ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 349 ไปเอาความกับหลินเซี่ย
ตอนที่ 349 ไปเอาความกับหลินเซี่ย
ตอนที่ 349 ไปเอาความกับหลินเซี่ย
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินว่าเสิ่นอวี้อิ๋งกำลังตั้งท้อง เขาก็ขอคำยืนยันจากเสิ่นเสี่ยวเหมยหลายครั้ง เสิ่นเสี่ยวเหมยยิ่งพูดเสียงดังด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจมากกว่าเจ้าของเรื่อง บอกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งยอมรับเอง ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด
ผู้เฒ่าเสิ่นตกใจมากจนพูดไม่ออก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินแล้วถามว่า “หล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เลย จะท้องป่องขึ้นมาได้ยังไง? หล่อนถูกข่มขืนหรือเปล่า? มีใครแจ้งตำรวจหรือยัง?”
เสิ่นเถี่ยจวินซึ่งมีแค่หนึ่งหัวแต่ต้องรับมือกับคนสองคนพลันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เขาพูดว่า “อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยครับ เดี๋ยวผมจะจัดการทุกอย่างเอง”
“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ”
ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินมืดมน ไม่พอใจอย่างมากกับความสอดรู้ของเสิ่นเสี่ยวเหมยที่เอาแต่เปิดปากแฉโดยไม่คำนึงว่าใครจะเสียหน้า
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เสียใจที่ไม่ได้เตือนเสิ่นอวี้อิ๋งให้ปิดบังเรื่องนี้
เขาโกรธมาก เสิ่นอวี้อิ๋งคิดว่าเรื่องพรรค์นี้เป็นเกียรติยศน่าภูมิใจหรือยังไง? ทำไมถึงเปิดปากสารภาพกับคนอื่นง่าย ๆ?
ผู้เฒ่าเสิ่นปฏิเสธที่จะออกไป พูดด้วยความโกรธว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แกยังมีหน้ามาไล่ให้พวกเรากลับไปอีกเหรอ? ยังเห็นฉันเป็นพ่อแกอยู่หรือเปล่า?”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับครอบครัวของเสิ่นเถี่ยจวิน แต่ผู้เฒ่าเสิ่นก็ถือว่าตัวเองเป็นหัวหน้าครอบครัวเสมอ ดังนั้นเขาต้องเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้
ผู้เฒ่าเสิ่นตะโกนไปที่ห้องของเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยเสียงทุ้มลึก “อวี้อิ๋ง ออกมา”
เสิ่นอวี้อิ๋งร้องไห้อย่างหนัก เดินออกมาจากห้องนอนตัวเอง
พอหล่อนถูกบังคับให้ออกมาจากห้องนอน ก็มองไปที่เสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ถ้าผู้หญิงโง่คนนี้ไม่กลายเป็นคนฉลาดในเวลาอันไม่สมควร ให้ตายอย่างไรหล่อนก็คงไม่มีความคิดริเริ่มที่จะพูดถึงเรื่องนี้
เสิ่นเสี่ยวเหมยดึงเสิ่นอวี้อิ๋งเข้ามาถามคาดคั้นด้วยความกรุ่นโกรธ “อวี้อิ๋ง บอกความจริงให้ปู่ของเธอฟังเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจะได้ไปล้างแค้นให้”
เสิ่นอวี้อิ๋งเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดอะไร
เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยังไม่หยุดเค้นถามว่าทำไม ยิ่งหล่อนถามมากเท่าไหร่เสิ่นอวี้อิ๋งก็ร้องไห้หนักขึ้น
ท้ายที่สุดเสิ่นเถี่ยจวินจึงต้องรับหน้าที่อธิบายสถานการณ์คร่าว ๆ
แน่นอนว่าพวกเขาพูดถึงแค่หลิวจื้อหมิงซึ่งทุกคนรู้ว่ากำลังคบหากับหล่อนอยู่เท่านั้น อ้างว่าชายหนุ่มหุนหันพลันแล่นเกินไป แต่ไม่ได้พูดถึงเจิ้งต้าหมิง
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถซ่อนความผิดหวังไว้ได้เมื่อมองไปที่เสิ่นอวี้อิ๋ง
เขาคิดว่าอีกฝ่ายถูกบังคับขืนใจ แต่กลับกลายเป็นว่าหล่อนสมยอมกับคนที่กำลังคบกันอยู่เอง…
ตอนแรกเสิ่นเสี่ยวเหมยอยากมีลูกแทบตาย กลับต้องฝันสลายเมื่อไม่สมหวัง ชีวิตแต่งงานยังมาพังไม่เป็นท่า
เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นแค่นักเรียนหญิงมัธยมปลาย แต่กลับท้องเพราะไปนอนกับผู้ชาย ทำไมถึงได้ใจง่ายอย่างนี้กันนะ?
