ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 274 ผู้ต้องสงสัย
ตอนที่ 274 ผู้ต้องสงสัย
ตอนที่ 274 ผู้ต้องสงสัย
ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สิ
แต่เขาจะจัดฉากใส่ร้ายเพื่อพุ่งเป้ามาที่แม่เธอทำไม
บางทีเขาอาจต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อแสดงอำนาจให้เธอเสียขวัญก็ได้
ถังหลิง…
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหล่อนเพิ่งจะมาขอให้ฉันร่วมมือทางธุรกิจในตอนเที่ยง ช่วงเวลาแบบนี้ หล่อนคงไม่โง่พอที่จะรนหาที่ตายแน่
เสิ่นเสี่ยวเหมย?
เสิ่นอวี้อิ๋ง?
หลินเซี่ยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ถ้ามีคนบงการอยู่เบื้องหลังจริง ๆ แน่นอนว่าคงไม่พ้นเป็นฝีมือของคนตระกูลเสิ่น
ศัตรูที่เธอนึกออกในปัจจุบันมีแค่พวกตระกูลเสิ่นเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยหรี่ตาลงและครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เฉินเจียเหอก็ถามเบา ๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย ทำไมคุณไม่ยอมพูดอะไรเลย? มีความคิดยังไงบ้างกับเรื่องนี้?”
ตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยหลายคนเกินไป หลินเซี่ยจึงไม่ได้แสดงความคิดที่แท้จริงของเธอออกมา
“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาไม่ใช่เหรอ”
หลินเซี่ยพูดกับเซี่ยไห่ว่า “เถ้าแก่เซี่ยคะ ให้พี่ชายฉันออกไปทำธุระชั่วคราวได้ไหม ฉันอยากให้เขาไปสะกดรอยตามคนในครอบครัวของหญิงชรา ถ้ามีใครยุยงหล่อนอยู่เบื้องหลังจริง ๆ จะต้องมีเบาะแสอะไรสักอย่างแน่นอน ตราบใดคอยจับตาดูความเป็นไปของพวกเขา เราจะเจอเบาะแสได้ไม่ยาก”
เซี่ยไห่พยักหน้า “ได้ จินซาน นายกับเฉียนต้าเฉิงไปด้วยกัน อย่าลืมว่าต้องรู้จักหลบเลี่ยงสายตาคนอื่นไม่ให้ถูกจับได้”
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยไห่หยุดพวกเขา แล้วโยนกุญแจให้กับเฉียนต้าเฉิง “ตู้ในห้องของฉันมีกล้องอยู่ นายไปหยิบออกมาสะพายหน่อย แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทำเหมือนตัวเองเป็นช่างภาพ ถ้านายเห็นคนในครอบครัวยายป้าคนนั้นไปเจอกับผู้ต้องสงสัย ให้นายถ่ายรูปเขามาด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถระบุตัวเขาได้แม้ว่าจะสะกดรอยตามอย่างกระชั้นชิดก็ตาม”
“เข้าใจแล้วครับเถ้าแก่”
เฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานพากันออกไป
เนื่องจากถังจวิ้นเฟิงยังมีบางอย่างที่ต้องทำ เขาจึงกลับไปที่หน่วยของเขา โดยไม่ลืมบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สามารถมาตามหาเขาได้ทุกเมื่อ
หลินเซี่ยคอยปลอบใจหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยน
“เสี่ยวเยี่ยน อย่าเศร้าไปเลย ร้านตัดผมของฉันกำลังมีแผนจะรับสมัครเด็กฝึกงาน ช่วงนี้เธอก็อยู่กับฉันไปก่อนและเรียนรู้เคล็ดลับบางอย่างก็ได้”
“แม่ ไม่ต้องกังวลนะคะ อีกไม่นานเดี๋ยวเรื่องต่าง ๆ ก็จะคลี่คลาย”
ไม่ว่าหลินเซี่ยจะพูดอะไรก็ตาม น้ำตาของหลิวกุ้ยอิงก็ยังไหลริน
หล่อนอดเศร้าใจไม่ได้เมื่อคิดว่าพวกหล่อนสองแม่ลูกอาจจะทุ่มเทแรงกายทำงานไปเปล่า ๆ ถึงสองเดือนเต็ม และในอนาคตอาจไม่สามารถเปิดแผงขายของได้อีก
ขณะเดียวกัน เซี่ยไห่ก็รับโทรศัพท์
“เสี่ยวไห่ พวกเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย มีอะไรอยากฝากพวกเราเอาไปให้ไหม?”บราวนี่ออนไลน์
