ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 289 วีรบุรุษผู้ต้องทนทุกข์
ตอนที่ 289 วีรบุรุษผู้ต้องทนทุกข์
เซี่ยไห่เอ่ยบอกกับตระกูลเฉินว่า “ผมบอกเรื่องนี้กับคุณแม่และพี่สาวแล้วครับ พวกหล่อนต่างปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่าความทรงจำของพี่ชายของผมก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บนั้นยังคงว่างเปล่ามาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งเขายังจำพี่สาวอิงจื่อไม่ได้ เราจึงยังไม่ได้กล่าวบอกเขาว่าเขามีลูกสาวด้วยหนึ่งคน”
ผู้เฒ่าเฉินทอดถอนหายใจด้วยความเสียใจเมื่อได้ยินว่าเซี่ยเหลยยังคงอยู่ในภาวะความจำเสื่อมมาจนถึงตอนนี้
ยี่สิบปีแล้วที่วีรบุรุษต้องทนทุกข์ทรมาน
เขากล่าวกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย เพื่อพ่อของเธอแล้วก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเขานะ เขาจะได้จำได้”
“ทราบแล้วค่ะคุณปู”
คุณย่าเฉินเอ่ยขึ้น “เมื่อไหร่ที่เจียวั่งกลับไปหาหมอแผนจีนเย่ ก็ให้ถามเขาดูว่าสามารถรักษาอาการความจำเสื่อมได้หรือไม่? จะได้ให้เขาช่วยรักษาให้”
“นั่นสิ เราสามารถปรึกษาหมอแผนจีนเย่ได้ อาจมีหนทางรักษา ตอนนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปมากกว่าเมื่อยี่สิบปีแล้วอยู่ไม่น้อย แถมเซี่ยเซี่ยและแม่ของหล่อนต่างก็อยู่ข้าง ๆ ต้องกระตุ้นฟื้นคืนความทรงจำของเซี่ยเหลยขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเฉินและคุณย่าเฉินเอาใจใส่ในเรื่องของพี่ใหญ่ของตน เซี่ยไห่พลันรู้สึกซาบซึ้ง
ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
เฉินเจียซิ่งนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ อยู่นานกว่าจะเข้าใจเรื่องราวคร่าว ๆ
เขามองไปยังหลินเซี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันมองเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
เซี่ยไห่สัมผัสได้ถึงสีหน้าราวกับเจอผีของเฉินเจียซิ่ง จึงวางมาดเตือนอย่างมีเอกลักษณ์
“เจียซิ่ง อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันจะบอกให้ว่าเซี่ยเซี่ยเป็นหลานสาวของฉันเอง ต่อไปฉันจะคอยปกป้องคุ้มครองหล่อน เวลาอยู่บ้านห้ามดูหมิ่นหล่อนเด็ดขาด”
เฉินเจียซิ่งกลอกตา “ผมไม่กล้าหรอกครับ”
“ไม่กล้านั่นแหละจะดีที่สุด” สีหน้าของเซี่ยไห่ฉายชัดถึงความเหี้ยมโหด เป็นการแสดงออกว่าหากแกรังแกหลานสาวของฉันแม้ปลายก้อย ฉันกับแกก็สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
