด้วยปริมาณลูกค้าในระดับนี้ ผู้หญิงคนนั้นหรือจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำไม่ได้?
ตอนนี้ยังเริ่มเปิดรับสมัครเด็กฝึกงานเพิ่มอีก
ในเมื่อเป็นแบบนี้…
แสงคมกริบแวววาวแวบผ่านดวงตาของหล่อน
…
ตอนเที่ยง เด็กสาวมัดผมหางม้าสูงคนหนึ่งก้าวเดินฉับ ๆ เข้ามาในร้าน
หล่อนมองผ่านประตูเข้าไป เมื่อเห็นร้านตัดผมที่ได้รับการตกแต่งอย่างทันสมัย สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สภาพแวดล้อมโดยรวมดีกว่าร้านตัดผมของรัฐเป็นไหน ๆ
ชุนฟางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกค้า จึงเดินเข้าไปหาเตรียมจะต้อนรับหล่อน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้หญิงตรงหน้า หล่อนก็สะดุ้งตกใจ จากนั้นก็มองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังและพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “หลิวลี่ลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่?”
วันนี้เมื่อหลิวลี่ลี่เห็นชุนฟาง หล่อนกลับไม่ได้มีท่าทางเย่อหยิ่งดังเช่นปกติ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่หาได้ยาก
หล่อนยิ้มและพูดว่า “ชุนฟาง เธอมาทำงานที่ร้านของหลินเซี่ยจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่ ทำไม?” เมื่อชุนฟางเห็นหลิวลี่ลี่ หล่อนก็ถอยออกห่างโดยสัญชาตญาณ หากซ่อนตัวได้ซ่อนไปแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าหลิวลิลี่ส่งยิ้มให้แบบนั้น
รอยยิ้มหล่อนไม่ต่างอะไรจากหมาป่าแสยะคมเขี้ยว
“หลินเซี่ยอยู่ไหน?” หลิวลี่ลี่มองเข้าไปข้างใน
“ฉันอยู่นี่ มีอะไร?” หลินเซี่ยเดินออกมาพอดี เมื่อเห็นหลิวลี่ลี่ ก็มองหล่อนด้วยสีหน้าไม่แยแสพลางถามกลับ
“เซี่ยเซี่ย วันนี้ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาเรื่องทะเลาะกับเธอ” หลิวลี่ลี่เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ทัศนคติอบอุ่นผิดวิสัย “ถึงยังไงเราก็เคยเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาก่อน อย่าเอาแต่ทำตัวเป็นศัตรูกับฉันไปเลย เรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้น สำหรับเราสองคน ความสัมพันธ์จากการคบหากันมานานหลายปี จะขาดสะบั้นแค่เพราะความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ยังไง?”
หลินเซี่ยมองผู้หญิงคนนี้ด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อราวกับกำแพงเมือง กลอกตาอย่างไร้คำพูด
เธอยืนอยู่ที่นั่น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกมาซิว่าทำไมเธอถึงถ่อมาหาฉัน”
จู่ ๆ สุนัขรับใช้ตัวนี้ก็มาหาเธอถึงหน้าประตูด้วยความกระตือรือร้นอันผิดปกติ ถ้าไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงก็บ้าแล้ว
“ร้านเธอไม่ได้ติดป้ายประกาศรับสมัครงานหรอกเหรอ?” หลิวลี่ลี่ชี้ไปที่เสาโทรศัพท์ริมถนนแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
หลินเซี่ยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย กอดอกแล้วถามกลับ “แล้วไงล่ะ?”
