ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 356 เขาฉลาดมากจริง ๆ
ตอนที่ 356 เขาฉลาดมากจริง ๆ
ตอนที่ 356 เขาฉลาดมากจริง ๆ
เมื่อเซี่ยอวี่ได้ยินว่าเจียงอวี่เฟยลงประกวดโดยใช้ชื่อแฝงในวงการ หล่อนก็ยิ้มและถามว่า “ใช่คนที่ชื่อเย่เสี่ยวอวี่หรือเปล่า?”
หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยความประหลาดใจ “อารู้ได้ยังไงคะ? อาดูเทปบันทึกการประกวดนางแบบเหมือนกันเหรอ?”
เซี่ยอวี่พยักหน้า “ฉันเห็นหล่อนแล้วล่ะ จำได้ว่าวันนั้นเธอเป็นคนแต่งหน้าให้นี่ หมายความว่าเธอแต่งหน้าให้ผู้หญิงคนนั้นจนเปลี่ยนลุคไปขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า มองเซี่ยอวี่และถามราวกับจะขอความคิดเห็น “อาคิดว่าฝีมือของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ต้องสะดุดตามากอยู่แล้ว ขอบอกเลยว่าสายตาของฉันแทบจะพุ่งตรงไปที่หล่อนคนเดียวเมื่อเห็นเดินออกมาจากหลังเวที ไม่ใช่แค่ฉันนะ ช่างแต่งหน้าในทีมเราก็มองเย่เสี่ยวอวี่ด้วยความทึ่งเหมือนกัน พวกหล่อนอยากรู้มากว่าใครคือช่างผู้เชี่ยวชาญคนนั้น”
“เซี่ยเซี่ย อีกหน่อยถ้าฉันต้องออกงานอีก ฉันจะมอบหมายหน้าที่ให้เธอช่วยทำผมนะ”
“อาพูดจริงเหรอคะ?”
“เธออยากทำหรือเปล่าล่ะ?”
“ต้องอยากทำแน่อยู่แล้วค่ะ ถือเป็นเกียรติสำหรับฉันที่จะได้เป็นสไตลิสต์ให้กับนักแสดงสาวชื่อดังอย่างคุณ”
ทั้งสองพูดคุยกันสัพเพเหระเกี่ยวกับเรื่องการแต่งหน้า หลินเซี่ยก็มีความคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาโดยรวมของเซี่ยอวี่ รู้ว่าลุคแบบไหนที่เหมาะสมกับหล่อน ซึ่งเซี่ยอวี่รับฟังด้วยความสนใจอย่างมาก และเห็นด้วยกับความคิดของเธออย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เย่ไป๋และเฉินเจียเหอซึ่งพูดคุยกันอยู่ด้านข้างเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคุยกันอย่างออกรส และในขณะที่หลินเซี่ยกำลังพูด เฉินเจียเหอก็ไม่อาจละสายตาจากเธอไปได้เลย ทำให้เย่ไป๋ไม่อยากชวนคุยขัดจังหวะเพื่อน ได้แต่นั่งเงียบ ๆ และเฝ้าดูพวกหล่อนคุยกัน
เมื่อพวกเธอคุยกันเรื่องการแต่งหน้าเสร็จแล้ว เย่ไป๋ก็หันมาถามหลินเซี่ย
“พี่สะใภ้ คุณรู้จักเจียงอวี่เฟยด้วยเหรอ?”
เมื่อเย่ไป๋ถามแบบนั้น หลินเซี่ยก็เลิกคิ้วขึ้น “คุณหมอเย่ ฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้ว ดูเหมือนว่าคุณก็รู้จักหล่อนเหมือนกันเหรอคะ?”