เซี่ยไห่ตอบกลับ “แม่ครับ ไม่เป็นไร พวกคุณต้องเดินทางไกลเป็นเวลานาน ดังนั้นอย่าหอบข้าวของพะรุงพะรังจนเกินไปดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นแกอยากกินอะไรจากฮ่องกงหรือเปล่าล่ะ?” แม่เซี่ยถามลูกชายด้วยรอยยิ้ม “แกน่ะติดนิสัยกินขนมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ชอบตระเวนกินของอร่อย ๆ ถ้าอยากกินอะไรให้บอก เดี๋ยวแม่จะขอให้พี่สาวช่วยออกไปซื้อมาให้”
เซี่ยไห่เตือนอย่างรอบคอบ “แม่ ผมยังไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ผมเป็นเถ้าแก่นะ มีเงินซื้อของอร่อยทุกชนิดกินตลอดทั้งวัน ถ้าแม่อยากกินอะไร ผมจะเป็นคนซื้อให้เอง และจะดูแลพวกคุณเป็นอย่างดี เอาสัมภาระจำเป็นมาก็พอแล้ว อย่างอื่นค่อยซื้อเพิ่มตอนพวกคุณมาถึงไห่เฉิง”
“จริงสิ หลานสาวชอบกินอะไรหรือเปล่า แม่จะได้ซื้อไปฝากหล่อนด้วย” แม่เซี่ยพูด “อิงจื่ออีกล่ะ หล่อนชอบอะไร? พวกเราต้องให้อะไรบางอย่างแก่พวกหล่อนนะ”
เซี่ยไห่เหลือบมองหลิวกุ้ยอิงซึ่งดวงตาบวมจากการร้องไห้ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ รอพวกคุณมาถึงไห่เฉิงก่อนค่อยว่ากัน ที่นี่มีทุกอย่าง ซื้อทีหลังก็ยังไม่สาย”
เมื่อเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ยอยู่ใกล้ ๆ ในเวลานี้ เซี่ยไห่ก็มีท่าทางกะปรี้กะเปร่าเล็กน้อย ถามแม่ของเขาว่า “แม่ พี่ใหญ่อยู่ไหน?”
“อยู่นี่แหละ” แม่เซี่ยยื่นโทรศัพท์ให้คนที่อยู่ข้าง ๆ “เสี่ยวเหลย น้องชายเขาอยากคุยกับแกน่ะ”
เซี่ยไห่ยิ้มและถามว่า “พี่ใหญ่ เราจะได้เจอกันที่ไห่เฉิงวันพรุ่งนี้แล้วนะ พี่ตั้งตารออยู่ไหม?”
“จะให้ฉันตั้งตารออะไร?” เสียงของเซี่ยเหลยนุ่มนวลและทรงพลัง ทว่าเจือริ้วเฉยชา “จู่ ๆ แม่กับเสี่ยวอวี่ก็อยากไปไห่เฉิง พวกหล่อนบอกว่าที่นั่นคือบ้านเก่าของเรา แถมยังบอกด้วยว่ามีคนมากมายที่นั่นที่อยากเจอฉัน ฉันไม่เห็นจะจำใครได้เลย”
“ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะเปิดร้านอาหาร แต่พอพวกหล่อนอยากเดินทางฉุกละหุก ร้านอาหารของฉันก็มีอันต้องเลื่อนออกไป”
เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่ของเขาอยากเปิดร้านอาหาร เซี่ยไห่ก็เหลือบมองหลิวกุ้ยอิงอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกาย แม้แต่น้ำเสียงก็ร่าเริง “พี่ใหญ่ รอให้พี่มาถึงไห่เฉิงเมื่อไหร่ ผมจะลงทุนเปิดร้านอาหารให้”
เซี่ยเหลยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันมีเงินทุนอยู่แล้ว ทำไมฉันต้องขอให้นายช่วยลงทุนด้วยล่ะ? พอไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย การเปิดร้านอาหารอาจมีความเสี่ยง ฉันตั้งใจว่าจะรอกลับมาที่ฮ่องกงกับแม่แล้วค่อยเปิดร้านอาหารอีกที”
“พี่ใหญ่ ถ้าพี่มาถึงไห่เฉิงแล้ว พี่จะไม่มีวันได้จากไปไหนอีก”
เซี่ยไห่พูดจามีลับลมคมในกับพี่ชาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “อย่าลืมแต่งตัวหล่อ ๆ ก็แล้วกัน”
เซี่ยเหลยไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระของเขา “วางสายเถอะ ฉันอยากพักผ่อน”
เซี่ยไห่วางสาย จากนั้นก็มองไปที่หลิวกุ้ยอิง
เขายิ้มและปลอบเธอ “พี่อิงจื่อ อย่ามัวแต่เศร้าไปเลย ผมว่าต่อให้แผงขายอาหารของคุณจะไม่สามารถกลับมาเปิดได้ตามปกติอีก ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเป็นร้านอาหารไปเลยล่ะ?”
