ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 421 ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ
ตอนที่ 421 ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ
ตอนที่ 421 ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ
ใบหน้าเข้มขรึมของอู๋เซิงหงแสดงรอยยิ้มประหลาดใจ “เทศมณฑลซีเหอ? งั้นเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันน่ะสิ”
“เถ้าแก่อู๋ก็มาจากเทศมณฑลซีเหอเหรอคะ?”
“ใช่ บ้านเกิดผมอยู่ที่ซีเหอครับ”
เซี่ยไห่เหลือบมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าอธิบายไม่ถูก จากนั้นมองอู๋เซิ่งหง
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนหลานสาวคนโตรู้จักเรื่องส่วนตัวของเถ้าแก่อู๋คนนี้ดีอยู่แล้ว?
หลินเซี่ยแลกเปลี่ยนคำทักทายกับอู๋เซิ่งหง จากนั้นจึงสาธยายสถานภาพอันแข็งแกร่งของเซี่ยไห่ให้เขาทราบโดยละเอียด
“เถ้าแก่เซี่ยของเราเคยประจำการอยู่ในกองทัพค่ะ หลังจากนั้นเขาก็ปลดเกษียณมาซะก่อน แล้วเดินทางไปทั่วประเทศ คุณคงได้ยินที่เขาเล่าเมื่อกี้นี้แล้วว่าตัวเขาขุดทองก้อนแรกได้จากการขายอาหารทะเลในเชินเฉิง ตอนนี้อุตสาหกรรมหลักของเขามุ่งเน้นไปที่สถานบันเทิงในไห่เฉิงและเชินเฉิงเป็นหลักค่ะ เขาเปิดกิจการห้องเต้นรำและห้องร้องคาราโอเกะสองสามสาขา นับว่าเขามีความสามารถพอสมควรเลย”
หลินเซี่ยพูดต่อ “เหตุผลที่เขาเสนอให้แลกเปลี่ยนที่ดินเป็นหุ้นส่วนใหญ่ เพราะเขามีความรู้สึกผูกพันต่อสถานที่แห่งนั้นเป็นพิเศษค่ะ ถึงยังไงมันก็เคยเป็นสถานที่ที่เขาทำเงินได้เป็นที่แรก ไม่แปลกที่เขาจะลังเลไม่ยอมขาย เขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลย”
“ไว้ผมจะลองกลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เจ้าของร้านยกชามเกี๊ยวมาเสิร์ฟ อู๋เซิ่งหงก็ยื่นพริกและกระเทียมให้พวกเขาอย่างกระตือรือร้น “มาเถอะครับ มากินเกี๊ยวกันก่อน”
หลินเซี่ยตักชิมชิ้นหนึ่ง ก่อนจะชมเชยออกปาก “อร่อยมากเลยค่ะ รู้สึกเหมือนได้ชิมรสมือแม่เลยนะคะ”
คำพูดของหลินเซี่ย ทำให้อู๋เซิ่งหงรู้สึกเหมือนได้เจอสหายเก่าแก่ “ใช่ เหมือนได้ชิมรสมือแม่จริง ๆ”
เซี่ยไห่ตักเข้าปากชิมบ้างแต่ไม่รู้สึกอะไร
แม่ของเขาไม่เคยทำเกี๊ยวประเภทนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกเหมือนได้ชิมรสมือแม่
หลินเซี่ยชวนอู๋เซิ่งหงคุยเรื่องต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่วเฉลียวฉลาด อู๋เซิ่งหงถึงกับบอกว่าตอนนี้ลูกสาวของเขายังเรียนอยู่แค่ชั้นประถมศึกษา แต่เขาจะอบรมเธอให้โตขึ้นแล้วฉลาดมากไหวพริบเหมือนหลินเซี่ย
หลังจากกินข้าวเสร็จ อู๋เซิ่งหงและเซี่ยไห่ก็แลกนามบัตรให้กันและกัน ไม่ลืมบอกว่าพวกเขาจะกลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และยังสอบถามเซี่ยไห่ถึงที่ตั้งของห้องเต้นรำด้วย
ทันทีที่คนแยกย้ายกันไป เซี่ยไห่ก็หรี่ตามองหลินเซี่ยแล้วถามว่า
“ก็ไม่นี่คะ”
เซี่ยไห่ถามอย่างสงสัย “หรือเธอเคยได้ยินชื่อเขาผ่านหูจากพี่อิงจื่อมาอีกที?”