ผู้เฒ่าเซินโกรธมากจนหอบหายใจแรง คิดในใจว่าครอบครัวเขาประสบแต่ความโชคร้าย
เขาเรียกร้องอย่างจริงจังให้พาหล่อนไปทำแท้ง และไม่ควรให้บุคคลภายนอกรู้เรื่องอื้อฉาวนี้
การตั้งครรภ์นอกสมรสถือเป็นการละเมิดศีลธรรมอันดี และเป็นความเสื่อมทรามทางศีลธรรมอย่างยิ่ง
ก่อนที่เขาจะเกษียณ เขาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการ ทั้งยังถือเป็นบุคคลสำคัญของไห่เฉิง
เขาต้องไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาฉุดรั้งความสง่างามเพียงเพราะคนรุ่นหลังไม่สามารถทำตามความคาดหวังของเขาได้
เสิ่นเถี่ยจวินเผชิญกับการจ้องมองที่เข้มงวดของผู้เป็นพ่อ จึงบอกอย่างไม่เต็มใจว่าเสิ่นอวี้อิ๋งมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกบางผิดปกติ เขาไม่กล้าปล่อยให้หล่อนทำแท้ง
หัวใจของผู้เฒ่าเสิ่นยิ่งดิ่งวูบ เขาคร่ำครวญแล้วเสนอให้เสิ่นอวี้อิ๋งกับหลิวจื้อหมิงแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด จากที่เขารู้จักกับหลิวจื้อหมิงมา คนคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อฟัง การแต่งงานอย่างเปิดเผยและให้กำเนิดลูกก็นับว่าเป็นมงคล เสิ่นอวี้อิ๋งอายุยี่สิบปีแล้ว ถึงวัยที่สมควรแก่การแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้
สรุปก็คือ หล่อนจะต้องไม่ให้กำเนิดลูกโดยปราศจากพ่อของเด็ก
มิฉะนั้นตระกูลเสิ่นจะตกเป็นขี้ปากให้คนเยาะเย้ยไปตลอดชีวิต
เสิ่นเถี่ยจวินบอกให้ชายชราฟังถึงการตัดสินใจของเขาและเซี่ยหลาน คือการพาหล่อนย้ายไปที่ปินเฉิงเพื่อคลอดบุตรอย่างลับ ๆ
ผู้เฒ่าเสิ่นเริ่มร้อนใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แน่นอนว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของพวกเขา ถ้าเด็กเกิดมาอย่างลับ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากลูกนอกสมรสไม่ใช่เหรอ?
เด็กคนนี้จะใช้ชีวิตในสังคมในอนาคตได้อย่างไร ถ้าเขาไม่สามารถมองเห็นแสงแห่งวันได้?
สิ่งที่เขาต้องการคือควรจัดงานแต่งงานโดยเร็วที่สุด ก่อนที่หน้าท้องของหล่อนจะเริ่มยื่นโย้จนปกปิดไม่ได้
เด็กเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลครึ่งหนึ่ง ไม่ว่ายังไงก็ถือเป็นลูกหลานของตระกูล ทำไมต้องให้เขาเกิดมาอย่างแอบซ่อน?
เสิ่นเถี่ยจวินไม่ยอมรับข้อเสนอแนะนี้ บอกว่าเขาได้ขอให้ใครสักคนหาบ้านเรียบร้อยแล้ว และจะส่งตัวเสิ่นอวี้อิ๋งไปที่นั่นในอีกสองวันข้างหน้า
ผู้เฒ่าเสิ่นไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ถามถึงขั้นว่าหลิวจื้อหมิงไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบงั้นเหรอ?
ทันทีที่คิดได้อย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นเตรียมบุกไปที่บ้านตระกูลหลิวเพื่อชำระบัญชี
เสิ่นเถี่ยจวินหยุดเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าเสิ่นไม่เข้าใจพฤติกรรมของลูกชาย ถามด้วยความโกรธว่า “ในเมื่อหลิวจื้อหมิงยินดีที่จะรับผิดชอบ ทำไมแกถึงไม่ยอมปล่อยให้เด็กมันแต่งงานกัน? ทำไมพวกแกสองคนถึงไม่รู้ว่าอะไรสมควรหรือไม่สมควร?”
ชายชราซักไซ้ถามเสิ่นเถี่ยจวิน ท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสารภาพเรื่องเจิ้งต้าหมิง
“ไม่แน่ใจว่าเด็กเป็นลูกของพ่อคนไหนเนี่ยนะ?”