“เปิดร้านอาหารเหรอ?” หลิวกุ้ยอิงเงยหน้าขึ้นมองเขา
เซี่ยไห่ยิ้มและพยักหน้า “ใช่ พี่ใหญ่ของผมก็อยากเปิดร้านอาหารเหมือนกัน รอให้เขามาที่ไห่เฉิงเมื่อไหร่ พวกคุณค่อยร่วมหุ้นกันเปิดร้านอาหารดีไหม?”
หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ พวกเขาหันมองหน้ากันและแสดงท่าทางเห็นด้วย
“แต่ว่าอาหารที่พวกเขาทำเป็นอาจไม่ใช่อาหารประเภทเดียวกันก็ได้ แล้วจะเปิดร้านอาหารด้วยกันได้ยังไง?”
เซี่ยไห่อธิบายว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนพี่ใหญ่ของฉันอยู่ในฮ่องกง เขาก็ชอบทำอาหารทางเหนือ แม้ว่าเขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว แต่เขาก็มีใจรักในการทำอาหารทางเหนือเป็นพิเศษ ไม่ค่อยคุ้นเคยกับอาหารกวางตุ้ง”
“พี่อิงจื่อ อย่าเศร้าไปเลย คิดซะว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้ หนทางอยู่ใต้เท้าของเราเอง อนาคตที่สดใสอยู่เบื้องหน้า ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น เราคงไม่มีโอกาสได้วางแผนเปิดร้านอาหาร”
ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
รู้สึกว่าหญิงชราที่ป่วยเพราะอาหารเป็นพิษคนนี้เข้ามาช่วยพี่ใหญ่ของเขาได้อย่างตรงจังหวะ
“เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ปล่อยให้ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกเราเอง”
หลินเซี่ยก็กำชับเสริมด้วยว่า “แม่ แม่กับเสี่ยวเยี่ยนกลับไปนอนก่อนเถอะ ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นทั้งนั้น”
เฉินเจียเหอกับเซี่ยไห่พาหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ ไปส่งที่บ้านเช่าในตรอก จากนั้นเซี่ยไห่ก็กลับไปที่ห้องเต้นรำ เฉินเจียเหอก็แยกย้ายกลับมาที่บ้าน
เมื่อเขากลับถึงบ้าน หลินเซี่ยยังคงนั่งอยู่บนโซฟา
“ไม่ต้องห่วงนะ เราจะสอบสวนทุกอย่างให้ชัดเจน”
ในเวลานี้ภายในบ้านมีเพียงสองคนเท่านั้น หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอ แล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น พูดตามตรง ฉันรู้สึกสงสัยว่านี่อาจเป็นฝีมือของตระกูลเสิ่น”
“เสิ่นเสี่ยวเหมย?” ความคิดแรกของเฉินเจียเหอคือผู้หญิงบ้าคนนั้น
หลินเซี่ยบอกว่า “หล่อนต้องมีแรงจูงใจแน่ เสิ่นเสี่ยวเหมยหย่ากับเฉินเจียซิ่ง เรื่องนี้คงทำให้หล่อนคับข้องใจจนแทบจะกลั้นใจตาย หล่อนคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าฉันมาตั้งแต่พวกเรายังเด็ก ตอนแรกหล่อนสร้างเรื่องท้องปลอมเพื่อให้พวกเราเลิกกัน แต่สุดท้ายหล่อนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องหย่าซะเอง โดนเหยียบย่ำขนาดนี้ คนอย่างหล่อนไม่มีทางยอมแพ้แน่”
อย่างไรก็ตาม หลินเซี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนหน้านี้ถังหลิงเป็นคนวางแผนให้เสิ่นเสี่ยวเหมย ด้วยบุคลิกของเสิ่นเสี่ยวเหมยแล้ว หล่อนไม่มีทางกล้าแทงเธอลับหลังถ้าไม่มีใครเป็นผู้ช่วยคิดกลยุทธ์ อย่างมากก็แค่มาสร้างปัญหาที่ร้านตัดผมของเธอเท่านั้น
เสิ่นอวี้อิ๋งพักอยู่ในมหาวิทยาลัย กำลังหัวหมุนอยู่กับการรับมือเจิ้งต้าหมิง ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมว่าเสิ่นอวี้อิ๋งอาจจะเป็นคนเสนอแนวคิดให้กับเสิ่นเสี่ยวเหมย?
