ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 440 ผู้ชายที่ดีจะไม่ถามคำถามแบบเลือกตอบกับผู้หญิง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 440 ผู้ชายที่ดีจะไม่ถามคำถามแบบเลือกตอบกับผู้หญิง
ตอนที่ 440 ผู้ชายที่ดีจะไม่ถามคำถามแบบเลือกตอบกับผู้หญิง
เฉินเจียเหอมีทัศนคติที่มั่นคง เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการลงทุนของหลินเซี่ย เมื่อเซี่ยไห่บอกว่านักธุรกิจคนนั้นไม่น่าเชื่อถือ แต่หลินเซี่ยกลับอยากจะวางเงินลงทุนกับเขาถึงสามแสนหยวน เฉินเจียเหอก็รู้สึกว่าในฐานะหัวหน้าครอบครัวแล้ว ในเวลานี้เขาต้องชี้แนะภรรยาให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะไม่อยากเห็นเธอถูกหลอกลวงต้มตุ๋น
หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าทัศนคติของเฉินเจียเหอจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากที่เขากลับมาจากโรงพยาบาล
เธอกลัวว่าเซี่ยไห่อาจเป็นตัวแปรที่ทำให้พวกเขามีปัญหากัน จึงพูดดักคอเขาเอาไว้ทุกทางตั้งแต่เมื่อคืนนี้ และเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจของอู๋เซิ่งหง
ท้ายที่สุดคำบอกเล่าเหล่านั้นก็แทบไม่มีผล คำบอกเล่าของเซี่ยไห่มีน้ำหนักสำหรับเขามากกว่า
คำพูดของเพื่อนรุ่นพี่มีผลต่อเขามากกว่าคำพูดของภรรยา
ดูเหมือนว่าเธอเทียบไม่ติดเลยกับมิตรภาพที่ยาวนานกว่าสิบปีระหว่างเขากับเซี่ยไห่
หลินเซี่ยทั้งโกรธและอิจฉา
ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังโต้เถียงกับเขาอย่างใจเย็น
“โอกาสและความเสี่ยงมักจะมาคู่กันเสมอ ถ้าฉันบอกว่าฉันสนใจโครงการนี้ ก็แสดงว่าฉันมีความมั่นใจมากพอสมควร ฉันไม่ใช่คนโง่นะคะ จะเอาเงินจำนวนมหาศาลมาทุ่มทิ้งไปกับมันได้ยังไง?
เฉินเจียเหอ ฉันขอบอกเลยว่าฉันจะแบกรับความเสี่ยงทุกอย่างหลังจากนี้ด้วยตัวเองคนเดียว คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าตัวเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง”
เฉินเจียเหอวางมือเท้าสะเอวด้วยความโกรธ พูดด้วยสีหน้าเข้มขรึมว่า “จะไม่เกี่ยวข้องได้ยังไง? โครงการนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด เราไม่รู้จักพื้นเพของเจ้าของธุรกิจคนนั้นดีพอด้วยซ้ำ เราจะเอาเงินไปลงทุนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ทำไมผมเตือนแล้วคุณถึงไม่ยอมฟังบ้าง?”
“ฉันบอกคุณไปแล้วตั้งเยอะ คุณต่างหากที่ไม่ฟังฉันสักคำ แค่เซี่ยไห่พูดก็ตัดสินไปแล้วว่าอีกฝ่ายไม่น่าเชื่อถือ” หลินเซี่ยมองเขา ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เธอพองแก้มแล้วพูดด้วยเสียงดังหนักแน่น “ในเมื่อเซี่ยไห่บอกว่าทั้งโครงการทั้งเจ้าของโครงการไม่น่าเชื่อถือ แล้วเขาเข้าใจแผนดำเนินโครงการนี้จริง ๆ หรือเปล่า? ถ้าคุณเชื่อฟังเซี่ยไห่มากนัก ก็เชิญคุณไปอยู่ไปร่วมหัวจมท้ายกับเซี่ยไห่โน่นเลย แม่จะจัดห้องเอาไว้ให้”
รอบนี้เธอโกรธมาก ถึงขั้นเรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายว่าเซี่ยไห่ บ่งบอกชัดเจนว่าเธอไม่พอใจอย่างที่สุด
เฉินเจียเหอกระชากแขนเธอเข้ามาใกล้ มองเธอด้วยสายตาดุดัน “แม่งั้นเหรอ? เด็กเมื่อวานซืน นี่คิดจะหาเรื่องทะเลาะกันให้ได้เลยใช่ไหม?”
