ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 266 พ่อบุญธรรมของเสิ่นอวี้อิ๋งคือเซี่ยไห่เหรอ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 266 พ่อบุญธรรมของเสิ่นอวี้อิ๋งคือเซี่ยไห่เหรอ
ตอนที่ 266 พ่อบุญธรรมของเสิ่นอวี้อิ๋งคือเซี่ยไห่เหรอ?
ตอนที่ 266 พ่อบุญธรรมของเสิ่นอวี้อิ๋งคือเซี่ยไห่เหรอ?
พอถึงช่วงเที่ยง เซี่ยไห่ก็กลัวว่าหลินเซี่ยจะกลับไปกินข้าวที่ร้านตัดผม เขาจึงชิงพูดกับเธอก่อนว่า “เซี่ยเซี่ย วันนี้ยังไม่ต้องกลับไปตัดผมหรอก บอกให้ชุนฟางล็อกประตูร้านแล้วออกไปกินข้าวมื้อใหญ่ด้วยกัน หลังกินเสร็จค่อยกลับมาเปิดร้านตามปกติก็ได้”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกให้ชุนฟางปิดประตูร้านก่อน แล้วให้หล่อนไปกินข้าวกับพวกเรา”
ถังหลิงเป็นแขกที่มามอบของขวัญแสดงความยินดี ดังนั้นหล่อนจึงถูกเชิญไปกินข้าวด้วยตามมารยาท
เซี่ยไห่รู้ดีว่าหลินเซี่ยไม่ชอบหน้าถังหลิง หลังจากเหตุการณ์ระหว่างเธอกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เขาเองก็เริ่มรู้สึกว่าถังหลิงคนนี้ไม่ได้เป็นผู้หญิงใสซื่ออย่างที่คิด
ทุกรอยยิ้มและทุกการเคลื่อนไหวของหล่อนบ่งบอกเจตนาทุกอย่าง
แต่ติดที่ว่าพวกเขาต่างฝ่ายต่างก็ทำธุรกิจอยู่ในละแวกเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ควรตอบแทนรอยยิ้มด้วยการทำร้าย สำหรับเรื่องของเสิ่นเสี่ยวเหมย ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้ให้คำตอบอะไร ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่าถังหลิงเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง
ระหว่างรับประทานอาหาร ถังหลิงจึงถูกจัดให้นั่งอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเฉียนต้าเฉิง
เซี่ยไห่ยืนกรานให้หลิวกุ้ยอิงนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน แต่หลิวกุ้ยอิงเหลือบมองหนุ่ม ๆ ทั้งหลายแล้วปฏิเสธอย่างสุภาพ “ฉันนั่งกับจินซานและเสี่ยวเยี่ยนได้ คุณให้ความบันเทิงกับแขกคนอื่นเถอะ”
ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นที่รู้กันแค่ภายในครอบครัว หลินเซี่ยและสมาชิกของตระกูลเซี่ยก็ยังไม่ได้เจอหน้ากัน เหตุผลสำคัญที่สุดคือหลิวกุ้ยอิงไม่ต้องการให้หลินจินซานคิดว่าหล่อนเปลี่ยนไป
“ปล่อยให้แม่นั่งตรงไหนก็ได้ตามที่ท่านสะดวกใจเถอะค่ะ ตราบใดที่ท่านเลือกแบบนั้น”
ทุกคนทยอยนั่งลงตามตำแหน่งของตัวเอง จากนั้นเซี่ยไห่ก็เริ่มขอบคุณทุกคนและดื่มอวยพร
หลังจากพูดคุยกันสักพัก เซี่ยไห่ก็กลับมานั่งร่วมโต๊ะกับสหายพี่น้องทั้งหลาย พลางทอดถอนหายใจ “สหายพี่น้อง ในที่สุดฉันก็กลับมาแล้ว จากนี้ไปเราทุกคนคงจะได้เจอหน้ากันบ่อยขึ้น”
“มา ขอพวกเราดื่มอวยพรสักแก้ว”
“ขอแสดงความยินดีกับพี่ไห่ในโอกาสเปิดธุรกิจใหม่อย่างยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ในอนาคตอย่าลืมพวกเราพี่น้องนะครับ”
เซี่ยไห่พูดว่า “เหล่าฟาง นายพูดอะไรของนาย? ฉันเคยลืมพวกนายตั้งแต่เมื่อไหร่? ดูซิว่าตอนนี้สภาพนายเป็นยังไง เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมนายถึงได้แก่ลงเหมือนคนผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแบบนี้? เจิ้งอวี่ก็อีกคน นายเพิ่งจะอายุแค่ยี่สิบกว่า กลับทำตัวเหมือนหนุ่มใหญ่หน้าตามืดมนผอมแห้ง ขืนยังเป็นแบบนี้อยู่จะหาแฟนได้ยังไง?”
