ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 427 พวกเธอก็แต่งงานพร้อมกันเลยสิ
ตอนที่ 427 พวกเธอก็แต่งงานพร้อมกันเลยสิ
ตอนที่ 427 พวกเธอก็แต่งงานพร้อมกันเลยสิ
หลังกลับจากสถานีตำรวจ คุณแม่เซี่ยและเซี่ยอวี่ซึ่งเพิ่งกลับบ้านหลังจากออกกองไปทำงานสองวันก็กำลังรออยู่ที่ร้านอาหารอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเหลยลงไม้ลงมือกับเสิ่นเถี่ยจวิน และขึ้นโรงพักไปหาตำรวจเพื่อแจ้งความด้วยตัวเอง และขอให้มีการรื้อคดีของหลินเซี่ยที่ถูกสลับตัวเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอีกครั้ง คุณแม่เซี่ยก็รู้สึกพอใจมาก “เสี่ยวเหลย ลูกทำได้ดีมาก นี่คือสิ่งที่เรา ควรทำมาตั้งนานแล้ว คนชั่วอย่างเสิ่นเถี่ยจวินนั่นจะต้องชดใช้ เขาก่ออาชญากรรม สมควรได้รับโทษตามกฎหมาย”
“แม่ ไม่ต้องกังวลครับ ครั้งนี้ผมไม่มีทางปล่อยมันหลุดรอดไปได้แน่”
เซี่ยเหลยมองไปที่หลิวกุ้ยอิงด้วยดวงตาอ่อนโยน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น “อิงจื่อ จากนี้ไปผมจะปกป้องคุณและลูก ๆ เป็นอย่างดี จะไม่มีใครมาทำร้ายพวกคุณได้อีก”
“ไอหยา พี่ใหญ่ คุณนี่โรแมนติกมากจริง ๆ รอให้เซี่ยเซี่ยกลับมาหลังจากซื้อชุดแต่งงานแล้ว ฉันจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแต่งงานสำหรับคุณและพี่สะใภ้โดยเร็วที่สุด”
เมื่อกล่าวถึงงานแต่งงาน ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง พูดอย่างเชื่องช้าว่า “พวกเราอายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว ไม่เห็นต้องจัดงานแต่งใหญ่โตให้มันมากพิธีเลย เธอกับหมอเย่แต่งกันเองเถอะ พวกเราจะแต่งกันง่าย ๆ แล้วใช้ชีวิตกันตามปกติ”
“พวกเธอทุกคนต้องมีงานแต่ง ถึงเวลาอันสมควรเมื่อไหร่ก็ควรแต่ง” ว่าแล้วคุณแม่เซี่ยก็มองไปที่เซี่ยอวี่ พร่ำบ่นด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกสาวคนนี้ ไหนก่อนหน้านี้ลูกบอกว่าไม่รีบร้อนที่จะแต่งงานไงล่ะ แต่กลับแอบไปเจอพ่อแม่ฝ่ายชายซะแล้ว ครอบครัวเย่ไป๋เขาก็ดูพอใจในตัวลูกมากนะ ครอบครัวเราก็เห็นตรงกันว่าเย่ไป๋เป็นคนดี เราเลยตัดสินใจว่าทั้งสองบ้านจะดองกันเร็ว ๆ นี้แหละ”
ใบหน้างดงามละเอียดอ่อนของเซี่ยอวี่พลันเกิดความตื่นตระหนก “แม่ ใครบอกแม่ว่าฉันไปที่บ้านเย่ไป๋มา?”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวยังแสร้งทำเป็นไขสือมาจนถึงตอนนี้ คุณแม่เซี่ยก็กลอกตา แล้วพูดว่า “คิดว่าตัวเองจะซ่อนจากพวกเราไว้ได้นานแค่ไหนกันล่ะ? เมื่อวานนี้พ่อแม่ของเย่ไป๋แวะมาที่ร้านอาหารของพี่ใหญ่ พวกเราเลยได้เจอกัน พูดคุยกันหลายเรื่อง ได้ข้อสรุปตรงกันตั้งมากมาย แต่เมื่อคืนลูกไปทำงานข้างนอกไม่กลับบ้าน เลยไม่มีเวลาถาม ก่อนหน้านี้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเจอกันแล้ว สองครอบครัวเห็นตรงกันว่าจะดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด รอให้เสี่ยวไห่กับเซี่ยเซี่ยกลับมา ลูกกับพี่ใหญ่ค่อยจัดงานแต่งงานพร้อมกันเลยเป็นไง”
เซี่ยอวี่ “…”
“แต่งงานอะไรกัน? อย่าพูดไปเรื่อยสิแม่”
เซี่ยอวี่ดูกังวลมากราวกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูที่น่าเกรงขาม รีบหนีหน้ากลับไปทำธุระของตัวเองทันควัน
คนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนหันมองหน้ากันทันที