หลินเซี่ยสะบัดเขาออกไปอย่างแรง สีหน้าเฉียบคมโกรธเกรี้ยว “คุณเรียกใครว่าเด็กเมื่อวานซืน?”
เขาหันหลังให้เธออีกครั้ง และสอนบทเรียนเธอว่า “คุณไง คุณเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ แต่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแม่ของผม ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
หลินเซี่ยยิ้มเยาะ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็นอนกับเด็กเมื่อวานซืนทุกวันน่ะสิ งั้นคุณเป็นใคร? เป็นตาแก่พรากผู้เยาว์งั้นเหรอ?”
“คุณ…” เฉินเจียเหอพูดไม่ออกกับคำตำหนิของเธอ
หลินเซี่ยสะบัดตัวออกห่างจากสัมผัสของเขาอย่างรังเกียจ ทัศนคติค่อนข้างแข็งกร้าว พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำเตือน “ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ดีแล้ว และฉันก็ได้เงินมาแล้วด้วย ที่ฉันมาคุยกับคุณก็เพราะให้เกียรติในฐานะที่คุณเป็นอีกครึ่งชีวิตของฉัน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการ แล้วคิดว่าตัวเองมีอิทธิพลยิ่งใหญ่มากพอจะมาเปลี่ยนแปลงความคิดของฉันได้ก็แล้วแต่ ใครหน้าไหนก็หยุดฉันไม่ให้หาเงินไม่ได้ ถ้าคุณอยากถ่วงความก้าวหน้าฉัน ก็ช่วยยอมรับในผลที่ตามมาด้วย”
ประโยคสุดท้ายบอกใบ้ถึงภัยคุกคามอย่างรุนแรง
“ผมเป็นสามีคุณ หน้าที่ของผมคือดูแลทุกเรื่องที่คุณทำ ผมไม่คิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ปรามคุณนะสาวน้อย”
หลินเซี่ยไม่สนใจเขาอีก เดินหนีเข้าไปในห้องนอนและปิดประตูใส่หน้าเขาเสียงดัง
เธอโกรธมากจริง ๆ ถึงขั้นเดินไปปิดผ้าม่านให้ห้องมืด ขึ้นไปนอนบนเตียง ห่มผ้าแล้วนอนให้หลับไป
ถึงอย่างนั้นเธอกลับนอนไม่หลับ เมื่อคืนนี้เธอถูกปีศาจร้ายอย่างเขาทรมานมาตลอดคืน แต่พอถึงตอนเช้า เขากลับวางตัวเหนือกว่า แถมยังเรียกเธอว่าเด็กเมื่อวานซืน
ทำไมถึงกล้าเรียกเธอว่าเด็กเมื่อวานซืน ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแท้ ๆ?
ไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ แสงภายในห้องก็สลัวราง ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมืดแล้ว
เธอพลิกตัวไปเห็นร่างมืด ๆ ยืนอยู่ตรงขอบเตียง ตอนแรกเธอสะดุ้งตกใจสุดขีด แต่พอขยี้ตาแล้วเห็นชัดเจนว่าเป็นรูปร่างของคนที่คุ้นเคย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
“เฉินเจียเหอ?” เธอร้องเรียกอย่างไม่แน่ใจ
ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ผมเอง”
เขาเดินไปเปิดไฟ มองดูผู้หญิงที่ยังมีอาการง่วงนอนบนเตียงแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นไปกินข้าวมื้อเย็นเถอะ”
เมื่อหลินเซี่ยคิดถึงข้อขัดแย้งและความแตกต่างทางความคิดระหว่างพวกเขาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทันใดนั้นเธอก็สูญเสียความอยากอาหาร พูดด้วยความโกรธว่า “ฉันยังไม่หิว คุณไปกินคนเดียวเถอะ”
พอพุดจบ เธอก็พลิกตัวหนีและตั้งท่าจะนอนต่อ
เฉินเจียเหอยื่นมือออกไปฉุดเธอขึ้นจากเตียง มองดูเธอด้วยสายตาเฉียบคม ถามว่า “คุณคิดจะอดอาหารประท้วงหรือไง?”
หลินเซี่ยพึมพำ “ฉันไม่ใช่คนงี่เง่าขนาดนั้นนะ”
“งั้นก็ออกไปกินข้าวได้แล้ว”
เฉินเจียเหออดไม่ได้ที่จะอุ้มเธอขึ้นมา พาออกไปจากห้องนอน
อาหารมื้อเย็นบนโต๊ะถูกปิดคว่ำไว้ด้วยฝาชีอย่างระมัดระวัง เฉินเจียเหอนำรองเท้าแตะมาสวม เข้าไปล้างมือ แล้วกลับมาเปิดฝาชีออก กับข้าวจานสี่จานที่หน้าตาไม่สวยงามมากนักแต่มีกลิ่นหอมฟุ้งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ
เขาวางชามข้าวไว้ตรงหน้า แล้วยื่นตะเกียบให้เธอด้วย “กินซะ”
หลินเซี่ยไม่คิดว่าหลังจากทำเลาะกัน เขาจะยังมีใจทำกับข้าวหลายอย่างขนาดนี้ไว้รอเธอตื่นนอน ทันใดนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจ และรู้สึกผิดต่อเขาเล็กน้อย
รู้สึกผิดที่ตัวเองพูดจารุนแรงกับเขามากเกินไป
เธอรู้สึกซับซ้อนมาก ก่อนหน้านี้ต้องการปรึกษาหารือกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสงบ เดิมทีเธอคิดว่าเนื่องจากพวกเขาเชื่อใจกันมาก และเขาก็ดูจะมั่นใจในความสามารถของเธอ บางทีการโน้มน้าวให้เขายอมลงทุนอาจไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่เธอประเมินน้ำหนักในคำพูดของตัวเองสูงเกินไปจริง ๆ
คนที่เขาเชื่อใจมากกว่าคือเซี่ยไห่ ไม่ใช่เธอ
“กินเนื้อสักชิ้นสิ”
เฉินเจียเหอวางชิ้นเนื้อลงในชาม แต่เธอกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากจนไม่สนใจเรื่องกินด้วยซ้ำ เธอใช้ตะเกียบเขี่ยของในชาม ความคิดล่องลอยไปไหนต่อไหน
ทันใดนั้น ชามที่อยู่ตรงหน้าเธอก็ถูกเฉินเจียเหอหยิบไป
หลินเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำอะไรน่ะ?”
“ไม่สบายใจก็ยังไม่ต้องกิน กินข้าวตอนที่อารมณ์ไม่ดีมันส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะ”
เขาวางชามลง หยิบตะเกียบในมือของเธอออกไป มองดูเธอแล้วพูดว่า “มาคุยกันให้รู้เรื่องเถอะ”
“เอาสิ” หลินเซี่ยนั่งตัวตรง มองเขาอย่างจริงจัง
เธอนึกอยากคุยกับเขาให้กระจ่างอยู่พอดี โดยพื้นฐานแล้วเธอกับเฉินเจียเหอไม่เคยมีความขัดแย้งในเรื่องใด ๆ เลยนับตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกัน เธอจึงรู้สึกอึดอัดมากกับสภาพในปัจจุบันนี้
การทำเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า
หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอ รอให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ในเมื่อคุณยืนกรานที่จะลงทุน และผมก็ไม่สามารถห้ามคุณได้ ถ้าอย่างนั้น…”
เมื่อเฉินเจียเหอพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงักชั่วคราว สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยากลำบากมาก
หลินเซี่ยมองหน้าเขา พอเห็นว่าเขาดูลำบากใจมาก จนลังเลที่จะพูดคำถัดไป หัวใจของเธอก็พลอยเต้นผิดจังหวะ
เมื่อมองดูเขา เธอที่ไม่ทันคิดอะไรก็โพล่งออกไปว่า “คุณคิดจะหย่ากับฉันเหรอ?”