หลิวลี่ลี่ถอนหายใจและอธิบายว่า “อย่างที่เธอรู้ ร้านตัดผมของรัฐนับวันยิ่งประสิทธิภาพถดถอย ช่างตัดผมแก่ ๆ เริ่มไม่มีงานทำกันแล้ว ตอนนี้นอกเหนือจากลุง ๆ ป้า ๆ บางคนที่ฝากตัวเป็นลูกค้าประจำ ไม่มีลูกค้าหนุ่มสาวคนไหนเต็มใจเสียเงินเข้าร้านทำผมเลย ฉันว่างจนต้องงีบอยู่ในนั้นทั้งวัน ไม่ก็เดินเตร่ไปรอบ ๆ น่าเบื่อจะตายชัก”
“เธอคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อสมัครงานใช่ไหม?” ชุนฟางถามอย่างกังวลหลังจากได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด
หลิวลี่ลี่ส่ายผมหางม้าไปมา ดูภูมิใจราวกับว่าตัวเองมีความสามารถจนใคร ๆ ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ “เธอพูดถูก ฉันมาที่นี่เพื่อสมัครงาน”
หลิวลี่ลี่มองไปที่หลินเซี่ย พูดด้วยรอยยิ้มต่อไป “เซี่ยเซี่ย เรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเสมอมา ตอนที่เรายังอยู่ที่ร้านตัดผมของรัฐ ฉันก็ไปสมัครพร้อมกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นว่าที่พี่สะใภ้ของฉันอีกต่อไปแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนสาวที่ดีต่อกันได้ไม่ใช่เหรอ ชุนฟางสระผมให้ลูกค้าไม่เป็นซะหน่อย เธอยังเต็มใจรับเข้าทำงานเลย ฉันมั่นใจว่าตัวเองทำงานได้ดีกว่าอย่างแน่นอน”
ชุนฟางโดนดูถูกซึ่งหน้า ก็ตอบโต้ด้วยความโกรธ “ใครกันแน่ที่สระผมให้ลูกค้าไม่เป็น?”
หลินเซี่ยมองไปที่หล่อน กระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วถามว่า “เธอไม่อยากตีสนิทกับเสิ่นอวี้อิ๋งแล้วเหรอ?”
หลิวลี่ลี่คลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า
“อวี้อิ๋งกำลังจะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอหล่อนบ่อยนักตั้งแต่เธอไปอยู่หอพักในโรงเรียน ฉันรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราก็ยังเป็นคนเดิม ช่วงนี้ฉันมักจะคิดถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันเสมอเลย เมื่อก่อนทักษะของเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันสักเท่าไหร่ จับกรรไกรทีไรเป็นพัง ไม่คิดว่าจะเปิดร้านตัดผมเป็นกิจลักษณะได้”
น้ำเสียงของหลิวลี่ลี่เต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยาหลินเซี่ย
“เธอลาออกจากร้านตัดผมของรัฐหรือยังล่ะ? หรือว่าเธอโดนไล่ออก?”
หลินเซี่ยทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายของหลิวลี่ลี่ ทำให้หลิวลี่ลี่ขัดเคืองใจมาก แต่ยังคงเสแสร้งยิ้มตอบ “ถ้าเธอยินดีจะรับฉันเข้าทำงาน ฉันจะกลับไปลาออกเดี๋ยวนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเธออย่าลืมไปเอาหลักฐานการลาออกมาให้ฉันดูด้วย ไม่งั้นถ้าฉันจ้างงานเธอที่นี่ แล้วเธอยังไม่ลาออกจากที่นั่น ก็ไม่เท่ากับเธอหลอกกินเงินค่าจ้างฉันฟรี ๆ เหรอ?”
“เธอจะรับฉันเข้าทำงานจริง ๆ ใช่ไหม?” หลิวลี่ลี่มองเธออย่างอดสงสัยไม่ได้
ใช่ว่าหลินเซี่ยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนหรอกเหรอ ทำไมถึงได้เจรจาด้วยง่ายดายขนาดนี้?
หลินเซี่ยคลี่ริมฝีปากเหยียดยิ้ม วางมือบนไหล่ของอีกฝ่าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงอะไรบางอย่าง
“ฉันต้องรับแน่อยู่แล้ว เธอเพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่าเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
ใบหน้าของชุนฟางเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดเมื่อได้ยินแบบนั้น หัวใจของหล่อนจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งทันที
ถ้าหลิวลี่ลี่มา หล่อนอาจจะต้องเป็นฝ่ายไป
หล่อนไม่คาดคิดว่าหลินเซี่ยที่เพิ่งชื่นชมทักษะการดัดผมของหล่อนในตอนเช้า จะยอมรับสมัครหลิวลี่ลี่ในช่วงบ่าย
หล่อนเต็มไปด้วยความคับข้องใจและสงสัย แต่ถึงยังไงหลินเซี่ยก็เป็นเจ้านาย จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร
เพราะเมื่อก่อนหลินเซี่ยและหลิวลี่ลี่เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมากจริง ๆ
ตอนนี้หลินเซี่ยอาจจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า ๆ เลยเต็มใจจะรับสมัครอีกฝ่ายในฐานะเด็กฝึกงาน หล่อนจะไปต่อว่าอย่างไรได้?