เฉินเจียเหอเองก็เพิ่งรู้ว่าเย่ไป๋พาเซี่ยอวี่กลับไปที่บ้านเพื่อพบปะพ่อแม่ของเขา เขาแสดงอาการตกใจมากกว่าใคร ๆ
ตอนแรกเขาสงสัยว่าเย่ไป๋เป็นแค่ไม้กันหมาที่ได้รับมอบหมายจากเซี่ยอวี่ให้แสดงละครเพื่อรับมือกับครอบครัวของหล่อน แต่ไม่คาดคิดว่าทั้งสองจะทำเรื่องสำคัญพวกนี้กันอย่างเงียบ ๆ
คุณย่าบอกว่าจะจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขาหลังจากหลินเซี่ยและเซี่ยไห่กลับมา เฉินเจียเหอจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ
ก่อนหน้านี้งานแต่งระหว่างเขากับหลินเซี่ยนั้นออกจะเรียบง่ายและธรรมดาเกินไป เขารู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อยู่เสมอ
ยุคสมัยปัจจุบัน คนนิยมสวมชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวและถ่ายรูปพรีเวดดิ้งก่อนวันแต่งงาน
ตั้งแต่หลินเซี่ยไปเชินเฉิงเพื่อซื้อชุดแต่งงาน เฉินเจียเหอเคยบอกให้เธอเลือกชุดแต่งงานสไตล์ที่ตัวเองชอบกลับมาด้วย
เขาเริ่มอยากใส่ชุดแบบนั้นบ้าง
คงดีไม่น้อยถ้าพวกเขาได้ทำตามกระแสนิยม ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งสักสองสามภาพแล้วใส่กรอบแขวนไว้ที่บ้าน
เฉินเจียเหอเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วกดโทรหาเซี่ยไห่ เพราะต้องการคุยกับภรรยาของเขาเกี่ยวกับเรื่องชุดแต่งงาน
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ต่อสายได้ เซี่ยไห่ก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “พวกเรายังไม่ว่าง ไว้ค่อยโทรกลับหานายทีหลัง”
เฉินเจียเหอมองดูเวลา ดึกขนาดนี้ยังยุ่งอยู่กับงานแบบไหนอีก?
เขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ กดโทรไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นหลินเซี่ยที่รับสาย
“เฉินเจียเหอ พวกเรามีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบจัดการที่นี่ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะคะ”
จากนั้นเธอก็วางสายไปโดยไม่ลังเล
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหออมทุกข์เล็กน้อย ในขณะที่ฟังเสียงบี๊บทางโทรศัพท์
ขณะเดียวกัน ที่เชินเฉิง
เซี่ยไห่และหลินเซี่ยกำลังช่วยกันจัดระเบียบห้องเต้นรำใหม่
การที่เซี่ยไห่เข้าตรวจตราสาขาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อคืนนี้ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ พนักงานหลายคนในห้องเต้นรำได้รับอิสระมากเกินไป ทำให้ไร้ระเบียบวินัยในช่วงเวลาทำงาน เซี่ยไห่จัดการอบรมเรื่องวินัยพนักงานไปเมื่อเช้า หลินเซี่ยจึงแนะนำให้เขาตรวจสอบบัญชีเพิ่มเติม
เซี่ยไห่และหลินเซี่ยบุกห้องทำงานฝ่ายการเงิน รื้อค้นสมุดบัญชีตลอดทั้งช่วงบ่าย ปรากฏว่าพบปัญหาจริง ๆ เจ้าอ้วนผู้รับผิดชอบฝ่ายจัดซื้อเครื่องดื่ม สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายการเงินและออกใบสั่งซื้อปลอมเป็นจำนวนมาก
เจ้าอ้วนเข้ามาทำงานกับเซี่ยไห่ตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดห้องเต้นรำเป็นครั้งแรก ถือเป็นคนที่เขาไว้วางใจอย่างมาก
ไม่คาดคิดมาก่อนเลย เขาจากไปเพียงไม่กี่เดือนก่อนเท่านั้น เขาก็เริ่มกระทำการทุจริต รับเงินใต้โต๊ะ และจัดทำบัญชีเท็จ
เซี่ยไห่ตัดไฟแต่ต้นลมอย่างรวดเร็ว ไล่เจ้าอ้วนและผู้จัดการฝ่ายการเงินออกโดยตรง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มไม่ไว้วางใจคนอื่นด้วย
