ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 282 กระชากหน้ากาก
ตอนที่ 282 กระชากหน้ากาก
ตอนที่ 282 กระชากหน้ากาก
เวลานี้ มีแขกมาร่วมฉลองวันเกิดของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ผู้เฒ่าเฉินก็มากับเฉินเจิ้นเจียงด้วย
เมื่อก่อนเฉินเจิ้นเจียงเคยเป็นนักเรียนของผู้เฒ่าเซี่ย ดังนั้นเขาจึงสละเวลาเป็นพิเศษเพื่อมาที่นี่กับพ่อผู้ชราของเขาในวันนี้ด้วย เมื่อหู่จือเห็นปู่ทวด เขาก็วิ่งเข้าไปจับมือชายชราอย่างมีความสุข
ทุกคนกล่าวคำอวยพรวันเกิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปนั่งในที่ที่จัดไว้ด้านข้าง
หลินเซี่ยกวาดสายตาไปรอบ ๆ ฝูงชน อดไม่ได้ที่จะกังวลเมื่อไม่เห็นการปรากฏตัวของเสิ่นเถี่ยจวิน
เธอถามเซี่ยหลาน “ผู้อำนวยการเสิ่นไม่มาด้วยเหรอคะ?”
เซี่ยหลานตอบกลับ “อีกสักพักเขาก็น่าจะมาถึงแล้วล่ะ”
“โอ้ อย่างนี้นี่เอง ถ้าผู้อำนวยการเสิ่นไม่มาคงออกจะไม่เหมาะสมไปสักหน่อย”
ถ้าเขาไม่มา แล้วพวกเธอจะกระชากหน้ากากใครกันล่ะ?
เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินคำเหน็บแนมอันเย่อหยิ่งของหลินเซี่ยที่ส่งเสียงดังโดยจงใจ อารมณ์ของหล่อนก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสวนกลับโดยไม่เกรงใจใด ๆ “ฉันได้ยินมาว่าแผงขายอาหารของหลิวกุ้ยอิงเกือบจะฆ่าคนตาย เธอยังมีเวลามานั่งกังวลเรื่องของคนอื่นอยู่เหรอ”
“เกิดอะไรขึ้น? แผงขายอาหารของแม่เธอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เซี่ยหลานถามหลินเซี่ย
หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ค่ะ ฉันถูกคนจัดฉากใส่ร้าย ลูกค้าก็เกือบตายจริง ๆ ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล”
เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินคำตอบของหลินเซี่ย หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะยินดี
เสิ่นอวี้อิ๋งก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
เซี่ยหลานไม่รู้ว่าจะปลอบหลินเซี่ยอย่างไรดี หล่อนจึงตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ค่อย ๆ แก้ไขกันไปนะ”
หลินเซี่ยหลับตาลง จากนั้นก็หลั่งน้ำตา “วันนี้เป็นวันเกิดของคุณตา พวกเรามาที่นี่ก็เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับเขา อย่าเพิ่งกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยค่ะ”
ทันทีที่หลินเซี่ยเล่นบทโศก เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสาแก่ใจ
หล่อนกอดอกและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจ สงสัยว่าวีรบุรุษคนไหนกันที่มีพลังมากขนาดนี้ ทำให้คนอย่างหลินเซี่ยแก้ปัญหาไม่ตกได้
หลินเซี่ยไม่พูดอะไรอีก ยังคงเฝ้ารอการปรากฏตัวของเสิ่นเถี่ยจวินต่อไป
วันนี้บรรดาแขกที่มาเฉลิมฉลองวันเกิดของผู้เฒ่าเซี่ย รวมถึงญาติ ๆ จากตระกูลเซี่ย และศิษย์เก่าของผู้เฒ่าเซี่ยอีกหลายคนยังอยู่ในงาน มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องอื้อฉาวในครอบครัวไม่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมอบช่วงเวลาให้ชายชราได้เฉลิมฉลองวันเกิดของเขาอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไว้ตอนท้ายค่อยเริ่มแผนการก็ยังไม่สาย
เซี่ยตงจ้างเชฟจากโรงแรมมาทำอาหารมื้อพิเศษ แม้เขาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านอย่างเรียบง่าย แต่อาหารที่จัดเลี้ยงก็อยู่ในระดับเดียวกับภัตตาคารหรู
ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเซี่ยพากันโค้งคำนับ แล้วเริ่มอวยพรวันเกิดให้กับอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาในลักษณะที่เป็นพิธีการ จากนั้นก็ถึงช่วงที่เขาต้องกล่าวสุนทรพจน์ บรรยากาศน่าประทับใจมาก
ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เหล่าลูกศิษย์ของเขา ซึ่งตอนนี้แต่ละคนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทุกสาขาอาชีพ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ
เสิ่นอวี้อิ๋งถือโอกาสเดินไปหาผู้เฒ่าเซี่ยท่ามกลางความสนใจของทุกคน กล่าวคำอวยพรและคำมงคลมากมาย ทำให้ชายชรายิ่งยิ้มแป้น
“เด็กน้อยเอ๊ย จงยึดมั่นในความทะเยอทะยาน ตั้งใจเรียนให้หนัก สอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ และกลายเป็นพลเมืองที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคมในอนาคตนะ”
เสิ่นอวี้อิ๋งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “คุณตา ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างดีเลยค่ะ”
“เหล่าเซี่ย.. หลานสาวของคุณทั้งสวย ฉลาด และมีความสามารถ ในอนาคตหล่อนจะต้องประสบความสำเร็จเหมือนทุกคนอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว สมแล้วที่เป็นหลานสาวของผู้เฒ่าเซี่ย แค่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าหล่อนต้องฉลาดเฉลียวมากแน่ ๆ”
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินทุกคนชื่นชมเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาก็พูดด้วยความภาคภูมิใจเช่นกันว่า “อวี้อิ๋งของฉันเป็นคนฉลาด ตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อแสวงหาอนาคตที่สดใส ไม่เหมือนใครบางคนที่โง่เขลาดักดาน ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ แถมยังไม่มีวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
เซี่ยไห่แสดงท่าทางเห็นด้วยและพูดเสียงดังโต้ตอบ “จริงครับ ถึงเสิ่นอวี้อิ๋งจะเคยเป็นเด็กบ้านนอก แต่พ่อแม่บุญธรรมของหล่อนก็ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์และไม่เห็นแก่ตัว พวกเขามอบการศึกษาให้หล่อนจนประสบความสำเร็จ แตกต่างจากหลานสาวของบางครอบครัวที่ไม่เคารพผู้อาวุโส เห็นแก่ตัว และใจร้าย มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี”
ผู้เฒ่าเสิ่น “…”
ระหว่างงานเลี้ยง เสิ่นเถี่ยจวินมาถึงงานแล้ว แต่พยายามปลีกตัวไปอยู่ไกล ๆ จงใจหลีกเลี่ยงหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเซี่ย ตลอดจนเครือญาติและมิตรสหายบางส่วนก็ทยอยจากไป
กลุ่มคนที่เหลือเป็นญาติใกล้ชิดของตระกูลเซี่ย รวมถึงตระกูลเสิ่นที่ยังไม่จากไปในทันที
ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงกำลังจะขอตัวกลับ แต่พวกเขาก็ถูกเฉินเจียเหอเรียกไว้ โดยอ้างว่าพวกเขาอยากจะนั่งคุยกับทุกคนอีกสักพัก แล้วค่อยกลับไปพร้อมกัน
เซี่ยไห่ปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็กดเบอร์โทรออก
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน จู่ ๆ ผู้หญิงผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
หล่อนรีบตรงไปหาเสิ่นเถี่ยจวิน “ผู้อำนวยการเสิ่น คุณต้องให้คำอธิบายเรื่องนี้กับพวกเรานะ”
เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินเห็นหน้าของผู้หญิงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หัวใจของเขาที่แขวนอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เต้นรัวทันที
เขามองไปที่หลินเซี่ยโดยไม่รู้ตัว
หลินเซี่ยสบตาเขาโดยไม่หนีหน้า พร้อมกับส่งยิ้มให้
ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินมืดมนลง น้ำเสียงเข้มงวดดุร้าย “คุณทำอะไรของคุณ? มาหาเรื่องผิดคนหรือไงกัน?”
ผู้หญิงคนนั้นเช็ดน้ำตา จากนั้นมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินแล้วพูดว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น ฉันเป็นภรรยาของหวังเฉียง สามีฉันทำงานอยู่ในโรงงานเครื่องจักรของคุณมาเกือบสิบปีแล้ว ฉันจะจำคนผิดได้ยังไง?”
