ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 247 คิดจะเอาดีเข้าตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่นหรือไง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 247 คิดจะเอาดีเข้าตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่นหรือไง
ตอนที่ 247 คิดจะเอาดีเข้าตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่นหรือไง
ตอนที่ 247 คิดจะเอาดีเข้าตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่นหรือไง
เสิ่นเสี่ยวเหมยร้องไห้ไม่หยุด เอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าหล่อนไม่ต้องการหย่า จนผู้เฒ่าเสิ่นได้แต่ถอนหายใจ “ลุงก็ไม่อยากให้หลานหย่าเหมือนกัน เฉินเจียซิ่งมาจากครอบครัวทหารผ่านศึกอันทรงเกียรติ ถ้าหลานหย่า อีกหน่อยอาจไม่เจอผู้ชายที่มีภูมิหลังดีเท่าเขาแล้วก็ได้ คงไม่ดีแน่ถ้าเรื่องอื้อฉาวแบบนี้แพร่กระจายออกไป”
จากนั้นเขาก็ปลอบโยนเสิ่นเสี่ยวเหมย “เอาล่ะ ใจเย็นก่อน ไว้ค่อยกลับไปขอโทษเฉินเจียซิ่งก็ยังไม่สาย ขอแค่หลานยอมพูดอะไรดี ๆ สักสองสามคำกับเขา เขาต้องยกโทษให้หลานแน่”
“เสี่ยวเหมย”
เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยเห็นถังหลิง หล่อนก็ปาดน้ำตา และรีบรายงานสถานการณ์ให้ฟัง “พี่หลิง พี่มาที่นี่ได้เวลาพอดีเลย นังหลินเซี่ยมันรู้แผนของพวกเราแล้ว”
ถังหลิงกลัวว่าผู้เฒ่าเสิ่นจะเข้าใจผิด หล่อนจึงเม้มปากทำเหมือนไม่รู้อะไร และพูดด้วยรอยยิ้มเคอะเขิน
“เสี่ยวเหมย ฉันได้ยินมาว่าเธอแค่ประจำเดือนมาล่าช้ากว่ากำหนด ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”
หล่อนนั่งลงข้างเสิ่นเสี่ยวเหมย จากนั้นจับมืออีกฝ่ายแล้วพูดด้วยความกังวล “แต่คิดในแง่ดีก็ถือว่าดีแล้วนะ ภาวะแท้งบุตรเป็นอันตรายต่อร่างกายจะตายไป โชคดีแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้แท้งจริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเธอควรคำนึงถึงสุขภาพร่างกายตัวเองเป็นอย่างแรก ถูกไหมคะลุงเสิ่น?”
ผู้เฒ่าเสิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของถังหลิง “นั่นก็จริง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เคยแท้ง ถึงแม้จะหย่าร้างกับสามี อย่างน้อยก็ยังหาคู่ครองคนใหม่ในอนาคตได้โดยง่าย
กลับกัน ถ้าหล่อนเคยแท้งลูกมาแล้วครั้งหนึ่ง สามีคนใหม่คงไม่ชอบใจแน่นอน
เพราะนั่นหมายความว่าหล่อนไม่พร้อมจะตั้งครรภ์อีกต่อไป
เขาคิดว่าการโกหกไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องสุดวิสัย
“ลุงคะ ไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ วันนี้ลุงเหนื่อยกับฉันมามากพอแล้ว” เสิ่นเสี่ยวเหมยลุกขึ้นยืน จากนั้นดึงแขนถังหลิง “ไปเถอะ ขึ้นไปคุยกันบนห้องดีกว่า”
ทันทีที่เข้าไปในห้อง เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ปิดประตูแล้วเริ่มต่อว่าถังหลิง
“พี่หลิง เฉินเจียซิ่งออกปากว่าจะหย่ากับฉันแล้ว คำแนะนำที่พี่เสนอมามันทำให้ฉันเจ็บปวดมากจริง ๆ”
ถังหลิงจับปอยผมไปทัดหูด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แล้วอธิบายว่า “เสี่ยวเหมย ฉันเสนอแผนการแบบนั้นไปก็เพราะฉันเห็นว่าเธอกำลังประสบปัญหาใหญ่ ตอนนั้นคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถึงได้บอกให้ทำเป็นทางเลือกสุดท้าย”
เมื่อกี้นี้ถังหลิงทำตัวไร้เดียงสาต่อหน้าลุงของหล่อน ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเป็นคนให้คำแนะนำใด ๆ ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มสังหรณ์ใจถึงลางไม่ดี
เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้น แถมพันธมิตรเพียงคนเดียวยังตัดช่องน้อยแต่พอตัวอีก
หล่อนพลันรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันใด
ถังหลิงมองหล่อน ก่อนจะปกป้องตัวเองอย่างจริงใจ “เสี่ยวเหมย ใจเย็นก่อนเถอะ ตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขมัน แทนที่จะมานั่งโทษว่าเป็นความผิดของใคร ถ้าฉันคิดจะปัดความรับผิดชอบ ฉันคงไม่คิดมาหาเธอตั้งแต่แรก เราสองคนเลิกคบกันก็สูญเสียแค่สถานะเพื่อน แต่สิ่งที่เธอกำลังจะเสียไปนั้นสำคัญกว่าฉันมาก”