หลินเซี่ยส่ายหน้า “เปล่าค่ะ แม่ฉันไม่ได้กลับไปเทศมณฑลซีเหอหลายปีแล้ว หล่อนจะรู้จักเขาได้ยังไง”
เธอแค่มีดรรชนีทองในการทำนายอนาคตเฉย ๆ
วันนี้เธอมีโอกาสได้สนทนาอย่างใกล้ชิดกับอู๋เซิ่งหงในนามของคนธรรมดาทั่วไป ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากมาย โดยเฉพาะการแนะนำจุดแข็งของเซี่ยไห่
ถ้าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามสิ่งที่เขียนไว้ในบทสัมภาษณ์และอัตชีวประวัติของอู๋เซิ่งหงในชาติที่แล้ว หุ้นส่วนของเขาจะถอนทุนออกและแยกทางกับเขาในไม่ช้า ได้แต่หวังว่าเขาจะนึกถึงเซี่ยไห่เมื่อเขาประสบปัญหา
ไม่เพียงในเรื่องการลงทุนที่ดินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนในส่วนของเงินทุนด้วย จะเป็นการดีที่สุด
หลินเซี่ยคาดหวังอนาคตไว้เต็มเปี่ยม เธอพูดกับเซี่ยไห่อย่างตื่นเต้นว่า
“อารอง ช่วยพาฉันไปห้างสรรพสินค้าหน่อยสิคะ ที่นั่นมีร้านขายชุดแต่งงานไหม? เราไปดูชุดแต่งงานกันดีกว่า”
เหตุผลเดียวที่เธอตัดสินใจมาที่นี่ในครั้งนี้ ก็เพื่อเลือกซื้อชุดแต่งงานที่ทันสมัยและตัดเย็บในเชินเฉิง พร้อมกับซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวด้วย
ในอนาคตถ้าต้องการเปิดร้านแต่งหน้าเจ้าสาวแบบมืออาชีพ เธอต้องเลือกใช้แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคุณภาพดี และต้องซื้อชุดแต่งงานที่มีสไตล์ทันสมัยแล้วเปิดให้เช่า
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้ธุรกิจของเธอเกิดความโดดเด่นในยุคนี้ และได้รับชื่อเสียงตามมา
เซี่ยไห่ตัดบท “พักผ่อนกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยไปหาเพื่อนแล้วสอบถามเกี่ยวกับตลาดสินค้า ดูว่าฉันจะหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานตัดเย็บที่ผลิตชุดแต่งงานโดยตรงได้ไหม ถ้ารับสินค้าโดยตรงจากทางโรงงานได้ ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่ากันมาก”
หลินเซี่ยกำลังจะบอกว่าถ้าอย่างนั้นเธอจะไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแทน แต่เซี่ยไห่บังคับให้เธอกลับไปที่โรงแรมเพื่อพักผ่อน
อีกด้านหนึ่ง หลายวันที่ผ่านมาเย่เชี่ยนน้องสาวของเย่ไป๋มักจะทำตัวติดกับเจียงอวี่เฟย เจียงอวี่เฟยพูดคุยเรื่องสารพันอย่าง แต่มักจะมีชื่อหลินเซี่ยอยู่ในนั้นเสมอ หล่อนเล่าเรื่องหลินเซี่ยและทักษะการทำผมขั้นเทพของอีกฝ่ายให้เย่เชี่ยนฟังบ่อยครั้ง จนเย่เชี่ยนชักอยากรู้อยากเห็นและอยากรู้จักเธอ
จากนี้ไปทุกคนจะกลายเป็นญาติกันแล้ว ซึ่งพวกหล่อนล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงวัยเดียวกัน ดังนั้นจึงควรผูกสมัครรักใคร่เป็นเพื่อนกันเข้าไว้
