ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 254 ผลการสอบสวนของตำรวจ
ตอนที่ 254 ผลการสอบสวนของตำรวจ
ตอนที่ 254 ผลการสอบสวนของตำรวจ
ในวันนี้หลินเซี่ยก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน
เธอมีนัดดื่มชากับอาจารย์หวัง ซึ่งเป็นช่างตัดผมอาวุโสในร้านตัดผมของรัฐ
แน่นอนว่าจุดประสงค์คือการทาบทามคน
“อาจารย์หวัง เดี๋ยวนี้ร้านตัดผมของฉันมีฐานลูกค้ามั่นคงแล้ว ฉันเลยหวังว่าคุณจะพิจารณาย้ายมาทำงานกับพวกเราน่ะค่ะ”
แม้ว่าหลินเซี่ยจะพูดถึงโอกาสในการพัฒนา รวมถึงทิศทางทางธุรกิจของร้านตัดผมตัวเอง แต่อาจารย์หวังกลับแสดงท่าทางไม่สนใจอย่างเห็นได้ชัด
“เสี่ยวหลิน ฉันยังไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนงานในขณะนี้ ด้วยวัยของฉันแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการที่สุดคือความมั่นคง ถ้าฉันไปทำงานที่ร้านของเธอจริง สำหรับฉันแล้วฉันคิดว่าความเสี่ยงค่อนข้างสูง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันรู้สึกขอบคุณเธอมากเหมือนกันที่ยังระลึกถึงฉันในฐานะอาจารย์ของเธอ”
หลินเซี่ยไม่ร้อนใจ เธอยกถ้วยชาขึ้นจิบ มองหน้าเขาแล้วพูดช้า ๆ
“ฉันรู้ค่ะว่าที่คุณไม่อยากออกมาทำงานที่ร้านตัดผมซึ่งเป็นกิจการส่วนบุคคลเพราะที่ทำงานเก่าของพวกเราถือเป็นงานที่มั่นคงกว่า แต่คุณลองคิดดูดี ๆ นะคะว่าร้านตัดผมของรัฐในทุกวันนี้ยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอยู่ไหม?”
อาจารย์หวังลดระดับสายตา สีหน้าของเขามืดมนลง
“คุณแค่รู้สึกมั่นคงเพราะได้รับเงินเดือนขั้นพื้นฐานเท่านั้นเอง ผลประโยชน์อื่น ๆ แทบไม่ได้ มันเพียงพอต่อภาระประจำวันจริง ๆ เหรอ? ฉันจำได้ว่าลูก ๆ ของคุณต่างก็กำลังเรียนอยู่ แถมค่าเล่าเรียนก็ค่อนข้างแพง เร็ว ๆ นี้ฉันได้ยินมาเหมือนกันว่าร้านตัดผมของรัฐไม่ได้จ่ายค่าจ้างมาหลายเดือนแล้ว คุณในตอนนี้คงจะเครียดมากสินะคะ”
คำพูดนี้ของหลินเซี่ยทำให้สีหน้าของอาจารย์หวังมืดมนลงอย่างสิ้นเชิง
“คุณคงเห็นแล้วว่ามีร้านตัดผมและร้านเสริมสวยของเอกชนผุดขึ้นมาตามท้องถนนมากมาย ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ เราไม่สามารถจมอยู่กับอดีตได้ตลอดไป บางทีอาจจะถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว”
หลินเซี่ยรู้สึกว่าสีหน้าของอาจารย์หวังเริ่มผ่อนคลายลง เธอยิ้มและพูดว่า “ชุนฟางเองก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นช่างทำผมประจำในเดือนหน้า เดือนแรกหล่อนจะได้รับเงินหนึ่งร้อยหยวน และมีการปรับเพิ่มขึ้นให้ในภายหลัง ฉันคิดค่าแรงตามระบบคอมมิชชั่น ยิ่งบริการลูกค้าเยอะก็ยิ่งมีรายได้เยอะ คุณเป็นช่างมืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องฝึกงานอีก หมายความว่าสามารถเริ่มงานใหม่และรับค่าคอมมิชชั่นได้เลย รวมกันแล้วรายได้อาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำไป”
“ร้านตัดผมเล็ก ๆ ของเธอสามารถรองรับพนักงานได้ถึงสามคนเชียวเหรอ?” ดูเหมือนอาจารย์หวังจะเริ่มคล้อยตาม และเต็มใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่แล้ว
“พูดตามตรงว่าฉันมีแผนอื่น ที่มาเชิญคุณในวันนี้ก็เพราะอยากให้คุณไปเป็นหัวหน้าช่างตัดผม ไม่จำเป็นต้องสระผมให้ลูกค้าด้วยซ้ำ มีหน้าที่ตัดผมแค่อย่างเดียว ฉันวางแผนว่าจะขยายธุรกิจออกไปเพื่อทำอีกหลาย ๆ แขนง นานวันเข้าระดับกิจการของเราจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ”
“แค่ตัดผมยังไม่พออีกเหรอ? เธอยังมีแผนจะทำอะไรอีกบ้าง?”