เย่ไป๋ตอบว่า “ผมมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งชื่อเจียงอวี่เฟย หล่อนอาศัยอยู่ในอาคารพักอาศัยบริเวณโรงงานเครื่องจักร”
“หล่อนคนนั้นเป็นลูกสาวของเจียงกั๋วเซิ่งใช่ไหมคะ?” หลินเซี่ยถามยืนยัน
“ใช่”
เย่ไป๋อธิบาย “แม่ของเจียงอวี่เฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม หลังจากที่ลูกพี่ลูกน้องผมเสียเสียชีวิตไปนานกว่าสิบปี ครอบครัวเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับหล่อนมากนัก”
“จนกระทั่งผมได้ยินคุณพูดถึงชื่อหล่อน ผมก็เลยนึกขึ้นมาได้”
หลินเซี่ยตอบ “อวี่เฟยเป็นเพื่อนสนิทของฉันเองค่ะ”
“คุณบอกว่าชื่อที่หล่อนใช้ประกวดบนเวทีคือเย่เสี่ยวอวี่?” เย่ไป๋ถามด้วยความสนใจ
“ใช่ค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย่ไป๋ก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจเลย”
“มีอะไรน่าแปลกใจ?” เฉินเจียเหอมองดูเขาและถามอย่างงุนงง
“เมื่อไม่กี่วันก่อนครอบครัวเรานั่งดูรายการทีวี พวกเขาพูดคุยกันถึงรายการประกวดนางแบบ แถมยังบอกว่ามีผู้เข้าประกวดคนหนึ่งที่หน้าตาคุ้น ๆ ผลงานบนเวทีก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว ดูเหมือนหล่อนจะใช้สกุลเย่ ตอนนั้นเรายังเดากันสนุก ๆ อยู่เลยว่าหล่อนอาจเป็นหลานสาวจากตระกูลเย่ของเรา”
หลังจากคาดเดามานาน ปรากฏว่าหล่อนเป็นลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องเขานี่เอง
หลินเซี่ยถามอย่างประหลาดใจ “ครอบครัวคุณก็ดูรายการประกวดนางแบบด้วยเหรอคะ?”
ตามที่เฉินเจียเหอเล่าให้ฟัง ตระกูลเย่ถือเป็นตระกูลผู้ดี พวกเขาเปิดใจดูรายการประเภทนี้ด้วยหรือนี่?
ดูเหมือนว่ากระแสตอบรับต่อรายการประกวดนางแบบยอดเยี่ยมพอสมควร
“แม่กับน้องสาวผมติดงอมแงมเชียวล่ะ”
หลังจากที่เย่ไป๋พูดจบ เขาก็มองไปทางเซี่ยอวี่และพูดด้วยความชื่นชมว่า “จริงสิ คุณเซี่ย แม่ผมก็เป็นแฟนคลับตัวยงของคุณเลยนะ ท่านชอบภาพยนตร์ที่คุณแสดงมาก ๆ”
ทันใดนั้นเซี่ยอวี่ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าอย่างเป็นมืออาชีพ “ขอบคุณค่ะ”
เย่ไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองหล่อนอีกครั้ง “อีกหน่อยถ้ามีโอกาส คุณช่วยถ่ายรูปกับแม่ของผมหน่อยได้ไหม ท่านคงมีความสุขมากถ้าได้เจอตัวจริงของคุณ”
“ได้ค่ะ”
เย่ไป๋นั่งนิ่งอยู่ที่นั่น ในใจนึกอยากคุยกับหล่อนต่อ แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรให้ดูไม่จงใจจนเกินไป
หลินเซี่ยซึ่งเป็นคนที่มีชีวิตอยู่มาสองช่วงชีวิตย่อมมองเจตนาของเขาออก ทันทีที่เห็นว่าเย่ไป๋ทำท่าทางอ้ำอึ้งอย่างไม่เต็มใจ ก็คาดเดาความตั้งใจของเขาได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าเขาจะคิดกับอาของเธอในฐานะแฟนหนังธรรมดา ๆ หรือมีความคิดอื่น เธอก็รู้สึกว่าควรให้กำลังใจและสนับสนุนคุณหมอเย่
หลินเซี่ยยิ้มและถามเย่ไป๋ “คุณหมอเย่ แล้วคุณเคยดูหนังที่อาฉันแสดงบ้างไหมคะ?”