เจียงอวี่เฟยบอกว่าช่วงนี้หลินเซี่ยไม่อยู่ รอให้เธอกลับมาซะก่อน ถึงค่อยแนะนำเย่เชี่ยนให้รู้จักกับหลินเซี่ย
พอนับวันแล้วเห็นว่าวันประกวดใกล้เข้ามาทุกที เจียงอวี่เฟยก็เริ่มกังวลจนนั่งไม่ติดที่ เพราะพ่อของหล่อนยังไม่ยอมผ่อนปรนท่าเดียว และเธอก็ไม่กล้ากลับบ้านด้วย
เย่เจิ้งหัวเพิ่งโทรหาเจียงกั๋วเซิ่งเมื่อคืน ขอให้เขามาคุยกันในเรื่องอนุญาตให้อวี่เฟยกลับไปร่วมรายการประกวดนางแบบตามเดิม
แต่เจียงกั๋วเซิ่งปฏิเสธ
เจียงกั๋วเซิงยังไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคในใจได้ เขาเป็นคนหัวโบราณและมีแนวคิดแบบอนุรักษนิยม คำพูดของผู้ชายลามกที่แผงขายบาร์บีคิวในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหูของเขา
เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อคิดว่าลูกสาวจะได้ขึ้นไปแต่งตัวแบบนั้นออกทีวีอีกครั้ง พลอยนึกไปถึงสายตาสกปรกนับไม่ถ้วนที่กำลังมองหล่อนอยู่หน้าจอทีวี รวมถึงคำพูดคำจาเชิงดูหมิ่น และการดูถูกเหยียดหยามทุกประเภท
เจียงอวี่เฟยกังวลมากจนกินข้าวกลางวันไม่ลง หลี่เหม่ยเฟิงและเย่เชี่ยนต้องคอยปลอบหล่อน โดยบอกว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายในไม่ช้า แต่เมื่อเห็นว่าจะถึงวันถ่ายทำรายการอยู่แล้ว ผู้เป็นพ่อก็ยังปฏิเสธที่จะปล่อยมือ หล่อนก็เริ่มไม่กล้าที่จะเข้าร่วมอย่างหุนหันพลันแล่นอีกต่อไป
หล่อนกลัวว่าพ่อจะโกรธและผิดหวังในตัวหล่อน ไม่แน่ว่าอีกหน่อยเขาคงปฏิเสธไม่ยอมรับหล่อนเป็นลูกสาวจริง ๆ
เย่เจิ้งหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ พวกเราไปที่อาคารพักอาศัยเพื่อตามหาพ่อของเธอกันเถอะ พวกเราจะคุยกับเขาเอง”
เย่เจิ้งหัวตัดสินใจว่าจะไปหาอีกฝ่ายที่อาคารพักอาศัยในโรงงานเครื่องจักรด้วยตัวเอง
วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ เขาควรจะอยู่บ้าน
เจียงอวี่เฟยพาเย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิงไปที่อาคารพักอาศัยที่โรงงานเครื่องจักรทันที
แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เจียงกั๋วเซิงไม่อยู่บ้าน
การแสดงออกของเจียงอวี่เฟยดูเศร้าหมอง หล่อนพูดอย่างเบื่อหน่าย “บางทีเขาอาจจะต้องทำงานล่วงเวลาก็ได้”
กระทั่งวันนี้ก็ยังไม่เห็นหน้าพ่อตัวเอง ทำให้หล่อนยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่
ในเมื่อพ่อของหล่อนไม่เห็นแก่หน้าตาของลูกพี่ลูกน้องฝั่งอดีตภรรยา ดังนั้นการเข้าร่วมรอบชิงชนะเลิศของหล่อนอาจตกอยู่ในทางตันจริง ๆ
หลังออกมาจากอาคารพักอาศัยในโรงงานเครื่องจักรแล้ว หลี่เหม่ยเฟิงถามเจียงอวี่เฟยว่า “ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากร้านตัดผมของหลินเซี่ยใช่ไหม?”