เฉินเจียซิ่งจึงนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างๆ และตีตัวออกห่างจากเซี่ยไห่
เซี่ยไห่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ตั้งใจจะกล่าวลาและขอตัวกลับ ทว่าผู้เฒ่าเฉินพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี “กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับสิ”
เซี่ยไห่กล่าวว่า “คุณลุงเฉิน ผมไม่กินแล้วครับ ที่กินมาจากบ้านตระกูลเซี่ยจนถึงตอนนี้ยังไม่ย่อยเลย อีกทั้งผมเองยังต้องรีบกลับไปตระเตรียมบ้านให้คุณแม่และพี่ ๆ ต้องเตรียมเครื่องนอน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีก ไม่อย่างนั้นแล้วหากพี่สาวผมมาถึง แล้วเห็นว่าในบ้านไม่มีอะไรเลย ผมคงโดนตีตาย”
เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินว่าจริง ๆ แล้วมีคนที่สามารถจัดการเซี่ยไห่ได้ ชายหนุ่มก็ส่งเสียงเย็นในลำคอ พลางมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
เซี่ยไห่กำลังจะกลับ ส่วนเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยตั้งใจว่าจะโบกรถกลับ
หู่จือถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของผู้เฒ่าเฉินและไม่ยอมปล่อย
“พวกเธอไปจัดการกิจธุระของตัวเองเธอ หู่จือให้อยู่กับพวกเราที่นี่ แล้วเช้าวันจันทร์ฉันจะเอาไปส่งให้”
คุณย่าเฉินบอกว่าจะสอนเรื่องซือหม่ากวงทุบโอ่งให้หู่จือ หู่จือมีความสุขมากและเต็มใจที่จะอยู่ต่อ
เดิมทีเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยตั้งใจจะกลับไปยังเขตพักอาศัย แต่เซี่ยไห่ยืนกรานที่จะลากพวกเขาไปซื้อเครื่องนอนนอน
“เซี่ยเซี่ย เธอเป็นผู้หญิง มีความคิดอารมณ์ละเอียดอ่อน เธอช่วยเลือกหน่อยสิ คุณย่า คุณป้า และพ่อของเธอคงจะซาบซึ้งใจมากและหลับสนิทตลอดคืน หากรู้ว่าเธอเป็นคนเตรียมผู้ปูที่นอนและผ้าห่มให้พวกเขา”
เซี่ยไห่นั้นปากหวาน ทั้งยังมีวาทศิลป์ หลินเซี่ยจึงถูกวาจาหว่านล้อมให้ขึ้นรถไปด้วย
ทั้งสามคนไปยังตลาดที่ใกล้ที่สุด
“คุณตั้งใจว่าจะซื้อปุยฝ้ายไปทำผ้าห่มหรือซื้อแบบสำเร็จรูปไปเลยคะ?”
“ต้องใช้ปุยฝ้ายด้วยเหรอ?”
เฉินเจียเหอกล่าวว่า “ซื้อผ้าห่มสำเร็จรูปเถอะ อากาศอบอุ่นแล้ว ผ้าห่มผ้าฝ้ายร้อนเกินไป มีผ้าห่มสำเร็จรูปให้ซื้อด้วย เหล่าเซี่ยเองมีเงินมากมาย เลือกที่ดีที่สุดไปก็พอ”
เซี่ยไห่มองไปยังเฉินเจียเหอพลางเอ่ยหยอกล้อ “นายในฐานะลูกเขยไม่แสดงภูมิหน่อยเหรอ?”
“ฉันไม่มีเงิน” เฉินเจียเหอเปิดกระเป๋าของเขาทันทีเพื่อเป็นการพิสูจน์
เซี่ยไห่มองเขาอย่างเหยียดหยาม “ดูท่าทางตระหนี่ของนายสิ ขนาดมีเซี่ยเซี่ยของฉันอยู่ด้วย นายยังจะให้ฉันจ่ายอีกเหรอ?”