เฉินเจียเหอมาที่ร้านพร้อมกับกล่องอาหาร ดวงตาของเขามองสบใบหน้าของหลินเซี่ย น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงทันที “เซี่ยเซี่ย ได้เวลากินข้าวแล้ว”
หลินเซี่ยเห็นเขาหอบอาหารมื้อเที่ยงมาฝากตัวเองอีกครั้ง จึงบ่นว่า “ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องมาส่งข้าวแล้ว? คุณมาที่นี่อีกทำไม?”
“วันนี้ผมได้กับข้าวมาจากโรงอาหารน่ะ” เฉินเจียเหอวางมันลงบนโต๊ะตัวเล็ก แล้วเปิดกล่องอาหารออกทีละกล่อง
“ว้าว กลิ่นหอมน่ากินมากเลย” แม้ว่ากับข้าวตรงหน้าจะเป็นแค่เต้าหู้ผัดกับกะหล่ำปลีธรรมดา ๆ แต่เนื่องจากเฉินเจียเหอห่อใส่กล่องปิดฝามาจากระยะไกล ทำให้มันมีกลิ่นหอมมากกว่าตอนที่เธอปรุงที่บ้านตามปกติถึงร้อยเท่า
หลิวลี่ลี่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกอิจฉาจนตาร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอมีน้ำใจต่อหลินเซี่ยมากขนาดไหน แถมยังอุตส่าห์ห่อข้าวเที่ยงมาฝากเธออีกด้วย
นังงี่เง่าคนนี้ช่างโชคดีจริง ๆ
เมื่อก่อนอีกฝ่ายเคยถูกพี่ชายของตนตามจีบเพื่อเป็นสะพานในการเข้าหาผู้อำนวยการเสิ่น ตอนนั้นพี่ชายหล่อนก็ขยันซื้ออาหารอร่อย ๆ มาฝากเช่นกัน
หล่อนคิดไปเองว่าอีกฝ่ายคงมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญมากหลังแต่งงานกับพ่อม่ายลูกติด ไม่คาดคิดว่าผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อและให้เกียรติภรรยามาก
ยิ่งหลิวลี่ลี่คิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์มากเท่านั้น หล่อนทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ทันทีเพราะไม่อยากเห็นพวกเขาแสดงความรักต่อกัน ดังนั้นจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนะ”
หลินเซี่ยเหลือบมองเธอด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ อย่าลืมไปลาออกด้วย”
หลิวลี่ลี่จากไปแล้ว ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็สังเกตเห็นสีหน้าเศร้าหมองของชุนฟาง แต่เธอได้แต่ยิ้มโดยที่ยังไม่อธิบายอะไร
เธอยืนอยู่ข้างประตู มองตามออกไปอย่างระมัดระวัง
แน่นอนว่าภาพที่เห็นคือหลิวลี่ลี่เดินข้ามถนนไปยังร้านฝั่งตรงข้าม
หลินเซี่ยเยาะเย้ยเบา ๆ ให้กับ ‘คนโง่’ คนนั้น หล่อนไม่รู้จักระมัดระวังตัวเลยจริง ๆ คิดว่าเธอไม่รู้หรือไงว่าหล่อนกับถังหลิงอยู่ฝ่ายเดียวกัน
“มองอะไรอยู่?” เฉินเจียเหอถาม
หลินเซี่ยหันกลับมามองเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แฟนเก่าคุณส่งสายลับมาสมัครงานที่ร้านฉันน่ะสิ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หลินเซี่ยจะมีแผนจัดการนางนาตาชาคนนี้ของยัยถังขยะยังไงกันน้า
ไหหม่า(海馬)