ลู่เจิ้งอวี่เขินอายเล็กน้อย ได้แต่หัวเราะเจื่อน ๆ “พี่ไห่ นั่นเป็นเพราะเนื้องานที่พวกเราทำอยู่ ไม่เหมือนนายที่มีฐานะและเป็นเจ้าของธุรกิจหรอก อยากจะแต่งตัวหล่อแค่ไหนก็ทำได้”
ถังจวิ้นเฟิงเหลือบมองเซี่ยไห่แล้วพูดกับลู่เจิ้งอวี่ว่า “เจิ้งอวี่ อย่าไปฟังเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ยังหาแฟนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ? ไม่สำคัญหรอกว่าชาตินี้นายจะมีภรรยาไหม มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปร่างหน้าตาของนายหรอก ถึงยังไงวัยของนายก็ยังเป็นข้อได้เปรียบ”
“พี่ไห่มีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ลู่เจิ้งอวี่พูดพลางเหลือบมองไปทางผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
ถึงอย่างนั้นเขาก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้านั่นคือแฟนสาวของพี่ไห่จริง ๆ แล้วทำไมหล่อนถึงไปนั่งอยู่ที่โต๊ะอื่น?
เซี่ยไห่เห็นถังจวิ้นเฟิงมองตามไปด้านข้างก็ตอบเขาว่า “นายอยากหาคู่ชีวิตเอง กับผู้หญิงเขาไม่คิดจะเอานาย นั่นถือเป็นสองกรณีที่แตกต่างกัน จวิ้นเฟิง นายอย่าทำให้เจิ้งอวี่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่จนชะลอความสุขในชีวิตของเขาออกไปเลย”
ฟางจิ้นเป่าจิบเครื่องดื่มแล้วถอนหายใจ “ใช่แล้ว ให้เจิ้งอวี่รีบแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีกว่า เร็ว ๆ นี้พ่อแม่ของเขาก็เป็นกังวลไม่น้อย แถมยังพยายามแนะนำสาว ๆ หลายคนให้เจิ้งอวี่ แต่เขาเอาแต่บ่ายเบี่ยงเพราะงานยุ่ง”
ลู่เจิ้งอวี่หรี่ตาลง ใบหน้าซีดเซียวเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง
เซี่ยไห่มองหน้าเขา รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย จากนั้นก็ชักชวนเขาอย่างจริงใจ “เหล่าฟาง เจิ้งอวี่ นายก็เห็นนี่ว่าตอนนี้ห้องเต้นรำของฉันเปิดแล้ว พวกนายมีความคิดอยากจะย้ายมาทำงานที่ห้องเต้นรำของพี่ไห่ไหม?”
“พวกเราน่ะเหรอทำงานในห้องเต้นรำ? ฉันเป็นพนักงานซ่อมบำรุงรถไฟมาทั้งชีวิต ถ้าไปทำงานที่ห้องเต้นรำจะหยิบจับทำอะไรได้บ้าง?”
ฟางจิ้นเป่าปฏิเสธทันที “ฉันไม่เอาด้วยหรอก งานของฉันตอนนี้ก็ค่อนข้างมั่นคงดี ทำงานต่อไปอีกแค่สิบปีก็ถึงเวลาที่ฉันจะเกษียณแล้ว ขืนลาออกตั้งแต่ตอนนี้น่ากลัวว่าจะไม่มีเงินบำนาญอุดหนุนในบั้นปลายชีวิต ถึงตอนนั้นฉันจะเรียกร้องอะไรได้? ต่อให้มาทำงานที่นี่เมียฉันก็ไม่เห็นด้วย”
“เจิ้งอวี่ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่นายแล้ว”
เซี่ยไห่พูดอย่างจริงใจ “ฉันจะฝึกสอนงานให้นายอย่างดี นายจะมาเป็นผู้ช่วย มาขับรถให้ฉัน หรือช่วยฉันรับผิดชอบงานในส่วนอื่น ๆ ก็ได้ ทักษะแบบนี้ฝึกกันไม่ยาก ฉันจะสอนนายทีละขั้นตอน หรือนายกังวลว่าฉันจะสอนนายไม่ได้?”