เจียงอวี่เฟยตอบว่า “ใช่ค่ะ เดินผ่านถนนสายนี้ไป ข้ามสี่แยก ก็จะถึงย่านการค้าที่ร้านตัดผมของหล่อนตั้งอยู่ค่ะ”
“ไหน ๆ ตอนนี้เราก็ออกมาข้างนอกทั้งที เราไปที่ร้านตัดผมของเสี่ยวหลินกันเถอะ จะได้ให้ลุงของเธอตัดผมซะใหม่”
พูดแล้วหลี่เหม่ยเฟิ่งก็มองไปยังทรงผมกระเซิงยุ่งเหยิงของเย่เจิ้งหัวด้วยความรังเกียจอย่างออกหน้าออกตา
เมื่อใดที่ชายคนนี้หมกมุ่นอยู่กับการสร้างสรรค์งานเขียนที่บ้าน มากที่สุดเขาจะไม่ยอมออกไปไหนมาไหนถึงครึ่งเดือน ไม่หวีผม โกนหนวด หรือพูดคุยกับพวกเขาด้วยซ้ำ ทำให้ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่ยอมใส่ใจดูแลตัวเอง
ตอนนี้ลูกชายพวกเขามีแฟนเป็นดาราทั้งที ต่อจากนี้ไปทั้งครอบครัวจะต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตัวเองตลอดเวลา
เจียงอวี่เฟยบอกว่า “เซี่ยเซี่ยไปทำธุระที่เชินเฉิงนะคะ”
หลี่เหม่ยเฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ในร้านไม่ได้มีช่างตัดผมคนอื่นหรอกเหรอ? ทรงผมลุงของเธอไม่จำเป็นต้องใช้เคล็ดลับพิเศษมากนักหรอก แค่ตัดให้สั้นลงก็พอ”
เย่เจิ้งหัวพยายามแย้งว่าผมของเขาไม่ได้ยาวมาก แต่หลี่เหม่ยเฟิงยืนกรานที่จะพาเขาไปตัดผมให้ได้ ดังนั้นเย่เจิ้งหัวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
ทั้งสามคนเดินกลับไปที่ร้านตัดผมอีกครั้ง
“หลังจากเราตัดผมเสร็จแล้ว ข้ามฝั่งไปกินข้าวที่ร้านพี่ใหญ่ของเซี่ยอวี่กันดีไหม?”
“ที่จริงพวกเราควรหาเวลาว่างสักวันบอกให้เย่ไป๋เชิญเซี่ยอวี่และครอบครัวของหล่อนไปกินอาหารที่โรงแรม เราควรเลี้ยงพวกเขาด้วยอาหารมื้อพิเศษเพื่อแสดงความจริงใจนะคะ”
“ได้ แล้วแต่คุณ คนกันเองเจอหน้าก็ต้องทักทายอยู่แล้ว”
ที่ร้านตัดผม อาจารย์หวังและชุนฟางกำลังยุ่งอยู่กับการตัดผมให้ลูกค้า แม้ว่าหลินเซี่ยจะไม่อยู่ แต่ก็มีลูกค้าบางคนวางใจให้ชุนฟางดัดผม ทักษะของชุนฟางพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้หล่อนสามารถทำงานทุกส่วนได้ด้วยตัวเอง
ธุรกิจร้านตัดผมยังคงเฟื่องฟูตามปกติ
ชุนฟางเห็นเจียงอวี่เฟย ก็หันไปทักทายหล่อนด้วยรอยยิ้ม เจียงอวี่เฟยบอกว่าหล่อนตั้งใจพาคุณลุงมาตัดผม แน่นอนว่าการตัดผมให้ผู้ชายถือเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์หวัง เขาจึงเป็นคนเชื้อเชิญ
“เชิญนั่งก่อนครับ อีกไม่นานก็ถึงคิวคุณแล้ว”
เมื่อก่อนตอนที่อาจารย์หวังยังทำงานอยู่ในร้านตัดผมของรัฐ เขาตัดผมให้ลูกค้าได้ไม่เกินวันละสองสามหัวเท่านั้น แต่พอเขาย้ายมาทำงานที่ร้าน ‘เริ่มใหม่อีกครั้ง’ เขาก็มีงานล้นมือในแต่ละวัน
รายได้ของพวกเขาเชื่อมโยงกับจำนวนการให้บริการตัดผม ดังนั้นเขาจึงมีทัศนคติในการบริการที่กระตือรือร้นมาก
หลินเซี่ยบอกว่าลูกค้าคือพระเจ้า