เขาต่อสายโทรหาเฉียนต้าเฉิงโดยตรง บอกให้เฉียนต้าเฉิงซื้อตั๋วรถไฟแล้วเดินทางมาถึงพรุ่งนี้ภายในวันนี้ รับหน้าที่ดูแลกิจการในเชินเฉิงเป็นการชั่วคราว
เมื่อไหร่ก็ตามเซี่ยไห่มีงานยุ่ง เขาจะเต็มไปด้วยพลังและเปี่ยมความน่าเกรงขามตามแบบฉบับของนักธุรกิจ แตกต่างจากอารองที่มีอารมณ์ขันและเป็นกันเองโดยสิ้นเชิง
พวกเขาไม่ได้กินข้าวเลยตลอดทั้งวัน หลังจากตรวจสอบบัญชีและตักเตือนพนักงานเรียบร้อยแล้ว เขาก็วางแผนที่จะพาหลินเซี่ยออกไปหาอะไรกิน
หลินเซี่ยกินแค่ขนมที่เซี่ยไห่ซื้อมาตอนบ่ายรองท้อง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงหิวจนไส้กิ่ว
หลังจากเสร็จงานในห้องเต้นรำ หลินเซี่ยก็นึกขึ้นได้ว่าอู๋เซิ่งหงยังไม่ได้ติดต่อเซี่ยไห่กลับมาแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคิดเห็นอย่างไรกับข้อเสนอลงทุนในที่ดิน
หลินเซี่ยเดินตามเซี่ยไห่ลงไปชั้นล่าง พูดอย่างเป็นกังวลกับเซี่ยไห่ “ทำไมจนป่านนี้แล้วอู๋เซิ่งหงยังไม่ติดต่อเรามาอีกล่ะคะ? ลองเช็กโทรศัพท์มือถือดูซิ มีสายที่ไม่ได้รับโทรเข้ามาบ้างไหม?”
เซี่ยไห่มองดูหญิงสาวที่มีสีหน้าจริงจังแล้วปลอบว่า “เธอน่ะยังเด็กเกินไป ผู้ชายคนนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมตกลงแลกที่ดินเป็นหุ้นส่วน แต่ภายในไม่กี่วันเขาจะติดต่อมากระตุ้นให้ฉันลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินแน่”
หลินเซี่ยยังไม่ยอมแพ้ “รอต่อไปอีกหน่อยเถอะ”
ทั้งสองลงไปชั้นล่างไปยังโซนสถานบันเทิง พนักงานที่ยุ่งอยู่กับงานของตัวเองเห็นเซี่ยไห่ จึงพากันโค้งคำนับและทักทายด้วยความเคารพ
ทันทีที่เจ้านายมาถึง เขาก็ไล่พนักงานเก่าแก่สองคนออกทันทีและสำรวจตรวจตราอยู่ในห้องทำงานตลอดทั้งคืน ไม่แปลกที่พนักงานทุกคนจะรู้สึกหวาดกลัว
ในที่สุดเซี่ยไห่ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่าธุรกิจของห้องเต้นรำยังคงเป็นไปด้วยดี กลางฟลอร์เต้นรำเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่ออกมาปลดปล่อยผ่านการเต้นกันอย่างกระตือรือร้น
ขณะที่เซี่ยไห่ตรวจสอบงานส่วนอื่น หลินเซี่ยก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ คนหนุ่มสาวในเมืองเชินเฉิงทันสมัยมาก พวกเขากล้าแต่งตัวกันอย่างอิสระ เต้นออกฝีเท้าอย่างช่ำชอง ทุกคนดูคึกคักกันมาก ๆ
ต่างจากสาขาในไห่เฉิง ฟลอร์ห้องเต้นรำจะเน้นไปที่การโยกย้ายส่ายสะโพกเบา ๆ จังหวะดนตรีจึงมีความผ่อนคลายมากกว่า
หลินเซี่ยเฝ้าดูคนหนุ่มสาวที่บิดเอวเลื้อยไปมาและเต้นรำจังหวะดิสโก้ด้วยความตื่นตา แม้ว่าพวกเขาจะส่งเสียงดังไปหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนสนุกสนานกันสุดเหวี่ยงจริง ๆ แม้แต่เธอยังอยากเข้าไปร่วมวงเลย
ทันใดนั้น ภายใต้แสงไฟสลัวที่กะพริบไปมา หางตาของเธอก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคยมากนั่งอยู่ตรงโซฟาด้านหนึ่ง
หลินเซี่ยปิดหูเพื่อลดเสียงรบกวน ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว พอแสงไฟกะพริบอีกครั้ง เธอถึงมองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นใครที่นั่งอยู่ตรงนั้น
เธอตื่นเต้นมาก รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เซี่ยไห่เดินเข้ามาหาเพื่อดึงเธอออกไปจากห้องเต้นรำ แต่หลินเซี่ยกลับหยุดเขา ก่อนจะชี้ไปทางบูธที่นั่งดังกล่าว