คำพูดที่จริงใจของถังหลิง ทำให้สีหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยผ่อนคลายลง
ถังหลิงมองหน้าหล่อนแล้วพูดต่อ
“เชื่อใจฉันเถอะ ฉันคือคนที่หวังดีต่อเธอมากที่สุดในโลกนี้แล้ว ถ้าไม่นับลุงของเธอน่ะนะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยล้มเลิกความคิดที่จะตำหนิหล่อนอีกครั้งโดยสิ้นเชิง มองถังหลิงด้วยความสับสน โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะให้คำแนะนำแก่ตนได้บ้าง “พี่หลิง พี่คิดว่าตอนนี้เราควรทำยังไงดี? เฉินเจียซิ่งพูดแล้วว่าเขาจะหย่า แต่ฉันไม่อยากหย่า ฉันจะยอมกลายเป็นม่ายได้ยังไง? คนอื่นต้องซุบซิบนินทากันแน่ ๆ”
“อย่าเพิ่งกังวล เราค่อย ๆ คิดหาทางออกกันก่อนดีกว่า”
ถังหลิงพูดต่อ “จริง ๆ แล้วพวกเราอาจจะมีทางออกอยู่ทางหนึ่ง ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าเธอไม่ได้ท้องตั้งแต่แรก ถ้าอย่างนั้นเราก็โยนความผิดให้หมอ ไม่ใช่เพราะเธอโกหก จริงสิ ตอนนั้นพวกเราไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลไห่เฉิงกันแค่สองคน แล้วหลินเซี่ยกับคนอื่น ๆ รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
ถังหลิงมองหล่อน จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทำไมหลินเซี่ยคนนั้นถึงสืบรู้ความจริงได้เร็วขนาดนี้?
เสิ่นเสี่ยวเหมยอธิบาย “พี่สะใภ้ของฉันน่ะสิ หล่อนเป็นหมอที่โรงพยาบาลไห่เฉิงไม่ใช่เหรอ? หมอสูติที่ตรวจร่างกายให้ฉันวันนั้นต้องบอกอะไรบางอย่างกับหล่อนแน่”
เมื่อถังหลิงได้ยินแบบนี้ สีหน้าพลันปรากฏความกระจ่างใจ
แม้แต่เซี่ยหลานยังยอมออกหน้าเพื่อเป็นพยานให้กับหลินเซี่ยเชียวเหรอ?
เมื่อพิจารณาจากคำพูดเป็นนัยของหลินเซี่ย บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจเริ่มสงสัยหล่อนเข้าแล้ว
ถังหลิงพูดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยว่า “เสี่ยวเหมย ในเมื่อสถานการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเอจะต้องการรักษาสถานภาพการแต่งงานของเธอกับเจียซิ่งไว้ให้ได้ แล้วเราค่อยมาแก้ไขส่วนที่เหลืออย่างช้า ๆ”
พอพูดถึงเฉินเจียซิ่ง ใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยก็หมองหม่น “ฉันคิดว่ารอบนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเลิกกับฉัน เมื่อก่อนต่อให้ฉันทุบตีหรือด่าเขาสาดเสียเทเสียแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเด็ดขาดขนาดนี้มาก่อน เมื่อกี้เขาด่าเหน็บลุงกับลูกพี่ลูกน้องของฉันด้วยซ้ำ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มร้องไห้อีกครั้งในขณะพูด
แม้ว่าเฉินเจียซิ่งจะไม่ได้ดั่งใจหล่อนในหลาย ๆ เรื่อง มีหลายครั้งทีเดียวที่หล่อนคิดว่าเขาขี้ขลาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าหล่อนมีความรู้สึกดี ๆ กับเฉินเจียซิ่งเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกเหนือกว่าเมื่อควบคุมเฉินเจียซิ่งได้
ดังนั้น เมื่อหล่อนรู้สึกว่าเฉินเจียซิ่งไม่เชื่อฟังตนเหมือนเมื่อก่อน หล่อนก็เริ่มตื่นตระหนกแล้วทำตามแผนการของถังหลิง จนผลสุดท้ายทุกอย่างพังพินาศแบบนี้
“เสี่ยวเหมย เธอเชื่อใจฉันไหม” ถังหลิงมองหล่อนด้วยสีหน้าจริงใจมากพร้อมกับถาม
เสิ่นเสี่ยวเหมยพูดตามตรง “พี่หลิง ฉันประทับใจมากที่พี่ยังไม่ทอดทิ้งฉัน ฉันเองก็อยากจะเชื่อใจพี่เหมือนกัน แต่คราวนี้พี่ต้องให้แนวทางที่เชื่อถือได้กับฉัน”
“ในเมื่อเธอเชื่อใจฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปหาเฉินเจียซิ่งแล้วช่วยพูดกับเขาแทนเธอ”
เมื่อถังหลิงพูดแบบนี้ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทันที “เอาสิ พี่หลิง ถึงเวลานั้นพี่ก็สารภาพกับเขาไปตามตรงเลยว่าเจ้าของแผนการตัวจริงคือพี่ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันแค่สับสนขาดสติยั้งคิดจนเชื่อฟังคำพูดของพี่ ลำพังแล้วตัวฉันไม่มีความคิดแบบนั้นเลย”
ถังหลิง “!!!”