ช่างควรปฏิบัติต่อลูกค้าทุกคนด้วยบริการที่ทุ่มเทที่สุดและทักษะการทำผมที่ยอดเยี่ยม หลังจากนั้นเงินในกระเป๋าของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากที่อาจารย์หวังย้ายมาที่ร้านตัดผมของหลินเซี่ย เขาก็เปลี่ยนจากทัศนคติไม่แยแสสมัยยังถือชามข้าวเหล็กเอาไว้มั่น กลายเป็นคนขยันและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
แน่นอนว่าเงินเดือนก็ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญเช่นกัน
หลินเซี่ยบอกว่า ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป อาจารย์หวังและชุนฟางจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลร้านตัดผมสาขานี้อย่างเป็นทางการ ส่วนเธอจะไปประจำการที่สาขาใหม่ คอยฝึกสอนเด็กฝึกงานและทำงานอย่างอื่น
พอได้ติดตามหลินเซี่ย ทุกคนต่างมีแรงบันดาลใจและไฟฝัน
ขณะที่เจียงอวี่เฟยกำลังรอคิวอยู่ที่ร้านตัดผมกับเย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิง
ในร้านอาหารฝั่งตรงข้าม คุณแม่เซี่ยก็ยื่นกล่องอาหารกลางวันให้หลินจินซาน พูดอย่างจริงจังว่า “จินซาน ช่วยข้ามไปส่งข้าวให้ชุนฟางหน่อย เลยมื้อเที่ยงเข้าไปแล้ว ฉันยืนดูอยู่นาน ชุนฟางและคนอื่น ๆ ยุ่งจนไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาจากร้านตัดผมเลย เดาว่าหล่อนคงยังไม่ได้กินอะไร จากนี้ไปเธอต้องใส่ใจแม่หนูนั่นให้มากกว่านี้นะ”
“ครับ” หลินจินซานหยิบกล่องอาหารโดยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เดินข้ามไปส่งข้าวที่ร้านตัดผม
เขาเข้าไปในร้านตัดผม ยิ้มกว้างพลางพูดกับชุนฟางว่า “ชุนฟาง ฉันเห็นว่าเธองานยุ่งมาก แม่ของฉันเลยฝากอาหารมาให้ อย่าลืมหาเวลาว่างกินข้าวด้วยนะ ถ้ากินข้าวไม่ตรงเวลาเดี๋ยวจะปวดท้องเอา”
หลินจินซานกำชับกับหญิงสาวด้วยความห่วงใย เมื่อเขาหันกลับมา แล้วเห็นเจียงอวี่เฟยนั่งอยู่ตรงนั้น เขาก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “อวี่เฟยก็อยู่ที่นี่เหรอ”
ตอนนี้เมื่อเห็นหน้าเจียงอวี่เฟย เขายังคงใจเต้นแรงแบบเดียวกับตอนที่เขาได้เจอหล่อนเป็นครั้งแรก
แต่เขาไม่หลงเหลือความหลงใหลและใจสั่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะไม่มีความคิดไม่เข้าท่าเหมือนกับที่เคยเป็นในอดีตอีกต่อไป
เขานิ่งเฉยและวางตัวสงบมากขึ้น
เมื่อก่อน ทุกครั้งที่เขาเห็นเจียงอวี่เฟย เขาจะรู้สึกเหมือนตัวเองได้เจอเทพธิดาผู้เป็นรักแรก
แม้แต่การเคลื่อนไหวก็เงอะงะ
แต่ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าเจียงอวี่เฟยเป็นเหมือนดาราในทีวี ส่วนเขาเปรียบเหมือนแฟนคลับที่ทำได้แค่ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
เขาจึงไม่เฝ้าฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อวี่เฟยจะทำยังไงดีหนอ วันประกวดรอบชิงชนะเลิศก็ใกล้เข้ามา แต่พ่อก็ยังไม่เปลี่ยนทัศนคติเลย
ไหหม่า(海馬)