ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 43 ผมไม่สามารถมีความรักในวัยสามสิบได้อีก
ตอนที่ 43 ผมไม่สามารถมีความรักในวัยสามสิบได้อีก
ตอนที่ 43 ผมไม่สามารถมีความรักในวัยสามสิบได้อีก
“พอได้แล้ว ไม่อายบ้างหรือยังไงคะ? อย่าทำให้ความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเลย”
แม่เฒ่าหลินจ้องมองหลินเซี่ยด้วยความโกรธ และเดินออกจากประตูไป
หวังอวี้เสียพูดกับโจวลี่หรงในห้องว่า “พี่ดูสิ เด็กคนนี้มีเหตุมีผลมากนะ”
หลังจากที่คนตระกูลหลินจากไป ในที่สุดผู้เฒ่าโจวและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ความสามารถในการต่อสู้ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้
ทันทีที่พวกเขาจากไป เฉินเจียเหอขอให้หลินเซี่ยพาหู่จือกลับห้องตะวันตก จากนั้นจึงเรียกหาโจวลี่หรง
เฉินเจียเหอมองโจวลี่หรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สหายโจวลี่หรง พฤติกรรมของคุณในวันนี้มันมากเกินไปแล้ว เมื่อไหร่คุณจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผมเสียที?”
โจวลี่หรงไม่ได้คิดว่าตัวเองทำสิ่งใดผิด หล่อนมองเฉินเจียเหอและพูดด้วยความโกรธว่า “ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ไปที่บ้านตระกูลหลิน ฉันคงไม่รู้ว่าเนื้อแท้ของพวกเขาเป็นยังไง ดูการทำตัวของพวกเขาสิ ถ้าแกอยู่กับหลินเซี่ย ในอนาคตแกจะต้องคบหากับคนเหล่านี้ไปอีกหลายทศวรรษ เฉินเจียเหอ ทั้งชีวิตของแกจะถูกทำลาย”
เฉินเจียเหอพูดอย่างเด็ดขาด “เซี่ยเซี่ยไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามากนัก และถึงแม้เขาจะทำ ผมก็จะยอมรับมัน”
คำพูดสุดท้ายของเฉินเจียเหอทำให้โจวลี่หรงง้างแขนขึ้นด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะลูกชายมีความสูงมากกว่าหล่อนมาก หล่อนคงตบเขาไปแล้ว
“แกไม่เคยพบเจอผู้หญิงคนอื่นหรือยังไง? แกเห็นอะไรในตัวเด็กนั่นกันแน่? แม้แต่ถังหลิงก็ยังสู้หล่อนไม่ได้เหรอ?”
เฉินเจียเหอขมวดคิ้วและแย้งว่า “ผมก็แค่ชอบหล่อน ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากมายเสมอไปนี่?”
โจวลี่หรงแทบอาเจียนเป็นเลือด
“แกอายุยี่สิบเก้าแล้ว ไม่ใช่สิบเก้าปี ความรักยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนอายุปูนนี้อีกเหรอ? ตอนที่แกอายุสิบเก้า แกไม่เคยแสดงความสนใจเด็กผู้หญิงคนไหน อายุมากขนาดนี้แล้ว แกช่วยมีสติมากขึ้นกว่านี้ได้ไหม?”
“แม่หมายความว่าผมไม่สามารถมีความรักในวัยสามสิบได้อีกหรือ?”
โจวลี่หรง “!!!”
หล่อนพูดไม่ออก ขณะยกมือขึ้นกุมขมับ
โจวลี่หรง “แกจำเป็นต้องไล่ตามความรักกับผู้หญิงไร้ค่าแบบนี้ด้วยเหรอ? ทำไมถึงไม่สนใจผู้หญิงที่โดดเด่นแบบถังหลิง?”
เฉินเจียเหอตอบ “ผมไม่สนใจ ผมไม่เคยเห็นหล่อนในสายตาเลยสักนิด”
หวังอวี้เสียและผู้อาวุโสตระกูลโจวรับฟังการทะเลาะกันระหว่างแม่กับลูกชาย ขณะที่ไม่สามารถเข้าไปห้ามปรามได้เลย
แต่หวังอวี้เสียเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของเฉินเจียเหอ
หากชายหญิงสองคนชอบพอกัน ทำไมความรักและการแต่งงานต้องข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ซับซ้อนมากมายขนาดนี้?
ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร?