คำพูดของเสิ่นเถี่ยจวินทำลายโลกทัศน์ทั้งสามของผู้เฒ่าเสิ่นที่มีต่อหลานสาวอย่างสิ้นเชิง
“อวี้อิ๋ง แกทำตัวเหลวแหลกถึงขนาดนั้นได้ยังไง?” ผู้เฒ่าเสิ่นกระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้นเสียงดัง จากนั้นก็เงื้อไม้เท้าขึ้นเพื่อทุบตีเสิ่นอวี้อิ๋ง
เสิ่นอวี้อิ๋งตกใจมากจนรีบย่อตัวไปหลบอยู่หลังเสิ่นเสี่ยวเหมย ร้องไห้สะอื้น ยอมรับความผิดพลาดที่ตัวเองก่อ
พร้อมกันนั้นยังบอกด้วยว่าทั้งหมดเป็นเพราะตัวเองไร้เดียงสาเกินไป โง่เขลาจนถูกหลอกเอาได้
เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ตกใจมากไม่แพ้กัน
ไม่คาดคิดว่าหลานสาวที่เพิ่งมาจากบ้านนอกจะกล้านอนกับผู้ชายไปเรื่อยแบบนี้
หล่อนยังไม่ได้แต่งงาน การทำพฤติกรรมแบบนั้นกับผู้ชายถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้อยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่าหล่อนยังกล้าทำกับผู้ชายถึงสองคน…
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เชื่อคำโกหกของเสิ่นอวี้อิ๋ง หล่อนบ่นอุบว่า “อวี้อิ๋ง เธอเป็นถึงลูกสาวของครอบครัวผู้อำนวยการโรงงานเชียวนะ ด้วยตำแหน่งของเธอแล้ว ใครหน้าไหนมันจะกล้าหลอกเธอไปเอาเปรียบกัน?”
ต่อให้จะถูกหลอกโดยผู้ชายคนหนึ่ง แต่คงไม่ถูกผู้ชายคนที่สองหลอกไปนอนด้วยหรอกกระมัง
ถ้าอ้างว่าพลั้งเผลอตัวโดยไม่สมัครใจ คงมีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ
ในเวลานี้ เสิ่นอวี้อิ๋งยังคงต้องการรักษาภาพลักษณ์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวเองไว้ หล่อนร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ จากนั้นก็เริ่มกล่าวหาว่าทุกอย่างเป็นเพราะหลินเซี่ย เพื่อที่จะทำลายชีวิตตน หล่อนจึงบอกที่อยู่บ้านของพวกเขากับเจิ้งต้าหมิง และยุยงให้เจิ้งต้าหมิงมาที่ไห่เฉิงเพื่อตามหาหล่อน คอยตามรบกวน ข่มขู่ และมอมเหล้าหล่อน…
ทั้งยังบอกด้วยว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของหลินเซี่ย
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับหลิวจื้อหมิง หล่อนบอกไปว่าเป็นเพราะตัวเองเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการโรงงาน หลิวจื้อหมิงจึงหลอกใช้เพราะต้องการปีนป่ายขึ้นไปโดยอาศัยพ่อของหล่อนเป็นบันได
หล่อนไม่รู้เรื่องนี้เลยตอนที่กลับมายังไห่เฉิงเป็นครั้งแรก ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะรู้ว่าตัวเองคือเบี้ยที่ถูกหลอกใช้อยู่
เสิ่นอวี้อิ๋งคร่ำครวญด้วยความเสียใจ บอกว่าตัวเองเป็นเหยื่อทั้งของคนนอกและคนในในเวลาเดียวกัน
หล่อนร้องไห้ไม่ยอมหยุด บอกว่าถ้าตัวเองกับหลินเซี่ยไม่เคยถูกสลับตัวในตอนนั้น หล่อนคงได้อาศัยอยู่ที่ไห่เฉิงอย่างสงบสุขตั้งแต่วัยเด็ก ชีวิตของหล่อนคงราบรื่นมาก และคงจะไม่มีโอกาสได้รู้จักกับหลินเซี่ย นับประสาอะไรกับการถูกรบกวนโดยคนอย่างเจิ้งต้าหมิง
ทันทีที่เสิ่นอวี้อิ๋งพูดพล่ามแบบนั้น โทสะภายในใจของเสิ่นเถี่ยจวินก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด จนรู้สึกละอายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหล่อน
ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเขา
แม้ว่าลูกสาวคนนี้ทำให้เขาผิดหวังอย่างที่สุด แต่เขาก็ไม่สามารถตำหนิหล่อนได้
ผู้เฒ่าเสิ่นก็ถอนหายใจเช่นกัน
โทสะอัดแน่นอยู่ในอกจนไม่สามารถระบายออกมาได้