“ฉันอยากให้ร้านเรารองรับการทำผมให้กับเจ้าสาวด้วยค่ะ พร้อมกันนั้นก็จะมีธุรกิจด้านสินค้าความงาม สกินแคร์ และอื่น ๆ เข้ามาขายเสริม คุณอาจจะเห็นว่าหนุ่มสาวสมัยนี้นิยมจัดงานแต่งกันตามสมัยนิยมซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ต้องไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งและทำผม ถือเป็นงานใหญ่ ดังนั้นเราควรใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าอุตสาหกรรมนี้ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก แล้วคว้าโอกาสในการเปิดตลาดอย่างรวดเร็ว คราวนี้เราก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าธุรกิจจะซบเซา”
คำพูดของหลินเซี่ยทำให้อาจารย์หวังมองเธอด้วยความชื่นชม “เมื่อก่อนตอนที่เธอยังอยู่ในร้านตัดผม ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอเป็นคนที่มีหัวทางธุรกิจมาก?”
“คนเราสามารถพัฒนาตัวเองได้เสมอค่ะ”
หลินเซี่ยพูดทุกอย่างที่เธอต้องการจะพูดแล้ว จึงวางแผนว่าจะกลับไปที่ร้าน
“คุณจะกลับไปคิดให้รอบคอบอีกครั้งก็ได้นะคะ ตอนนี้ฉันมาทาบทามคุณแค่คนเดียว ยังไม่ได้ตระเวนไปหาช่างคนอื่น ๆ ตามร้านตัดผมของรัฐหลาย ๆ ที่ ถ้าคุณทบทวนแล้วยังไม่เห็นด้วยที่จะมาร่วมงานกัน ฉันค่อยไปเชิญคนอื่นแทนค่ะ”
อาจารย์หวังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ให้เวลาฉันกลับไปคิดสักสองวันแล้วกัน”
หลังจากที่หลินเซี่ยคุยกับอาจารย์หวังเสร็จแล้ว เธอก็กลับไปที่ร้านตัดผม
มีลูกค้ารออยู่ในร้านก่อนแล้ว
พนักงานหญิงจากโรงงานจำนวนมากแวะเวียนมาทำผมในช่วงสุดสัปดาห์ไม่ขาดสาย ล่าสุดหลินเซี่ยก็เพิ่งจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมรูปแบบใหม่
ขณะเดียวกันนั้น เธอก็ซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวหน้าไว้ด้วย
ใครก็ตามที่มาใช้บริการดัดผมกับเธอจะได้รับบริการพิเศษ ซึ่งก็คือการทำทรีตเมนต์ผิวหน้า
จุดประสงค์หลักคือแย่งฐานลูกค้าจากอีกร้านหนึ่ง
แน่นอนว่ายังเป็นการทดสอบน่านน้ำเพื่อเตรียมพร้อมในการขยายขอบเขตธุรกิจในอนาคตอีกด้วย
ขณะหลินเซี่ยกำลังบำรุงผิวหน้าให้กับพี่สาวคนหนึ่ง ทันใดนั้นหลิวกุ้ยอิงก็เดินพรวดพราดเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
หลินเซี่ยเห็นหลิวกุ้ยอิงดูลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ จึงถามว่า “แม่ ทำไมจู่ ๆ ถึงแวะมาที่นี่เหรอคะ?”
หลิวกุ้ยอิงเห็นว่าหลินเซี่ยกำลังยุ่งและยังมีลูกค้าอยู่ในร้าน หล่อนก็ปรับอารมณ์ให้สงบและยืนนิ่ง “ไม่มีอะไร ลูกไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ”
หลังจากที่ลูกค้าออกไปแล้ว หลิวกุ้ยอิงก็ดึงหลินเซี่ยเข้าไปในห้องฉากกั้นด้านหลัง
หลินเซี่ยถามอย่างสับสน “แม่ เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าหน้าที่ตำรวจมาคุยกับแม่ ได้ยินว่าตำรวจจากพื้นที่บ้านเกิดของเราได้มอบหมายคดีให้ตำรวจในไห่เฉิงช่วยรับช่วงต่อ” หลิวกุ้ยอิงตอบ
“พวกเขาบอกว่ายังไงบ้าง?”
