ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 258 รายงาน
ตอนที่ 258 รายงาน
ตอนที่ 258 รายงาน
“เขาไม่เป็นไรแล้ว ผมขอตัวก่อน จำไว้ว่าอย่าทำให้เขาได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอีก ถ้ายังเกิดเรื่องแบบนี้เป็นครั้งที่สอง จำไว้ว่าไม่ต้องมาตามผมอีกแล้ว”
หมอแผนจีนเย่เตือนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทั้งครอบครัวจึงให้คำรับรองซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทุกคนเดินออไปส่งหมอเย่ที่หน้าประตู ขอให้คนขับรถช่วยพาเขากลับไปส่งถึงที่
หลังจากส่งหมอเย่ออกไปแล้ว ทุกคนก็เข้าไปในห้องแล้วนั่งลง
เฉินเจียเหอรีบถาม “เกิดเรื่องอะไรกันแน่ครับ?”
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยความโกรธ “เหล่าเสิ่นพาเสิ่นเสี่ยวเหมยบุกมาที่บ้านเราเพื่อเอาเรื่อง จากนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยก็พูดจากระทบกระทั่งจนเจียวั่งทนไม่ไหว”
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นต้นเหตุอีกแล้ว เฉินเจียเหอก็จ้องไปที่เฉินเจียซิ่งด้วยสายตาคมกริบ “รีบไปจัดการเรื่องของตัวเองซะ อย่าปล่อยให้หล่อนมายุ่งกับเจียวั่งอีก”
“พรุ่งนี้ผมจะไปหย่าครับ”
“ฉันขอขึ้นไปดูเจียวั่งหน่อย” เฉินเจียเหอกล่าว
เฉินเจียวั่งนอนสงบอยู่บนเตียง โจวลี่หรงยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงเขาพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย
“แม่ หยุดร้องไห้เถอะ หมอเย่ทำการรักษาให้เขาแล้ว อีกไม่นานเดี๋ยวเขาก็หายดี”
เสิ่นเสี่ยวเหมยทำให้ตระกูลเฉินวุ่นวายขนาดนี้ เซี่ยไห่อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “คนในตระกูลเสิ่นนี่แย่กันทั้งบ้านเลย ทำตัวเป็นเหมือนคนป่าเถื่อนไร้การศึกษาไปได้”
เสิ่นเถี่ยจวินจงใจสับเปลี่ยนเด็กไม่พอ เสิ่นเสี่ยวเหมยยังโกหกเรื่องท้องเป็นตุเป็นตะอีก ผู้เฒ่าเสิ่นเป็นผู้ใหญ่แท้ ๆ แต่กลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว คนสายเลือดนี้ไม่มีใครเป็นคนดีสักคน
ทว่าคนเหล่านั้นกลับมีสถานะทางสังคมที่สูงส่งมาก
ถ้าโลกนี้คนชั่วยังเรืองอำนาจ แล้วคนดีจะมีที่ยืนได้อย่างไร?
โชคดีที่ก่อนหน้านี้หมอแผนจีนเย่ได้มาทำการรักษาให้กับเฉินเจียวั่งอย่างทันเวลา ทำให้ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงไปกว่านี้
ผู้เฒ่าเฉินถามเซี่ยไห่ “กิจการห้องเต้นรำของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
หลังจากได้ยินคำถามของผู้เฒ่าเฉิน เซี่ยไห่ก็แอบปาดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากหน้าผาก และตอบกลับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “ใกล้จะเปิดในเร็ว ๆ นี้แล้วครับ”
“เจียเหอกับเซี่ยเซี่ยบอกว่าเธอเป็นนักธุรกิจ ต้องแสวงหาโอกาสจากกระแสสังคมเป็นธรรมดา ฉันอาจไม่เข้าใจเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้น จำไว้ว่าอย่าหลงเดินทางผิด”
เซี่ยไห่ตอบรับอย่างรวดเร็ว “เข้าใจแล้วครับลุงเฉิน”
ผู้เฒ่าเฉินเหลือบมองเขา จากนั้นหัวร่อในลำคอแล้วเหน็บแนม “ไม่เรียกฉันว่าปู่ แต่เปลี่ยนมาเรียกลุงอีกแล้ว? ทำไมการลำดับญาติของเธอถึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลยล่ะ เจอหน้าครั้งหนึ่งเรียกอย่างหนึ่ง!”