พวกเขาซื้อผ้าห่มมาสามผืน ผ้าปูที่นอนและปลอกผ้าห่มสามชุด รวมถึงหมอนและของอื่น ๆ ทำให้ท้ายรถของเซี่ยไห่ยัดไม่ลง จนต้องนำมาไว้ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังด้วย
เมื่อไปถึงบ้านที่เซี่ยไห่เช่าไว้ ก็มืดค่ำแล้ว
“มืดแล้ว เอาของเข้าไปไว้แล้วกลับกันเถอะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะให้พี่อิงจื่อมาจัดการตระเตรียมที่นอนให้”
หลินเซี่ยเอ่ยเสียงเบา “คุณเรียกใช้คุณแม่ของฉันได้คล่องปากเสียจริง”
เซี่ยไห่หัวเราะพลางเอ่ย “เซี่ยเซี่ย เธอไม่เข้าใจ ฉันอยากให้พี่อิงจื่อปรับตัวเข้ากับสถานะเมื่อก่อนของหล่อน พูดตามตรงฉันยังคงหวังว่าพี่อิงจื่อกับพี่ใหญ่ของฉันจะกลับมาสานสัมพันธ์กันได้อีกครั้ง”
เขามองไปยังหลินเซี่ยแล้วเอ่ยถาม “เธอไม่คาดหวังให้พ่อกับแม่ของเธอเป็นครอบครัวเดียวกันเหรอ?”
“ฉันคาดหวังไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรค่ะ ต้องให้เป็นไปตามความเต็มอกเต็มใจของพวกเขา รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงตามจีบคุณแม่ของฉันมานาน มาคอยอุดหนุนธุรกิจหล่อนวันละครั้ง หากแม่นิ่งเฉยไม่สนใจ ฉันจะไปทำอะไรได้?”
หลิวกุ้ยอิงนั้นดูอ่อนแอ ทว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนมีหลักการมาก ทั้งยังจริงจังเกินเหตุได้ง่าย หากเป็นเรื่องที่ตัวเองไม่เต็มใจแล้วย่อมไม่มีใครมาบังคับได้
ด้วยความรักที่หล่อนมีต่อหลินต้าฝู เกรงว่าคงไม่ง่ายที่จะยอมรับเซี่ยเหลยในทันทีทันใด
ถึงอย่างไรเซี่ยเหลยก็ยังจำหล่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่สามารถเชื่อมสัมพันธ์กับหล่อนติด
หลิวกุ้ยอิงเองยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกของหลินจินซาน
ความปรารถนาสูงสุดของหล่อนในตอนนี้คือการทำงานหาเงินเพื่อแต่งภรรยาให้หลินจินซาน
จนกว่าหลินจินซานจะแต่งงานมีครอบครัว หลิวกุ้ยอิงอาจไม่คำนึงถึงปัญหาส่วนตัวเสียด้วยซ้ำไป
เซี่ยไห่เมื่อได้ยินถ้อยคำหลินเซี่ย ก็ระเบิดออกมาโดยพลัน
“อะไรนะ? เธอกำลังจะบอกว่าพ่อของเจียงอวี่เฟยเองก็ตามจีบพี่อิงจื่ออยู่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ ขนาดเขาถึงเป็นรองผู้อำนวยการโรงงาน แม่ของฉันยังไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ หล่อนเป็นคนที่ค่อนข้างจะดื้อดึง คุณเองก็อย่าคาดหวังมากเกินไป”
เซี่ยไห่มองเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยด้วยท่าทางจริงจัง ก่อนเอ่ยว่า “พวกเธอสองคนจะต้องเข้าข้างให้ถูก อย่าได้จับคู่แบบผิด ๆ ลองคิดดูนะ พ่อแม่ของตัวเองได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอเองก็จะได้กลับบ้านอันอบอุ่น แต่หากมีพ่อเลี้ยงหรืออะไรทำนองนี้ ความขัดแย้งก็มีอยู่ร่ำไป วัน ๆ เต็มไปด้วยเรื่องไก่เตลิดหมาวิ่งพล่าน* ไหนเลยจะมีความสุขได้”
*鸡飞狗跳ไก่เตลิดหมาวิ่งพล่าน หมายถึง เรื่องอลหม่านวุ่นวาย
“รอให้คุณพ่อมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าค่ะ พวกเขาเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมมีวิธีจัดการกับปัญหาของตัวเอง พวกเราไม่สร้างปัญหาให้พวกเขาเพิ่มจะเป็นการดีกว่า” หลินเซี่ยมองไปยังเซี่ยไห่ แล้วเอ่ยอย่างมีความนัย “คุณมีความพยายามที่จะจัดการปัญหาส่วนตัวของคุณเอง หากแต่ไม่ใช่เรื่องถังหลิงหญิงต้มตุ๋นที่แต่งงานครั้งที่สองนั่น ในเมื่อคุณเรียกฉันว่าหลานสาวแล้ว ฉันก็ขอแจ้งให้คุณทราบตรงนี้เลยว่า หากคุณมีจิตใจมั่นคงไม่มากพอ ไปยอมสมคบคิดกับถังหลิง ทีหลังก็อย่าได้คิดมาบอกว่าฉันเป็นหลานสาว”
“เธอพูดอะไรกันน่ะ หล่อนไม่ใช่แบบที่ฉันชอบด้วยซ้ำ เข้าใจไหม?”