ถังจวิ้นเฟิงได้ยินว่าเซี่ยไห่ต้องการฝึกงานให้กับลู่เจิ้งอวี่ เขาก็แสดงการสนับสนุนว่า “เจิ้งอวี่ ฉันคิดว่านายควรพิจารณาดูนะ ถ้านายย้ายมาทำงานในห้องเต้นรำและมีเครือข่ายทางธุรกิจที่กว้างขึ้น อีกหน่อยนายก็เจริญรอยตามเขาได้เหมือนกัน ยิ่งมีโอกาสพบปะคนเยอะยิ่งมีสิทธิ์เจอคนที่ใช่ได้ง่าย งานปัจจุบันของนายถึงแม้ว่าเงินเดือนจะไม่ได้แย่ แต่นายก็แทบไม่ได้ติดต่อกับใครเลยตลอดทั้งปี เดี๋ยววัยหนุ่มของนายจะสูญเปล่า ในเมื่อพ่อแม่เป็นธุระช่วยแนะนำให้นายรู้จักกับคู่ครอง นายก็ควรไปตามนัดให้พวกเขาสบายใจ ยิ่งอายุมากยิ่งมีเวลาปลูกฝังความสัมพันธ์น้อยลง และถ้าล่าช้าไปอีกหลายปีคงยากที่จะเจอใครตอนอายุสามสิบ”
ทันทีที่ถังจวิ้นเฟิงพูดแบบนี้ ลู่เจิ้งอวี่ก็มองไปที่เฉินเจียเหอ
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เซี่ยไห่เห็นลู่เจิ้งอวี่มองไปทางเฉินเจียเหอ ราวกับกำลังจะบอกว่าขนาดพี่เฉินยังได้เจอผู้หญิงที่เขาชอบตอนอายุสามสิบเลยไม่ใช่เหรอ?
เขาเหลือบมองเฉินเจียเหอที่กำลังแกะกุ้งและตักกับข้าวให้หลินเซี่ย พูดว่า “นายคิดว่าเขาเป็นใคร? แล้วคิดว่าตัวเองเทียบกับเขาได้เหรอ? ใครบ้างในบรรดาพวกเราที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้?”
“พี่เฉิน ขอคำแนะนำจากนายหน่อยสิ” ในบรรดาพวกเขา เฉินเจียเหอถือเป็นเสาหลักของกลุ่มทุกครั้งที่พวกเขาหาทางออกกันเองไม่ได้ ลู่เจิ้งอวี่จึงอยากได้คำแนะนำจากเฉินเจียเหอ
เฉินเจียเหอบอกว่า “นายลองกลับไปคิดทบทวนเกี่ยวกับตัวเองดู หาให้เจอว่าตัวเองกำลังไขว่คว้าอะไรกันแน่ ไม่ว่านายจะมีใจรักในงานที่ทำอยู่หรืออยากสร้างครอบครัวโดยเร็วที่สุด ก็เลือกด้านที่นายคิดว่าสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่น”
“ดูจวิ้นเฟิงสิ เขารักในอาชีพของเขาในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้นเขาจึงอดทนต่อความกดดันมากมายได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นนายต้องไปหาตัวเองให้เจอว่าต้องการอะไร”
“เจิ้งอวี่ อย่าเอาแต่ยึดโยงอยู่กับอะไรเดิม ๆ เลย นายคิดว่างานของตัวเองจะก้าวหน้าได้สักแค่ไหน? ผ่านมาตั้งหลายปีนายก็ยังเป็นช่างซ่อมบำรุงเหมือนเดิม อย่าบอกเชียวว่านายรักงานจริง ๆ? มันก็แค่อาชีพหนึ่งที่เป็นชามข้าวเหล็กช่วยให้คนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ตราบใดที่นายขยันทำงานและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ความสามารถของนายอาจมีเสถียรภาพมากกว่าชามข้าวเหล็กใบนั้นเยอะ”
เซี่ยไห่ต้องการสนับสนุนลู่เจิ้งอวี่จริง ๆ อีกฝ่ายถือเป็นน้องชายคนเล็กในหมู่พวกเขา สมัยที่เขายังอยู่ในกรมการรถไฟ เขาคือเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะสมัครเข้าร่วมกองทัพและตามพวกเขาไปสร้างทางรถไฟพร้อมกับเหล่าชายฉกรรจ์รุ่นใหญ่ เป็นอะไรที่ลำบากมาก
ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปกรมการรถไฟขึ้นใหม่และปลดประจำการเจ้าพนักงานหนึ่งกลุ่ม เนื่องจากเด็กคนนี้ไม่มีวุฒิการศึกษา เขากับเหล่าฟางจึงได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่อู่รถซ่อมบำรุงรถไฟ ช่วงแรก ๆ ก็เป็นงานที่ดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้ยิ่งทำเขายิ่งดูหม่นหมองและผอมแห้ง ทำให้คนเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
ลู่เจิ้งอวี่มาจากครอบครัวธรรมดา ๆ ตอนนี้เขาเข้าสู่วัยที่สมควรแต่งงานแล้ว การแต่งงานเร็วและมีลูกทันใช้คือความปรารถนาสูงสุดของคนเป็นพ่อแม่ แต่ถ้าเขายังขลุกตัวอยู่แต่ในอู่รถไฟ ก็คงยากที่จะได้เจอใครคนนั้น
เซี่ยไห่แสดงน้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า “น้องชาย นายยังเด็กอยู่ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล นายควรตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ต่อให้นายลาออกแล้วมาอยู่กับฉัน คิดว่าฉันจะปฏิบัติต่อนายอย่างไม่ดูดำดูดีเชียวเหรอ?”
ดูเหมือนลู่เจิ้งอวี่จะสะเทือนใจ ในที่สุดก็พยักหน้า “พี่ไห่ ไว้ผมจะกลับไปปรึกษากับพ่อแม่อีกที”
เซี่ยไห่พูดเสริม “เหมือนกับที่เจียเหอพูดนั่นแหละ นายต้องกลับไปคิดทบทวนเกี่ยวกับตัวเอง ต้องรู้ให้ได้ซะก่อนว่าตัวเองต้องการอะไร จากนั้นถึงจะไปโน้มน้าวใจคนอื่น”
เฉินเจียเหอแกะเปลือกกุ้งให้หลินเซี่ยอย่างระมัดระวัง หลินเซี่ยกินกุ้งพลางเงี่ยหูฟังการสนทนาระหว่างพวกเขาไปด้วย
พอมองไปทางลู่เจิ้งอวี่ที่มีสายตาว่างเปล่า ข้อมูลมากมายก็แวบขึ้นมาในใจของเธอ
ลู่เจิ้งอวี่เคยเป็นผู้ช่วยคนสนิทของพ่อบุญธรรมผู้ลึกลับของเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติที่แล้ว เขามักจะพาเสิ่นอวี้อิ๋งไปหาพ่อบุญธรรมของหล่อนเสมอ
ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เธออยู่กับเสิ่นอวี้อิ๋งมานานหลายปีแต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน
เสิ่นอวี้อิ๋งเองก็ปากแข็งเหมือนคีมเหล็ก ไม่เคยคายข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับอีกฝ่ายให้เธอรับรู้เลย
เป็นไปได้ไหมว่าพ่อบุญธรรมของเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติก่อนคือเซี่ยไห่?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เหอบอกตรูอยู่ของตรูดีๆ กลายมาเป็นประเด็นเรื่องหาคู่ให้ไอ้เกลอพวกนี้อีกแล้ว
ถ้าพี่ไห่เป็นพ่อบุญธรรมยัยอวี้อิ๋งจริง แล้วทั้งคู่ไปเจอกันตอนไหนล่ะ?
ไหหม่า(海馬)