เซี่ยไห่นั่งหลังตรง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและสุภาพต่อหน้าผู้เฒ่าเฉิน จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต่อจากนี้ไปผมจะเรียกคุณว่าลุงเฉิน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก”
เพราะตามหลักแล้วเขามีสถานะเป็นอาของหลานชายอีกฝ่าย
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ วันข้างหน้าเมื่อพวกเขามาเยี่ยมบ้านตระกูลเฉิน เขากับพ่อของเฉินเจียเหอควรมีสถานะที่ทัดเทียมกัน
ในอนาคตเขาจะต้องทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ มีความมั่นคงด้วยวัยวุฒิ
“ช่วงนี้สุขภาพร่างกายของพี่ชายเธอเป็นยังไงบ้าง? พวกเขาได้เขียนจดหมายหรือโทรมาทักทายบ้างไหม?”
เซี่ยไห่ยิ้มและตอบว่า “ลุงเฉิน ผมกำลังจะบอกข่าวดีให้คุณฟังเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของผมอยู่พอดี แม่และพี่ใหญ่ของผมกำลังจะเดินทางมาที่ไห่เฉิงในอีกไม่กี่วันนี้ครับ”
“มาไห่เฉิงเหรอ?” ผู้เฒ่าเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูประหลาดใจมาก
“ใช่ครับ เราจัดการเรื่องเอกสารขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว และจะพักอยู่ที่นี่อย่างถาวรนับจากนี้ไป”
“ถือเป็นข่าวดีจริง ๆ” ผู้เฒ่าเฉินมีความสุขมากเมื่อทราบข่าว “ถ้าพี่ชายของเธอมาถึงเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกฉันด้วย ฉันจะไปพบเขาด้วยตัวเอง”
เซี่ยไห่มีรอยยิ้มบนใบหน้า เกือบจะเปิดเผยความลับล่วงหน้าให้เขาประหลาดใจเล่นแล้ว “ไม่มีปัญหาครับ ที่จริงพี่ใหญ่และแม่ของผมก็อยากเจอคุณเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าเฉินยิ้มแก้มปริ “จริงเหรอ?”
เซี่ยไห่เหลือบมอง เฉินเจียเหอและหลินเซี่ย ใบหน้ามีความลับลมคมในอย่างรู้กัน “ใช่แล้ว พวกเขาตั้งตาคอยที่จะพบพวกคุณทุกคนเชียวล่ะครับ”
พวกเขาทั้งสองฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ของฝั่งสามีภรรยา จะไม่เจอกันได้ยังไง?
ถ้าหลินเซี่ยไม่ส่งสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้เขาพูดเรื่องไร้สาระ เขาคงจะบอกความจริงกับผู้เฒ่าเฉินตั้งแต่ตอนนี้
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง”
หลังจากอาการของเฉินเจียวั่งเริ่มคงที่แล้ว เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ก็ขอตัวกลับไปที่บ้านพักในเขตโรงงานยานยนต์
ก่อนออกเดินทาง ผู้เฒ่าเฉินไม่ลืมเตือนว่า “อย่าลืมจัดการตัวเองให้ว่างเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเหล่าเซี่ยด้วย พวกเธอทุกคนควรไป อย่าปล่อยให้เขามาตัดพ้อเอาภายหลังอีก”
“พวกเราไปแน่นอนครับคุณปู่”
เซี่ยไห่ขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ระหว่างทางเขาบอกว่าอยากกินอาหารมื้อเย็นกับทุกคน โดยจะทำกับข้าวกินเอง
หลินเซี่ยบอกให้เขาเรียกหลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงมากินด้วยกัน
หลินจินซานหาหู่จือมาด้วย แล้วไปเรียกเฉียนต้าเฉิงให้มากินข้าวมื้ออร่อยเจ้านาย
หลังหลินจินซานได้ยินว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยกระตุ้นเฉินเจียวั่งจนอาการลมชักของเขากำเริบ เขาก็โมโหและสาปแช่งไม่หยุดปาก
ในขณะที่เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอกำลังทำอาหาร หลินเซี่ยก็กระซิบบางอย่างกับหลินจินซานและเฉียนต้าเฉิง
เซี่ยไห่บอกว่าเขาจะเข้าครัวเอง แต่ฝีมือการทำอาหารกลับแย่มาก หลังจากหยิบจับวัตถุดิบอยู่นาน ปรากฏว่าเขาผัดพริกไม่ได้ด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยต้องมารับช่วงต่อจนสำเร็จ
“นายสองคนกินอาหารมื้อนี้แล้ว หลังจากนี้อย่าลืมทุ่มเททำงานให้หนักเพื่อฉัน” เซี่ยไห่มองไปที่หลินจินซานและ เฉียนต้าเฉิง แล้วให้สัญญากับพวกเขา “ตราบใดที่พวกนายทำงานหนักและไม่หยุดพัฒนาความสามารถของตัวเอง รอจนกว่าเราจะมีรายได้พอสำหรับลงทุนเปิดห้องเต้นรำสาขาอื่น ฉันจะมอบหมายให้พวกนายเป็นมือขวาบริหารงานแทนฉัน”
คำพูดของเซี่ยไห่ทำให้หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงฮึกเหิมอย่างมาก พวกเขารับปากซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อเดินตามรอยเท้าของเจ้านายให้ได้
…
วันจันทร์ เฉินเจียซิ่งมายืนรอเสิ่นเสี่ยวเหมยที่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแต่เช้า
เสิ่นเสี่ยวเหมยมาสายมาก กว่าจะถึงก็เป็นเวลาเก้าโมงครึ่ง
“หย่าก็หย่า คนอย่างฉันหรือจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ คุณมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเฉินมีฐานะดี คิดว่าคนอย่างฉันจะยอมแต่งงานกับคุณหรือไง?”