“คุณผู้หญิง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” เซี่ยตงเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นคนนอกบุกเข้ามารบกวนงานวันเกิดของผู้เป็นพ่อ
“ฉันมีเรื่องจริง ๆ แถมยังเป็นเรื่องที่สำคัญมากด้วย ก่อนหน้านี้ฉันพยายามตามหาผู้อำนวยการเสิ่นมานานแล้ว พอสอบถามมาตลอดทางแล้วได้ยินมาว่าเขามาที่นี่ ฉันเลยรีบตามมาทันที”
ผู้หญิงคนนั้นทิ้งตัวเองลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าผู้เฒ่าเซี่ย มองดูเขาแล้วถามว่า “คุณเป็นพ่อตาของผู้อำนวยการเสิ่นใช่ไหมคะ? โปรดตัดสินใจเรื่องนี้แทนเราด้วย”
ผู้เฒ่าเซี่ยช่วยพยุงหล่อนให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นก่อนเถอะ ไหนลองบอกช้า ๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ภรรยาของหวังเฉียงพูดเสียงดังฟังชัดต่อหน้าทุกคนว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ ช่วงที่ผ่านมาผลประกอบการของโรงงานเครื่องจักรไม่ดี ทำให้พนักงานหลายคนกำลังเผชิญกับการเลิกจ้าง สามีของฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น ครอบครัวเรากังวลเรื่องนี้มาตลอด เพราะถ้าหวังเฉียงถูกเลิกจ้างเมื่อไหร่ เสาหลักของครอบครัวก็จะตกงาน รายได้ก็จะหมดไป
เมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ ๆ หลิวจื้อหมิงรองหัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานก็มาหาสามีฉัน บอกว่าตราบใดที่พวกเรายอมช่วยเขาทำธุระอย่างหนึ่ง เขาจะตัดรายชื่อสามีฉันออกจากโควตาการเลิกจ้าง และให้เขาได้ทำงานในโรงงานต่อไป”
ภรรยาของหวังเฉียงพูดต่อไปด้วยความโกรธแค้น “พวกเราหลงเชื่อทำตามคำขอของเขา ฉันให้แม่สามีซึ่งอายุแปดสิบกว่ากินผัดกุยช่ายบูดเปรี้ยว จากนั้นก็พาท่านออกไปกินเหลียงเฝิ่นที่แผงลอยของหลิวกุ้ยอิงหนึ่งชาม จากนั้นแม่สามีฉันก็ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการอาหารเป็นพิษ แผงลอยของหลิวกุ้ยอิงต้องปิดตัวลง กรมอาหารและยายึดแผงลอยของหล่อนไป คาดว่าในอนาคตจะไม่สามารถออกมาตั้งแผงได้อีก กลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันที
เพื่อรักษางานของเราไว้ เรายอมทำในสิ่งที่ผิดโดยไร้มโนธรรม แต่สุดท้ายหลิวจื้อหมิงก็ไม่ยอมทำตามสัญญา สามีฉันยังถูกเลิกจ้างเหมือนเดิม เรื่องที่แม่สามีฉันสร้างเรื่องใส่ความร้านเหลียงเฝิ่นของหลิวกุ้ยอิงก็ถูกเปิดโปงแล้วเช่นกัน เราต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองเต็มจำนวน ครอบครัวเรามีทั้งผู้สูงอายุและเด็ก ตอนนี้สามีฉันถูกควบคุมตัวเพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัยใส่ร้ายผู้อื่นโดยมิชอบ มีแนวโน้มว่าจะถูกตัดสินโทษจำคุก ผู้อำนวยการเสิ่น คุณทำลายครอบครัวฉัน คุณจะไม่รักษาคำพูดไม่ได้”
ความตื่นตระหนกฉายวาบไปทั่วใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวิน ถึงอย่างนั้นเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ภรรยาหวังเฉียง ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ต้องกังวล ผมจะเริ่มสอบสวนทันทีเมื่อผมกลับไปทำงาน”
ภรรยาของหวังเฉียงร้องไห้และโต้กลับทันควัน “คุณจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง? ฉันได้ยินหลิวจื้อหมิงบอกเองว่าเขาทำตามคำสั่งของคุณ”
ทันทีที่หล่อนพูดแบบนี้ สายตาของทุกคนก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินเป็นตาเดียว
สายตาของทุกคนทั้งซับซ้อนและเต็มไปด้วยข้อกังขา
เสิ่นเถี่ยจวินสั่งให้หลิวจื้อหมิงส่งคนไปทำลายธุรกิจของแม่หลินเซี่ยงั้นเหรอ?
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
เป็นไปได้ไหมว่าเสิ่นเถี่ยจวินโกรธแค้นและจงใจตอบโต้ เพราะหลิวกุ้ยอิงแอบสับเปลี่ยนลูกสาวของเขา?
เซี่ยหลานมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินด้วยสายตาเฉียบคม เต็มไปด้วยความสับสนและตั้งคำถามในสายตา
ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวิน “เถี่ยจวิน เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”
เสิ่นเถี่ยจวินแตะจมูกของเขาแล้วพูดว่า “พ่อครับ ไม่ใช่ฝีมือของผมจริง ๆ ผมขอตัวไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน”
ขณะที่พูดอย่างนั้นเขาก็ตั้งท่าจะหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้อำนวยการเสิ่น เดี๋ยวก่อนค่ะ”
หลินเซี่ยลุกขึ้นทันที แล้วก้าวออกไปขวางทางเขาไว้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันมากค่ะ คราวนี้หลักฐานพยานบุคคลพร้อม คนชั่วจะหลุดลอยนวลไปไหนอีก
ไหหม่า(海馬)