“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ?” หลินเซี่ยถาม
“ฉันชอบ…”
ทันใดนั้น เซี่ยไห่พลันตระหนักได้ว่า หลินเซี่ยกำลังใช้กลอุบายกับตน จึงปิดปากเงียบเรื่องนั้น แล้วเอ่ยว่า “หัวใจของฉันก็เหมือนสายน้ำ”
เขาเลี่ยงตอบ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “รีบไปเถอะ ฟ้ามืดแล้ว ฉันยังต้องจะไปที่ห้องเต้นรำเพื่อตรวจงานอีก”
เซี่ยไห่จะกลับไปยังห้องเต้นรำ จึงเอ่ยชวนเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยไปเต้นรำและผ่อนคลาย ทว่าทั้งสองปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน
จากนั้นสองสามีภรรยาจึงเดินทางกลับไปยังเขตพักอาศัย
ทันทีที่มาถึงลานบ้าน หวังซิ่วฟางก็มาต้อนรับพร้อมนำไก่ย่างมาให้หลินเซี่ย
หลินเซี่ยไม่ค่อยเข้าใจนัก“พี่สาวหวัง คุณกำลังทำอะไรอยู่?”
ใบหน้าของหวังซิ่วฟางเปล่งประกายราวทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิและประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข อีกทั้งน้ำเสียงของหล่อนยังมีร่องรอยความเขินอาย “วันนี้รองผู้อำนวยการเจียงนำไก่ย่างมาให้สองตัว โดยบอกว่าเขาให้หู่จือหนึ่งตัว”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้น ก็พลันสบตากับเฉินเจียเหอ ก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทางซุบซิบ “รองผู้อำนวยการเจียงมาที่บ้านเหรอคะ?”
หวังซิ่วฟางม้วนผมตัวเองอย่างเขิน ๆ แล้วเอ่ยตอบ “เดิมทีเขาเอามาให้ที่หน้าประตู แต่ฉันเห็นว่าอากาศค่อนข้างร้อน ก็เลยชวนเขามาดื่มน้ำสักแก้ว”
หวังซิ่วฟางมองไปยังหลินเซี่ยแล้วกระซิบว่า “เซี่ยเซี่ย เธอคิดว่าฉันทำเกินเลยไปหรือเปล่า เราสองคนยังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลย ฉันเกรงว่าเพื่อนบ้านจะนินทาเอา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณสองคนเองต่างมีข้อดี ต้องมีวาสนาร่วมกันแน่ คนอื่นอยากจะพูดอะไรก็ให้พูดไปเถอะ”
หลินเซี่ยใจกว้างและจริงใจ เธอเข้าใจและให้กำลังใจ หัวใจที่หนักอึ้งของหวังซิ่วฟางจึงกลับสู่สภาวะปกติในทันที “ถูกต้อง ความสุขของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หลานขู่แล้วนะพี่ไห่ ดังนั้นพี่อย่าตกหลุมพรางยัยถังขยะเชียว
พี่สาวหวังเริ่มมีลุ้นแล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)