“เข้าไปหย่าให้จบ ๆ”
ในที่สุดเสิ่นเสี่ยวเหมยก็ล้มเลิกความคิดที่จะยื้อสถานภาพสมรสไว้ เมื่อคืนผู้เฒ่าเสิ่นพยายามคุยกับหล่อน ว่าในเมื่อครอบครัวเฉินยื่นคำขาดถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ควรหย่าร้างโดยดีจะดีกว่า คงเป็นเรื่องน่าอับอายกว่านี้ถ้าตระกูลเสิ่นถูกฟ้องร้องเป็นคดีความในศาล
ในสายตาของผู้เฒ่าเสิ่น เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นเสมือนเทพธิดา เขามั่นใจว่าหล่อนยังสามารถหาสามีใหม่ได้หลังจากการหย่าร้าง
หลังจากขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จสิ้น เฉินเจียซิ่งก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“เฉินเจียซิ่ง สักวันคุณจะต้องเสียใจ”
เฉินเจียซิ่งไม่ตอบสนองต่ออะไรทั้งสิ้น จากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าพยายามหลีกเลี่ยงจากเทพเจ้าแห่งโรคระบาด
เสิ่นเสี่ยวเหมยกระทืบเท้าด้วยความโกรธทันที มองตามแผ่นหลังของเฉินเจียซิ่งไป กัดฟันกรามดังกรอด “เฉินเจียซิ่ง รอวันที่ฉันเจอผู้ชายที่ดีกว่าคุณซะก่อนเถอะ คอยดูว่าฉันจะทำให้คุณอับอายขายหน้ายังไงบ้าง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยขึ้นรถโดยสาร ตรงไปที่โรงงานเพื่อกลับไปทำงานตามปกติ
หล่อนไม่ได้เข้าออฟฟิศที่โรงงานเครื่องจักรมาหลายวันแล้ว
เพื่อนร่วมงานอีกคนต้องมารับผิดชอบงานในส่วนของหล่อน เดิมทีเสิ่นเถี่ยจวินจัดแจงย้ายตำแหน่งจากแผนกการเงินไปฝึกงานเป็นผู้ช่วยพนักงานบัญชีให้หล่อน เหตุผลก็เพราะต้องการฝึกอบรมหล่อน เพื่อที่จะมอบหมายงานสำคัญให้ในอนาคต
หล่อนไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว พนักงานบัญชีที่หล่อนติดตามเรียนรู้งานก็ไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมากนัก แค่ทักทายไม่กี่คำแล้วไปทำงานของตัวเอง
เสิ่นเสี่ยวเหมยที่สมองยังคงมีความคิดกวนใจมากมายวนเวียนก็เริ่มปวดหัวเมื่อเห็นตัวเลขมากมายในรายการเดินบัญชี
โชคดีที่นั่งทำงานอยู่ไม่นานนักก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน
ขณะที่เดินลงไปกินข้าวที่โรงอาหาร หล่อนก็มักจะรู้สึกราวกับทุกคนในโรงงานกำลังชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
แต่เมื่อหันขวับมองไปก็เห็นว่าพวกเขาต่างจดจ่ออยู่กับการกิน
ทว่าทันทีที่ก้มหน้าลงแล้วกินต่อ ก็สัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมาจากข้างหลัง
พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงนินทาถึงตัวเองลอยแว่วมาไกล ๆ
มนุษย์ป้าช่างพูดในอาคารพักอาศัยของโรงงานรู้เรื่องตั้งครรภ์เท็จของหล่อนยังไม่พอ ไม่นึกเลยว่าทุกคนในโรงงานก็รู้เรื่องนี้
“ใครกล้านินทาฉันลับหลัง?!” เสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มโมโหขึ้นมา ทันทีที่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างไม่ปกติ หล่อนก็ผุดลุกขึ้นยืน และกวาดตามองไปที่พนักงานหลายคนในโรงอาหาร “ถ้าใครมันกล้านินทาฉัน ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายฉัน แล้วขอให้เขาไล่พวกคุณออก”