ดังคำกล่าวที่ว่าความรักทำให้โลกกลายเป็นสีชมพู ซึ่งความเป็นเลิศในสายตาของโจวลี่หรงนั้นแตกต่างจากของเฉินเจียเหอโดยสิ้นเชิง
หวังอวี้เสียกระแอมเล็กน้อย และใช้ประโยชน์จากความเงียบของโจวลี่หรงเพื่อพูดไปว่า “พี่คะ ฉันขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม ฉันคิดว่าในครั้งนี้พี่ทำเกินไปหน่อยน่ะค่ะ”
“เจียเหอแต่งงานกับหลินเซี่ย ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรัก พี่ถ่อมาจากเมืองใหญ่เพื่อคัดค้าน แล้วยังไปบ้านพ่อแม่หล่อนเพื่อขอยุติการหมั้นหมาย พี่ไม่เคยใส่ใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดด้วยซ้ำ หลินเซี่ยทำผิดต่อเจียเหอมากหรือไง ถึงขนาดที่แม่สามีต้องรีบไปที่บ้านพ่อแม่ของหล่อนเพื่อยุติการหมั้นหมาย? แล้วพี่ยังบอกให้พวกเขามารับตัวหล่อนกลับไปด้วย ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลหลินจะโกรธถึงขนาดนั้น หากลูกสาวของฉันถูกปฏิบัติแบบเดียวกันนี้ ฉันคงจะตอบโต้กลับเลวร้ายยิ่งกว่าแม่เฒ่าหลินอีก”
หลังจากที่หวังอวี้เสียพูด หล่อนหันมองผู้เฒ่าตระกูลโจว “พ่อ แม่ คิดเหมือนฉันไหมคะ?”
แม่เฒ่าโจวตอบกลับทันที “ใช่ มันคือความจริง”
แม้ว่าแม่เฒ่าหลินและคนอื่น ๆ จะแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่พวกเขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะเรียกร้องความเป็นธรรม
จะมีครอบครัวไหนที่อยากเห็นลูกสาวได้รับการปฏิบัติเช่นนี้?
โจวลี่หรงตอบกลับอย่างเย็นชา “ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอ เธอก็พูดได้สิ”
“ในอนาคตเมื่อลูกชายของฉันเจอคู่ครอง ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด ถ้าเขาแต่งงานกับคนอย่างเซี่ยเซี่ยได้ ฉันคงตื่นขึ้นมาหัวเราะจากความฝัน ดูสิว่าหล่อนสวยแค่ไหน แล้วยังมีทักษะในการหาเลี้ยงชีพ ฉันคงเสียสติแล้วเท่านั้นที่จะต่อต้านคนแบบนี้”
หวังอวี้เสียพูดเข้าข้างเฉินเจียเหอ ทำให้โจวลี่หรงโดดเดี่ยวอีกครั้ง
แต่หล่อนยังคงยืนกรานในความคิดตัวเองและไม่ยอมประนีประนอมแต่อย่างใด
เฉินเจียเหออาจจะหลงใหลไปกับรูปงามนั้นชั่วขณะ แต่ในฐานะพ่อแม่ หล่อนไม่สามารถนิ่งเฉย
เนื่องจากลูกชายของหล่อนมีความโดดเด่นมาก หล่อนจะยอมให้เขาถูกคนแบบนั้นมาทำลายไม่ได้
เด็กน้อยที่เกาะเขาเหนียวแน่นเป็นภาระให้เขามาห้าปีแล้ว และด้วยความร้ายกาจของตระกูลหลิน พวกเขาอาจลากชายหนุ่มลงสู่ความตายได้
เฉินเจียเหอตระหนักว่าเขาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับแม่ได้ จึงตัดสินใจพูดอย่างเถรตรงว่า “ตาครับ ยายครับ ผมจะพาหลินเซี่ยและหู่จือกลับเมืองไห่เฉิงในวันพรุ่งนี้ เราจะไม่รอฉลองวันปีใหม่แล้ว แล้วผมจะกลับมาหาใหม่ปีหน้า”
ขณะที่กล่าวคำ เขาก็กำลังจะเก็บข้าวของ
ผู้เฒ่าโจวพูดด้วยความกังวล “เจียเหอ อย่าเพิ่งหุนหันไป”
“คุณตา ผมไม่ได้หุนหัน แม่มุ่งเป้าไปที่หลินเซี่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขนาดถ่อไปสร้างปัญหาที่บ้านพ่อแม่ของหล่อน ถ้าวันนี้ไม่ใช่เพราะจุดยืนอันหนักแน่นของคุณย่าหลินเซี่ย หลินเซี่ยอาจถูกขับไล่ออกจากบ้านไปแล้ว”
เฉินเจียเหอพูดกับโจวลี่หรงด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “แม่ ต่อหน้าคุณตาคุณยายในวันนี้ ผมขอประกาศอย่างจริงจังว่า นับจากนี้ไปแม่ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผมอีก ไม่เช่นนั้นเราคงต้องตัดความสัมพันธ์กัน”