เย่ไป๋ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด “ดูสิ”
เขาเพิ่งกลับไปดูย้อนหลังเมื่อสองวันที่ผ่านมา
ถึงกับลงทุนซื้อทีวีเครื่องใหม่รวมถึงเครื่องเล่นวีซีดี จากนั้นก็ไปหาแผ่นหนังตามร้านต่าง ๆ ในไห่เฉิงเป็นเวลานาน จนได้แผ่นดิสก์ภาพยนตร์ฉบับแบบเต็มเรื่อง
ถึงแม้จะเป็นสำเนาแบบละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการรับชม
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็กลัวว่าเซี่ยอวี่จะไม่เชื่อ ดังนั้นจึงเสริมว่า “คุณถ่ายทอดตัวละครออกมาได้ดีมาก”
น้ำเสียงของเย่ไป๋จริงใจ การแสดงออกของเขาก็เช่นเดียวกัน
เซี่ยอวี่มองไปที่สีหน้าของเขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
หล่อนอุทานเสียงหนึ่งและถามเขากลับว่า “จริงเหรอคะ? งั้นคุณหมอเย่ช่วยบอกฉันหน่อยสิ ว่าฉันเล่นบทบาทไหนได้ดีที่สุด”
อยากรู้ว่าเขาแค่สร้างคำโกหกมาชื่นชมหรือเปล่า
ถ้าเขาเคยดูภาพยนตร์ที่หล่อนแสดงจริง เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะจำหล่อนไม่ได้ในตอนที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านจนน้ำขังบนถนนกระเซ็นโดนหล่อน?
เย่ไป๋สบตากับเซี่ยอวี่ จากนั้นพูดอย่างจริงจัง “สำหรับผม ผมชอบบทบาทถังหว่านอวี๋ที่คุณแสดงในภาพยนตร์ยุคสาธารณรัฐมากที่สุดครับ”
เซี่ยอวี่เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น
เขาเคยดูจริง ๆ เหรอเนี่ย?
เดาว่าเขาน่าจะเพิ่งไปดูย้อนหลังเมื่อไม่นานมานี้แน่
หล่อนแก้ต่าง “แต่นั่นมันนางร้ายนะคะ”
“ต่อให้หล่อนจะเป็นนางร้ายในเรื่อง แต่หล่อนก็ไม่ได้เป็นคนนิสัยแย่อย่างนั้นตั้งแต่แรก หล่อนมีวัยเด็กที่น่าสงสาร ครอบครัวถูกฆ่าตาย จากนั้นก็ถูกสังคมบีบบังคับให้ตกอยู่ในความสิ้นหวัง เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้วิธีที่สุดโต่งเพื่อแก้แค้น ผมว่าหลักการสร้างตัวละครของหล่อนเป็นแบบมุมมองสามมิติ ส่งให้บทบาทในเรื่องเด่นอย่างสมบูรณ์แบบ ผมว่าหล่อนมีเหตุผลที่กลายเป็นคนร้ายกาจ อีกอย่างเทคนิคการแต่งหน้าก็สวยมากเหมือนกัน”
หลังจากที่เย่ไป๋พูดจบ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ
ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนเป็นคนสวยแค่ไหน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกทึ่งไม่หายกับความงดงามของหล่อนขณะที่รับชมภาพยนตร์
“ขอบคุณค่ะ”
เซี่ยอวี่อดไม่ได้ที่จะมองดูคุณหมอสุดหล่อคนนี้อีกครั้ง
พูดตามตรง หล่อนที่ผ่านการแสดงหนังและละครมาตั้งหลายเรื่องดูเหมือนว่าจะชื่นชอบบทบาทที่เย่ไป๋เพิ่งพูดถึงมากเช่นกัน
“ผมยังดูละครแนวกำลังภายในเรื่ององค์หญิงพิชิตตะวันตกที่คุณแสดงด้วยนะ”
“เหรอคะ?”