เฉินเจียเหอ “…”
เขามองตรงไปที่เธอด้วยดวงตาลึกล้ำ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง มองเธอแล้วถามว่า “ถ้าผมอยากหย่ากับคุณเพราะเรื่องนี้จริง ๆ คุณจะเลือกอะไร เลือกผม หรือเลือกลงทุนตามเดิม?”
หลินเซี่ย “เลือกลงทุน”
เฉินเจียเหอ. “!!!”
เขาถูกกระตุ้นอารมณ์อีกครั้งด้วยคำตอบแบบทันควันของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาฉายแววเสียใจ กัดฟันกรอดและตัดพ้อว่า “หลินเซี่ย คุณทำอย่างนี้กับผมไม่ได้!”
หลินเซี่ยจ้องมองดวงตาที่ขุ่นเคืองของเขา แล้วตอบโต้ว่า “ผู้ชายที่ดีจะไม่ถามคำถามแบบเลือกตอบกับผู้หญิง”
เฉินเจียเหอพูดไม่ออก
นี่ถือเป็นการดูหมิ่นเขาทางอ้อมหรือเปล่า?
เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสาวของเขาคนนี้หัวแข็งมาก แม้แต่ลาสามตัวก็ไม่สามารถฉุดลากเธอกลับมาได้
ท้ายที่สุดแล้ว เธอยังเป็นเด็กสาวที่มีจิตวิญญาณสูงส่ง มีความกล้าหาญมากพอที่จะเสี่ยง ถึงขั้นยอมต่อสู้อย่างหัวชนฝา ถ้าเขายังคงต่อต้านและห้ามปรามเธอต่อไป เธออาจจะทิ้งเขาไว้เบื้องหลังจริง ๆ เพื่อไล่ตามความก้าวหน้าด้านอาชีพ
ล่าสุดเขาได้ยินมาว่ามีพนักงานหลายคนตัดสินใจลาออกแล้วลงใต้ไปแสวงหาความร่ำรวย
แต่เจ้าของธุรกิจที่เธอเจอเป็นคนแบบไหนกันแน่ ถ้าเธอโดนลักพาตัวไปทำธุรกิจ? ใครกันแน่ที่ต้องเสียใจ!
เฉินเจียเหอถูขมับของเขา แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ
จากนั้นเขาก็มองไปที่หลินเซี่ย พยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด “หลินเซี่ย ฟังนะ ผมไม่ได้ขอให้คุณเลือกตอบคำถามแบบสองทางเลือก ผมรู้ว่าคุณมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ในใจ แล้วผมเองก็ไม่มั่นใจด้วยว่าคุณจะยอมประนีประนอมเพื่อผม”
เขาพูดต่อว่า “ในเมื่อคุณยืนกรานที่จะกู้ยืมเงินมาลงทุน ผมคงทำได้แค่สนับสนุนคุณเท่านั้น อย่างเลวร้ายที่สุด ผมอาจสูญเงินทั้งหมดที่หามาได้ อาจต้องพาหู่จือไปขายเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้แทนคุณ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ลิ้นกับฟันกระทบกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่หาจุดยืนตรงกลางกันให้เจอก่อนที่จะสายเกินแก้นะคะ
ไหหม่า(海馬)