“แกต้องการตัดความสัมพันธ์กับฉันเพราะผู้หญิงนั่นเหรอ?” โจวลี่หรงแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“แม่นั่นแหละที่ไร้เหตุผลและบีบบังคับให้ผมมาถึงจุดนี้ ผมกำลังจะอายุสามสิบแล้ว ผมรู้ว่าผมต้องการอะไร และรับผิดชอบอนาคตของตัวเองได้ หากแม่มีเวลามากนัก ทำไมไม่ไปสนใจเรื่องครอบครัวกว่านี้ ดูแลสุขภาพของเจียวั่งให้มากขึ้น แทนที่จะคอยจับผิดผมตลอดเวลา”
เมื่อกล่าวถึงการดูแลสุขภาพของเฉินเจียวั่ง โจวลี่หรงและผู้อาวุโสตระกูลโจวต่างก็รู้สึกกังวลอย่างมาก
โจวลี่หรงมองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง “ได้ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของแกอีก ถ้าแกพลาดพลั้งในอนาคต ก็อย่ามากล่าวโทษฉันแล้วกัน”
“ไม่ต้องห่วง มันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ดูเหมือนว่าในขณะนี้แม่และลูกชายจะแตกหักกันอย่างสมบูรณ์
ผู้เฒ่าโจวอดไม่ได้ที่จะต่อว่า “ลี่หรง จากนี้อยู่แต่ในบ้าน และอย่าไปหาเรื่องตระกูลหลินอีก หลังวันปีใหม่ก็กลับไปทำงานซะ”
“เจียเหอ หลานต้องมีเหตุผลมากกว่านี้อีกหน่อย เอาแต่จะวิ่งกลับเมืองไห่เฉิง การทำแบบนั้นจะช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือ?”
เขาสูบมอระกู่พลางกล่าวคำสีหน้าจริงจัง
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว ไม่นึกถึงเราขณะที่ทะเลาะกันใหญ่โตเลยหรือไง? ตากับยายอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว? เราจะอายุยืนยาวจนฉลองปีใหม่ปีหน้าได้ไหม? เวลาที่เราจะได้ใช้ร่วมกันน้อยลงทุกวัน! ฟังตาให้ดี หลานอยู่ฉลองวันปีใหม่ที่บ้านเรานี่แหละ แล้วค่อยกลับเมืองไห่เฉิงหลังวันปีใหม่ จากนั้นอยากทำอะไรก็ทำ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องกังวลเมื่อไม่เห็นมันด้วยตา”
เฉินเจียเหอถูกคุณตาของเขาดุ เมื่อมองดูใบหน้าชราของผู้เฒ่าทั้งสอง เขาล้มเลิกที่จะพูดถึงการกลับเข้าเมือง
แม่เฒ่าโจวรีบขยิบตาให้เฉินเจียเหอและพูดว่า “เจียเหอ ไปปลอบโยนเซี่ยเซี่ยเถอะ เด็กคนนั้นทำงานในร้านตัดผมทั้งวันและยังต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายที่บ้านอีก ตอนนี้หล่อนคงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก”
“เข้าใจแล้วครับ คุณยายเองก็ควรรีบเข้านอนนะครับ”
หลังจากเฉินเจียเหอออกไป หวังอวี้เสียมองโจวลี่หรงที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดและพูดว่า
“พี่ อย่าไปโกรธลูกเลยนะ มา คืนนี้เรานอนด้วยกันเถอะ ไม่ได้นอนด้วยกันมาตั้งหลายปี คืนนี้เรามาพูดคุยและช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยกันเถอะนะ”
โจวลี่หรงกลอกตาให้หวังอวี้เสีย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก “เธอน่ะเหรอ? คนอย่างเธอจะช่วยฉันแก้ปัญหาอะไรได้?”
หวังอวี้เสียกลอกตาหลังได้ยินแบบนั้น “พี่อย่ามาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นได้ไหม? พี่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เราจะญาติดีกันบ้างไม่ได้หรือไง?”
“ใช่ ลี่หรงไปนอนกับอวี้เสียเถอะ พวกเธอจะได้มีเวลาส่วนตัวพูดคุยกันตอนกลางคืน”
“แม่ขอให้หู่จือมานอนในห้องนี้แล้ว”
แม่เฒ่าโจวต้องการให้โจวลี่หรงไปนอนกับหวังอวี้เสีย และรีบไปเรียกหู่จือมานอนกับพวกเขา เพื่อสร้างโอกาสให้คู่หนุ่มสาวได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เออ คุณแม๊ดูดื้อนะคะ ดื้อแบบใครพูดก็ไม่ฟังด้วย แบบนี้ต้องโดนลูกทิ้งจนไม่เหลือใครสักคนแล้วจะรู้สึก
ไหหม่า(海馬)