ขณะที่เธอครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เฉินเจียเหอก็พูดขึ้นทันทีว่า “เซี่ยเซี่ย ครั้งที่แล้วผู้อำนวยการเสิ่นมาเจรจาประนีประนอมเรื่องคดีใช่ไหม?”
“ใช่ แต่พวกเราปฏิเสธ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบต่อไปตามขั้นตอน ถึงยังไงก็ยังไม่พบหลักฐานที่สำคัญ เรากลัวว่าสุดท้ายจะถูกจัดว่าเป็นความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นแม่ฉันเลยไม่ยอมรับเงินของเสิ่นเถี่ยจวิน เพราะถ้ารับไว้ ความจริงทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป แล้วเสิ่นเถี่ยจวินก็จะปราศจากข้อสงสัยโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น”
“คุณกำลังจะบอกว่า… คุณสงสัยเสิ่นเถี่ยจวิน?” การแสดงออกของหลินเซี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมองไปที่เฉินเจียเหอ
เฉินเจียเหอครุ่นคิด “ผมก็ไม่แน่ใจ ด้วยสถานะของผู้อำนวยการเสิ่นแล้ว เขาไม่ควรหันไปใช้วิธีที่น่ารังเกียจแบบนี้ แต่แม่คุณไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อน ดังนั้นผู้อำนวยการเสิ่นจึงถือเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดแล้วในตอนนี้”
หลินเซี่ยสงสัยเสิ่นอวี้อิ๋งมาโดยตลอด แต่หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของเฉินเจียเหอ เธอก็รู้แจ้งทันที
อันที่จริง เสิ่นเถี่ยจวินต้องการให้แม่ของเธอยอมความ แต่พวกเธอกลับยืนกรานที่จะดำเนินคดีเพื่อสอบสวนต่อไป
บางทีนี่อาจเป็นคำเตือนเล็กน้อยจากเสิ่นเถี่ยจวินถึงหลิวกุ้ยอิงหรือเปล่า?
เฉินเจียเหอดึงเธอเข้าไปในบ้านแล้วพูดว่า “นอนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน เราจะหาเบาะแสทุกอย่างให้ชัดเจน”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยไปโรงพยาบาล หญิงชรายังคงรับการรักษาอยู่ หมอบอกว่าหญิงชราท้องไส้ไม่ดี หลินเซี่ยจึงไปเชิญเย่ไป๋มาดูแลเคสนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะหวังว่าภายใต้ความน่าเชื่อถือของเขาจะไม่เกิดเรื่องตุกติกอะไรขึ้นในระหว่างที่มีการตรวจสุขภาพ
ปรากฏว่าหญิงชรามีอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างรุนแรงจริง แถมยังขาดน้ำอย่างรุนแรง และอ่อนแรงมาก
ตรวจเบื้องต้นพบว่าในท้องว่างเปล่า สมาชิกในครอบครัวก็ยืนกรานว่าหล่อนกินแค่เหลียงเฝิ่นอย่างเดียวตลอดทั้งวัน
เมื่ออาการของหญิงชราดีขึ้น หลินเซี่ยก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาบันทึกคำให้การ
หวังว่าจะได้รู้อะไรบางอย่างจากปากหญิงชรา
คนแก่ที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงวัยชราแบบนี้ มักจะมีมโนธรรมมากกว่าคนหนุ่มสาว ถ้าไม่มีเหตุจะไม่แบล็กเมล์คนตามอำเภอใจ
แต่พอเริ่มบันทึกคำให้การ หญิงชราก็พูดแต่คำเดิม ๆ ว่าตัวเองกินเหลียงเฝิ่นแค่อย่างเดียว พอตำรวจถามต่อ หญิงชราก็บอกว่าเวียนหัว แล้วผล็อยหลับไป
ในขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความกังวล หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงที่ไปเฝ้าติดตามสมาชิกในครอบครัวของหญิงชราทั้งวันทั้งคืน ก็มีความคืบหน้ามาแจ้งในตอนเย็น
หลินจินซานถือกล้องแล้วรีบกลับมาที่บ้าน “เซี่ยเซี่ย ลูกชายของยายป้าคนนั้นออกไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในตรอก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่เหอวิเคราะห์แม่นมาก คนบงการเป็นผู้ชาย งั้นก็เหลือแค่ไม่กี่คนแล้วล่ะที่น่าจะเข้าข่าย
ไหหม่า(海馬)