เพื่อพิสูจน์ว่าเขาได้ตามเก็บผลงานของหล่อนจริง ๆ เย่ไป๋จึงเริ่มเล่าเรื่องราวของหนังเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เขาวิเคราะห์แก่นของตัวละครแต่ละตัวอย่างละเอียดยิบ
เซี่ยอวี่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาแตกต่างไปจากเดิม “คุณมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้กำกับเหมือนกันนะคะ”
หล่อนเคยได้ยินใครหลายคนชื่นชมว่าผู้ชายคนนี้ฉลาดมาก ใครจะคิดว่าเขาฉลาดถึงขั้นวิจารณ์ความรู้สึกหลังจากดูภาพยนตร์ได้ราวกับกำลังเขียนวิทยานิพนธ์
เย่ไป๋พูดจาฉะฉานจนเซี่ยอวี่ฟังเพลิน พอเงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ถึงรู้ตัวว่าเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยไม่อยู่แล้ว
เซี่ยอวี่มองไปรอบ ๆ ลานบ้าน ปรากฏว่าไม่เห็นใครเลย จึงถามว่า “เซี่ยเซี่ยไปไหนแล้ว?”
เย่ไป๋ตอบว่า “ออกไปข้างนอกครับ”
เซี่ยอวี่ลุกขึ้นเพื่อยืนยันว่าไม่เห็นทั้งสามคนอยู่ในสนามหน้าบ้านจริง ๆ ถึงขั้นคิดไปว่าพวกเขาชิ่งหนีกลับแล้ว
หล่อนพูดไม่ออก พวกเขาจากไปโดยไม่บอกกล่าวจริงหรือนี่
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อหนุ่มคนฉลาดตรงหน้าที่วิเคราะห์ภาพยนตร์ที่หล่อนแสดงเหมือนเป็นผู้กำกับนักเล่าเรื่อง ดึงดูดความสนใจของหล่อนให้ตกอยู่ที่เขา
เซี่ยอวี่เหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งั้นคุณไม่ไปไหนเหรอ?”
น้ำเสียงของเย่ไป๋ยังคงอ่อนโยนและสุภาพ “ผมมีหน้าที่ต้อนรับผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาเป็นหลัก ในขณะที่ผู้ป่วยกำลังรับการรักษา ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากออกมารออยู่ข้างนอกเท่านั้น”
เซี่ยอวี่พ่นลมหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่งลงบนเตียงไม้ที่เอ้อร์เลิ่งประกอบ แล้วถามเย่ไป๋ด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณหมอเย่ ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของพี่ชายฉันหน่อยได้ไหมคะ? เขามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะฟื้นคืนความทรงจำได้?”
“ผมให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ การรักษาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สมาชิกในครอบครัวก็ต้องช่วยกันปลุกความทรงจำของเขาด้วย พยายามเล่าประสบการณ์สำคัญในอดีตให้เขาฟังให้มากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ ข้อเสนอแนะของผมคือให้พาพี่เซี่ยเหลยไปเยือนสถานที่ที่น่าจะมีความหมายสำหรับเขา การทำแบบนั้นน่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องสุภาพกับผมหรอกครับ พวกเรารู้จักกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว”
เซี่ยอวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา ถามว่า “คุณดูคุ้นเคยกับทุกคนจัง?”
เย่ไป๋สบสายตาคู่งามของหล่อน ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัว เขากระแอมเบา ๆ และแสร้งทำเป็นสงบ “เถ้าแก่เซี่ยกับผมรู้จักกันมาก่อนแล้ว พี่เซี่ยเหลยเองก็เป็นวีรบุรุษที่ผมชื่นชมและนับถือมาเป็นเวลานาน แม่ผมเองก็ชอบดูหนังที่คุณนำแสดงเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นผมคิดว่าระหว่างเราสองคนมีสถานการณ์รอบข้างที่เชื่อมโยงกันหลายอย่างเชียวล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความประทับใจเต็มร้อยแบบนี้ การสานสัมพันธ์ขั้นต่อไปก็ไม่น่ายากแล้วล่ะคุณหมอเย่
ไหหม่า(海馬)