หลิวกุ้ยอิงตอบ “พวกเขาบอกว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นได้รับการสอบสวนอย่างชัดเจนแล้ว หมอที่ทำคลอดให้เด็กเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน แต่ตำรวจตามสืบจนเจอพยาบาลในเวลานั้น จากการสอบปากคำ พวกเขาได้รับการยืนยันว่าลูกถูกเสิ่นเถี่ยจวินอุ้มออกไปจากห้องพักคลอดจริง
“ถึงอย่างนั้นเสิ่นเถี่ยจวินก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนตั้งใจสับเปลี่ยนเด็ก เขาบอกว่าเขาไม่มีแรงจูงใจที่จะทำแบบนั้น แค่บังเอิญอุ้มทารกออกมาผิดคน ทั้งยังบอกด้วยว่าเด็กทั้งสองคลอดในเวลาไล่เลี่ยกัน และเวลานั้นพยาบาลก็วางไว้ใกล้กันด้วย เขาแค่เข้าใจผิดเท่านั้น”
ใบหน้าของหลินเซี่ยเข้มขึ้น “อุ้มผิดคนงั้นเหรอ?”
“ใช่” หลิวกุ้ยอิงพูดต่อ “ตำรวจยอมรับคำสารภาพของเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขามาคุยกับแม่คือพวกเราทั้งสองฝ่ายควรมาเจรจาตกลงกันเอง ให้เสิ่นเถี่ยจวินขอโทษแม่ และทำให้คดีนี้จบไป”
“แค่ขอโทษเท่านั้นเองเหรอคะ?”
หลิวกุ้ยอิงก็เสียใจเช่นกัน “ใช่แล้ว ตำรวจในไห่เฉิงยังแนะนำแม่อย่างไม่ไยดีด้วยว่าถึงยังไงพวกเราก็เป็นฝ่ายรับผลประโยชน์อยู่แล้ว ซึ่งก็คือการที่ลูกได้รับประโยชน์จากการเติบโตขึ้นในเมือง และทางเสิ่นเถี่ยจวินก็ยินดีที่จะขอโทษ สักวันเราสองฝ่ายคงต้องเผชิญหน้า”
หลิวกุ้ยอิงรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตำรวจพูด ถ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก หล่อนก็คงอยากให้ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองอยู่เคียงข้างร่วมทุกข์สุขและฝ่าฟันความยากลำบากในชนบทไปด้วยกันมากกว่าที่ต้องมานั่งเลี้ยงดูลูกสาวคนอื่น
ใบหน้าของหลินเซี่ยดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเก่า
ฟังจากที่ตำรวจพูด ดูเหมือนพวกเขาอยากให้พวกเธอไกล่เกลี่ยแล้วจบกันง่าย ๆ
ซึ่งก็จริง ในแง่ของสภาพภายนอก ดูเหมือนว่าพวกเธอสองแม่ลูกจะเอาเปรียบอีกฝ่ายด้วยซ้ำไป
ถึงอย่างไรเธอก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้มายี่สิบปีแล้ว
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเธออีกเช่นกัน
เพราะมันเป็นความตั้งใจของเสิ่นเถี่ยจวินตั้งแต่แรก
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา เธออาจจะมีฐานะทางสังคมที่ดีกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งก้จริง แต่สุดท้ายแล้วผู้คนในครอบครัวนั้นก็ปฏิบัติต่อเธอไม่ต่างจากสนามอารมณ์
ชาติที่แล้ว เสิ่นเถี่ยจวินกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของหลิวกุ้ยอิง จากนั้นก็เสียชีวิตโดยที่ไม่หลงเหลือหลักฐานใด ๆ หลายปีหลังจากนั้นหล่อนก็ตกอยู่ในสภาพต่ำต้อยและจมอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดเวลาเพราะถูกพวกเขาข่มขวัญ
พอมาชาตินี้ เสิ่นเถี่ยจวินแค่รับผิดชอบกับความผิดตัวเองโดยกล่าวคำขอโทษง่าย ๆ แล้วปล่อยให้เรื่องจบลงที่เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นผู้โชคร้าย และตัวเธอได้เพลิดเพลินไปกับความโชคดีในเมืองนี้เป็นเวลายี่สิบปี
“แม่ ฉันไม่อยากให้แม่ยอมรับการไกล่เกลี่ยกับเขาเลย”
หลิวกุ้ยอิงก็ไม่ต้องการเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตำรวจบอกว่าแพทย์ในเวลานั้นเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงพยาบาลเท่านั้นที่สามารถให้การได้ว่าวันนั้นเสิ่นเถี่ยจวินเป็นคนพาเด็กออกจากห้องคลอดจริง
ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดโดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญ มีเพียงเสิ่นเถี่ยจวินเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ชุนฟางก็เข้ามาเรียกหาเธอ โดยบอกว่ามีคนมาตามหา
หลินเซี่ยเดินออกจากฉากกั้น ก่อนเห็นเสิ่นเถี่ยจวินสวมแจ็กเก็ตยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
“เซี่ยเซี่ย” เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินเห็นหลิวกุ้ยอิงอยู่ที่นั่น เขาจึงทักทายว่า “สหายกุ้ยอิงก็อยู่ที่นี่ด้วย ผมกำลังอยากคุยกับคุณอยู่พอดี”
ขณะที่เขาพูด เขาก็มองไปในทิศทางของชุนฟาง
หลินเซี่ยจึงขอให้ชุนฟางออกไปซื้อของบางอย่างข้างนอก จากนั้นก็ปิดประตูร้าน
เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นเถี่ยจวิน หลินเซี่ยที่โกรธเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงมีสีหน้าไม่รับแขก เธอมองเสิ่นเถี่ยจวินแล้วพูดว่า “ผู้อำนวยการเสิ่นมีอะไรจะคุยกับพวกเราคะ? หรือตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอเจรจากับเรา?”
ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันครั้งล่าสุดก็คือตอนที่อยู่ในวอร์ดของเสิ่นเสี่ยวเหมย แน่นอนว่าเสิ่นเถี่ยจวินรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเช่นกัน
โดยเฉพาะเมื่อเห็นทัศนคติที่ไม่ดีของหลินเซี่ย เขาก็กระแอมไอเบา ๆ และพยายามปรับอารมณ์ ก่อนจะพูดคุยธุระสำคัญก็ไม่ลืมที่จะขอโทษหลินเซี่ยก่อนว่า “เซี่ยเซี่ย พวกเราผิดเองในเรื่องที่เสิ่นเสี่ยวเหมยหลอกทุกคนว่าตัวเองท้อง ตอนนั้นเราตำหนิเธอไปเพราะไม่รู้ความจริง ต้องขอโทษด้วยที่ฉันไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองในเวลานั้นได้ เธออย่าได้ถือโทษโกรธฉันเลย”
หลินเซี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ชีวิตนี้มีโอกาสได้ยินเสิ่นเถี่ยจวินพูดคุยกับเธออย่างอ่อนโยน เธอยิ้มและพูดว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น ปกติคุณก็มักจะตะโกนใส่ฉันและกล่าวหาฉันอย่างไม่ยุติธรรมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? เมื่อเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นเสี่ยวเหมย พวกคุณสองพ่อลูกชายไม่เคยถามฉันสักครั้งว่าอะไรถูกหรือผิด เอาแต่ดุด่าฉันฝ่ายเดียวอยู่เรื่อย ทำไมครั้งนี้คุณถึงเลือกที่จะขอโทษล่ะ? นี่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของคุณเลยจริง ๆ”
เสิ่นเถี่ยจวินขยับกรอบแว่นตาของเขาอย่างเชื่องช้า “เซี่ยเซี่ย เมื่อก่อนที่ฉันต้องเข้มงวดกับเธอ ก็เพื่อประโยชน์ของตัวเธอเอง”
หลินเซี่ยไม่อยากเห็นคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาเสแสร้งทำเหมือนตัวเองมีเหตุผลอีก เธอชิงพูดขึ้น “เกรงว่าวันนี้ที่คุณมาหาฉันคงไม่ใช่แค่มาเพื่อขอโทษเรื่องเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างเดียวแน่ มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะค่ะ ฉันยังมีลูกค้าที่ต้องต้อนรับ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนตระกูลเสิ่นนี่มันรอดจากดงบาทามาได้ไงหว่า นิสัยแย่กันทั้งตระกูลขนาดนั้น
ไหหม่า(海馬)