เสิ่นเสี่ยวเหมยผู้ต้องหย่าร้าง ชีวิตแต่งงานล้มเหลวเพราะมีประเด็นกับหลินเซี่ย ระเบิดอารมณ์ทันทีเมื่อได้ยินว่าหลินเซี่ยเป็นคนชักนำปัญหามาสู่เสิ่นอวี้อิ๋ง “นังหลินเซี่ย นังแพศยาชั้นต่ำ มันคงคิดอยากให้บ้านเราวายวอดกันไปข้าง”
“อวี้อิ๋ง อย่าร้องไห้ไปเลย ไหน ๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายของตัวเองเถอะ ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง”
สิ่งหนึ่งที่สมาชิกตระกูลมีเหมือนกันก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขาจะไม่มีวันยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเอง
ตราบใดที่ความอัปยศของตัวเองมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็พร้อมที่จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับอีกฝ่าย
เรื่องฉาวโฉ่ทั้งสองครั้งของเสิ่นเสี่ยวเหมยและเสิ่นอวี้อิ๋งต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับหลินเซี่ยทั้งสิ้น ผู้เฒ่าเสิ่นไม่สามารถกล้ำกลืนสิ่งนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาโกรธมากจนอยากสั่งสอนบทเรียนให้เธอ
กลัวว่าถ้าพวกเขาไม่ออกหน้าจัดการกับหลินเซี่ยตั้งแต่ตอนนี้ อีกหน่อยเธออาจจะเหิมเกริมมากขึ้น และทำลายชื่อเสียงของครอบครัวพวกเขาด้วยมาตรการที่หนักข้อขึ้น
เขาแนะนำว่าตัวเองและเสิ่นเถี่ยจวินควรบุกไปหาหลินเซี่ยเพื่อเอาเรื่องเธอให้เข็ด
เสิ่นเสี่ยวเหมยยกมือเพื่อสนับสนุน เสิ่นอวี้อิ๋งจึงมองไปทางเสิ่นเถี่ยจวินอย่างอ้อนวอน โดยหวังว่าเขาจะช่วยแสวงหาความยุติธรรมให้กับหล่อน
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เสิ่นเถี่ยจวินก็รู้สึกว่าหลินเซี่ยควรได้รับการตักเตือนจริง ๆ
ดังนั้น นอกเหนือจากเสิ่นอวี้อิ๋งที่ไม่พบเจอหน้าใคร อีกสามคนก็ขึ้นรถยนต์ของผู้เฒ่าเสิ่น และตรงไปยังร้านของหลินเซี่ยเพื่อสะสางความแค้นทันที
หลินเซี่ยยุ่งอยู่กับการตกแต่งร้านใหม่ของเธอเมื่อเร็ว ๆ นี้
ร้านใหม่ของเธอจะเน้นไปที่ธุรกิจด้านการแต่งหน้าทำผม และเปิดให้เช่าชุดสำหรับเจ้าสาว
ร้านค้าเกือบจะพร้อมสำหรับการปรับปรุงใหม่ เธอตั้งใจว่าจะรอจนเซี่ยไห่ได้กลับไปตรวจสอบกิจการที่เมืองเชินเฉิง แล้วเธอจะตามไปที่นั่นเพื่อหาซื้อสินค้าเพิ่มเติมด้วย
ร้านอาหารของเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเพิ่งขนย้ายโต๊ะและเก้าอี้ที่สั่งซื้อไว้เข้ามาวันนี้ และจะเปิดให้บริการในอีกไม่กี่วัน
ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นและเสิ่นเถี่ยจวินมาถึงร้านตัดผม คนในร้านบอกว่าหลินเซี่ยขอตัวกลับบ้านก่อนเวลาเพราะมีธุระบางอย่างที่ต้องจัดการ
เมื่อสมาชิกตระกูลเสิ่นทั้งสามคนได้ยินว่าหลินเซี่ยกลับไปที่บ้านก่อนเวลาปิดร้าน พวกเขาก็ตรงไปยังอาคารพักอาศัยของโรงงานยานยนต์โดยตรง
จากนั้นพวกเขาก็เคาะประตูอย่างรุนแรง
ขระนี้ ผู้เฒ่าเฉินและคุณย่าเฉินบังเอิญอยู่ที่นี่พร้อมกับเฉินเจียเหอพอดี หลินเซี่ยต้องการตัดเสื้อสำหรับสวมใส่ในฤดูร้อนให้กับคุณย่าเฉิน จึงกำลังทำการวัดตัว
เมื่อมีคนเคาะประตู เธอก็วางสายวัดลงแล้วไปเปิดประตูให้
ทันทีที่บานประตูเปิดออก หลินเซี่ยก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของคนสามคนซึ่งอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวแบบเดียวกันที่หน้าประตู “พวกคุณมาที่นี่ทำไม?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยรู้แล้วคงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายอะ ตูอีกแล้ว อะไรๆ ก็ตู เกิดเรื่องวินาศสันตะโรอะไรขึ้นก็ให้ตูรับจบคนเดียวตลอดเลย
ไหหม่า(海馬)