คิดจะเอาดีเข้าตัว แล้วโยนความชั่วให้คนอื่นหรือไง?
ถังหลิงข่มแรงกระตุ้นที่จะด่าทออีกฝ่าย ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับเช่นเคยขณะพูดว่า “เสี่ยวเหมย ความคิดนี้ไม่เข้าท่า เราทำแบบนั้นไม่ได้”
เสิ่นเสี่ยวเหมยงุนงง “แล้วพี่จะโน้มน้าวเขายังไง เฉินเจียซิ่งไม่ยกโทษให้ฉันหรอกเว้นแต่ว่าเขาจะหมดความสงสัยในตัวฉัน”
เสิ่นเสี่ยวเหมยรู้สึกเสียใจที่ตอนอยู่ในโรงพยาบาลไม่ได้สารภาพซัดทอดมาถึงถังหลิง
“เสี่ยวเหมย ลองคิดดูสิ ถ้าเฉินเจียซิ่งได้ยินฉันบอกว่าฉันเป็นต้นคิด เขาต้องมีอคติและคิดว่าเธอเป็นคนสั่งให้ฉันมารับผิดแทนเธอ และนั่นจะยิ่งทำให้เขาเกลียดเธอเข้าไปใหญ่ ถึงยังไงตอนเด็ก ๆ เราก็เติบโตมาด้วยกันในชุมชนบ้านพักทหาร เขาคงจะยอมรับฟังคำเกลี้ยกล่อมของฉันอยู่บ้างในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนบ้านกัน”
ถังหลิงมองเสิ่นเสี่ยวเหมยซึ่งเอาแต่เม้มปาก แล้วพูดต่อ “หรือไม่ เขาก็อาจจะเชื่อ แล้วคิดว่าพวกเราอยู่ฝักฝ่ายเดียวกัน ครั้งต่อ ๆ ไปเขาต้องไปยอมรับฟังฉันแน่ ฉันพอจะรู้อยู่หรอกว่าเหตุการณ์นี้เป็นแค่ตัวกระตุ้น ระหว่างพวกเธอสองคนมีปัญหาทางอารมณ์ต่อกันมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมเฉินเจียซิ่งที่ล้มเลิกความตั้งใจจะมาตามเธอกกลับบ้าน อยู่ ๆ ถึงเต็มใจมาล่ะ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะฉันไปบอกเขาว่าเธอท้องเหรอ?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยรู้สึกว่าสิ่งที่ถังหลิงพูดดูเหมือนจะสมเหตุสมผล
“เมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่ ปัญหาจะต้องได้รับการแก้ไขที่ต้นตอ”
“แล้วจะแก้ยังไง?” เสิ่นเสี่ยวเหมยมองหน้าหล่อนอย่างว่างเปล่า หมดปัญญาจะใคร่ครวญแล้ว
“ก่อนอื่นเธอต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แสดงความจริงใจ ปรับเปลี่ยนบุคลิกนิดหน่อย ทำตัวมีน้ำใจและอ่อนโยนต่อเขาให้มากขึ้น ผู้ชายทุกคนก็เป็นแบบนี้กันหมด ส่วนฉันก็จะไปช่วยคุยกับเขาอีกแรง แล้วถ้าไม่ได้ผล…”
ถังหลิงหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วเหยียดยิ้มอย่างชั่วร้าย
“อะไร?” เสิ่นเสี่ยวเหมยถามอย่างเร่งรีบ
ถังหลิงตอบว่า “เธอก็หาทางมีลูกอีกคนกับเขาซะสิ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยถอนหายใจและส่ายหัว “ฉันจะท้องได้ยังไง? เขาไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ”
“พวกเธอสองคนยังเป็นสามีภรรยากันอยู่นะ ตราบใดที่เธอเริ่มเปลี่ยนนิสัย ฉันจะไปโน้มน้าวให้เขายอมออกมาเจอ เธอน่ะถนัดเรื่องแสดงบทอ่อนแออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
น้ำเสียงของถังหลิงมีความหมายบางอย่าง เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยคิดถึงฉากดังกล่าว ทันใดนั้นความมั่นใจก็กลับคืนมา หล่อนคว้าแขนถังหลิงและขอบคุณอีกฝ่ายอย่างมีความสุข “พี่หลิง ขอบคุณมาก ๆ เลย เอาตามนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะออกไปซื้อเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยสวย ๆ สักสองชุด”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขึ้นอยู่กับเจียซิ่งแล้วล่ะว่าจะกลับมาคืนดีด้วยหรือเปล่า ขอให้ใจแข็งอยู่อย่างนั้นต่อไปเถอะ ไม่ยอมให้แผนของพวกหล่อนสมหวังหรอกย่ะ
ไหหม่า(海馬)