โรงงานเครื่องจักรแห่งนี้ ผู้อำนวยการโรงงานก็คือลูกพี่ลูกน้องของหล่อน เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่กลัวว่าตัวเองจะจัดการไม่ได้
ทันทีที่หล่อนคำราม ทุกคนก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่มีใครกระซิบกระซาบกันอีกต่อไป
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่มีอารมณ์จะกินต่อ เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากโรงอาหารไปด้วยความโกรธ
บังเอิญเหลือเกินว่าเสิ่นเถี่ยจวินและเจียงกั๋วเซิ่งกำลังเดินมาทางหล่อนพอดี
“พี่ชาย รองผู้อำนวยการเจียง”
หากแต่วันนี้ชายทั้งสองกลับมีสีหน้าไม่พอใจ รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงกวักมือพลางพูดว่า “เสี่ยวเสิ่น ตามพวกเรามาที่ห้องทำงานหน่อยสิ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็ต้องเดินตามไปตามคำสั่ง
ในห้องทำงานของเสิ่นเถี่ยจวิน นอกเหนือจากเขาแล้วยังมีผู้อำนวยการเจิ้งจากสำนักรัฐวิสาหกิจและหลิวจื้อหมิงนั่งอยู่ด้วย
“มีคนเขียนรายงานส่งมาถึงโรงงาน แถมยังติดประกาศแผ่นใหญ่ไว้ที่หน้าประตูโรงงาน เนื้อหาระบุว่าเธอประพฤติตัวขัดต่อหลักศีลธรรมอันดี ก่อปัญหาในทางที่ไม่ชอบ ก่อนหน้านี้สร้างเรื่องแสดงความเข้าใจผิดว่าแท้งลูกเพื่อใส่ร้ายผู้อื่น พฤติกรรมส่วนตัวของเธอแย่มาก แถมยังละทิ้งหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายซึ่งขัดต่อระเบียบของโรงงาน พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องงานของเธอซะใหม่”
เสิ่นเสี่ยวเหมยตกตะลึง “ว่าไงนะคะ? รายงานอะไร?”
“ดูเอาเองแล้วกัน”
รองผู้อำนวยการเจียงถ่ายเอกสารรายงานลงแผ่นกระดาษ A4 แล้วยื่นมาจ่อตรงหน้า
ในกระดาษมีแต่เนื้อหารายงานเต็มแน่นทั้งหน้า กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับหล่อนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือการตั้งครรภ์เท็จแต่สร้างละครตบตาว่าแท้ง แล้วพยายามใส่ร้ายผู้อื่น จนในที่สุดตระกูลเฉินก็ตัดสัมพันธ์โดยการหย่าร้าง
เนื้อหารายงานยังเล่าต่อไปว่าหล่อนเป็นผู้หญิงชั่วร้ายโดยสันดาน ทั้งละเลยหน้าที่ ละเลยงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ มีทัศนคติที่ย่ำแย่ต่อเพื่อนร่วมงาน ดูถูกพนักงานชั้นผู้น้อยภายในโรงงาน และมักจะดูหมิ่นพวกเขาด้วยวาจาอยู่เสมอ ฯลฯ
เสิ่นเสี่ยวเหมยนึกไปถึงคำขู่ของเฉินเจียซิ่งที่พูดกับหล่อนเมื่อวานนี้ ทันใดนั้นหล่อนก็กัดกรามกรอดจนฟันแทบหักด้วยความโกรธ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครเขียนรายงานนี้กันนะ จะใช่เจียซิ่งหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเขียนมันก็เป็นวิธีเล่นงานยัยเหมยเน่าที่เจ็บแสบดีมากค่ะ
ไหหม่า(海馬)