“อารอง อู๋เซิ่งหงอยู่ตรงนั้นล่ะ”
เซี่ยไห่มองตามสายตาของหลินเซี่ยไปยังจุดนั้น
อู๋เซิงหงยังคงสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับเมื่อวาน คู่กับรองเท้าผ้าใบสีดำคู่เก่ง ซึ่งเป็นการแต่งกายที่ดูไม่สอดคล้องกับบรรยากาศห้องเต้นรำเอาซะเลย
ถ้าให้อธิบายตามตรง คือเขาดูเหมือนเป็นคนบ้านนอกที่หลงเข้ามาอยู่กลางสถานบันเทิง
หลินเซี่ยดึงเซี่ยไห่เดินตรงเข้าไปหาเพื่อทักทายเขา “เถ้าแก่อู๋ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”
เมื่ออู๋เซิ่งหงเห็นพวกเขา เขาก็ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเสียงรอบข้างดังเกินไป เขาจึงตะโกนแข่งกับเสียงเพลงว่า “ผมตั้งใจแวะมาคุยกับเถ้าแก่เซี่ยเรื่องที่ดินน่ะครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในห้องเต้นรำแบบนี้ และผมก็ตื่นตาตื่นใจมาก”
หลินเซี่ยเดาว่าอู๋เซิ่งหงน่าจะตั้งใจมาที่ห้องเต้นรำเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลินเซี่ยถามกลับเสียงดัง “เถ้าแก่อู๋กินข้าวมื้อเย็นมาหรือยังคะ?”
“ผมกินแล้วเรียบร้อย”
เขามองไปที่หลินเซี่ยและเซี่ยไห่ ถามยิ้ม ๆ ว่า “พวกคุณสองคนยังไม่ได้กินข้าวกันเลยใช่ไหม?”
เซี่ยไห่พยักหน้า “ผมเพิ่งจะมีเวลาว่างหลังจากผ่านวันอันแสนวุ่นวาย”
“เอาอย่างนี้ พวกเราไปกินข้าวที่แผงลอยขายอาหารด้านนอกกันเถอะ ข้างนอกอากาศเย็นสบายกว่า”
พวกเขาทั้งสามออกจากห้องเต้นรำ คราวนี้ประสาทการได้ยินของพวกเขาจึงชัดเจน
อู๋เซิ่งหงได้ยินมาว่าพวกเขายังไม่ได้กินข้าว จึงขออาสาแนะนำร้านอาหารที่เขาชอบไปอุดหนุนบ่อย ๆ
เรียกได้ว่าเป็นร้านที่อาหารมีรสชาติอร่อย และไม่แพงเลยทีเดียว
หลินเซี่ยสนใจอาหารที่อู๋เซิ่งหงแนะนำมาก เธอติดตามเขาไปด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเห็นแผงขายอาหารที่แสนจะเรียบง่ายซึ่งอู๋เซิ่งหงแนะนำ ริมฝีปากของเซี่ยไห่ก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปยังชายวัยกลางคนที่มีนิสัยมัธยัสถ์เกินไปตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลก ๆ
ผู้ชายคนนี้มีราศีสมกับเป็นเจ้าของบริษัทตรงไหนกัน?
แม้ว่าความขยันและประหยัดมัธยัสถ์จะถือเป็นคุณธรรมที่พึงปฏิบัติ แต่ในฐานะนักธุรกิจ การประหยัดเงินจนเกินไปมีแต่จะทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่น่าเชื่อถือเท่านั้น
อีกอย่าง เขาแต่งตัวอะไรของเขากัน?
แม้แต่คนงานที่สัญจรไปมาตามท้องถนนในเมืองใหญ่แห่งนี้ ยังยากที่จะหาคนแต่งตัวปอน ๆ แบบเขา
อากาศร้อนอบอ้าวเกินไป แผงขายอาหารก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เห็นได้ชัดว่าอู๋เซิ่งหงเป็นลูกค้าประจำที่นี่ ทันทีที่เจ้าของแผงเห็นเขา อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนได้เจอพี่ชายที่พลัดพราก ถามอย่างเป็นกันเองว่าวันนี้จะสั่งเหมือนเดิมไหม
อู๋เซิงหงเดินแทรกผู้คนเข้าไปหาที่นั่งอย่างชำนาญ พาเซี่ยไห่และหลินเซี่ยนั่งลง ก่อนจะสั่งบะหมี่ชามพิเศษและเบียร์อีกหนึ่งโหล
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าจัดงานแต่งพร้อมกันสองคู่ก็คงเป็นอะไรที่ครึกครื้นน่าดู
พี่เหออยากแต่งชุดเจ้าบ่าวเหมือนกันล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)