ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 443 หนึ่งเดียวสู่ทั้งปวง ทั้งปวงสู่หนึ่งเดียว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 443 หนึ่งเดียวสู่ทั้งปวง ทั้งปวงสู่หนึ่งเดียว
ตอนที่ 443 หนึ่งเดียวสู่ทั้งปวง ทั้งปวงสู่หนึ่งเดียว
ลุงหนิวที่อยู่ข้างๆ พลันตะคอก “ถ้าฉันมีลูกชายโสโครกอย่างนาย ฉันคงตัดขาดกับเขาไปนานแล้ว ในที่สุดเหล่าหลี่ก็ตื่นรู้สักทีว่าควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองยังไง เราทุกคนสนับสนุนเขาอยู่นะ”
“ถูกต้อง ชิ่งกั๋ว นายเตลิดไปไกลเกินแล้ว ตัวเองไม่ยอมไปทำงาน เอาแต่ไปเที่ยวเตร่ข้างนอก พอเงินหมดก็กลับมาพึ่งพาเงินบำนาญของพ่อเพื่อประทังชีวิต กล้าดียังไงมาสร้างปัญหาให้พ่อตัวเอง? เขาแก่เกินกว่าจะแต่งงานใหม่เหรอ? ถ้าตัวเองเป็นลูกกตัญญพอ ครอบครัวนายก็จะสมบูรณ์พูนสุข เมียนายคงไม่หนี แล้วก็มีหลานให้พ่อสักคนไปแล้ว เขาต้องออกไปเต้นรำก็เพื่อแก้เบื่อยังไงล่ะ ไม่งั้นเขาจะหาเมียเองทำไม? พ่อไม่ได้ติดหนี้อะไรนาย นายมีมือมีเท้า จะหวังให้เขาเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตเหรอ?”
เพื่อนบ้านทุกคนต่างโจมตีหลี่ชิ่งกั๋วที่คิดจะประณามพ่อวัยชราของเขา
หลี่ชิ่งกั๋วดูละอายใจและโกรธ เขาไม่สามารถโต้เถียงใด ๆ ได้เลย ท้ายที่สุดจึงชี้นิ้วใส่หลินเซี่ยด้วยความโกรธอีกครั้ง
“หลินเซี่ย ทุกอย่างเป็นความผิดของเธอ ใครใช้ให้เธอชวนพ่อฉันออกไปเต้นรำ? เขาอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว? นังจิ้งจอกเฒ่านั่นก็แค่จอมหลอกลวง หล่อนแค่เข้าหาเขาเพื่อหวังเงินบำนาญของพ่อฉันเท่านั้นแหละ ฉันขอบอกไว้เลย เธอต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้”
หลินเซี่ยยืนอยู่ด้านข้าง เรียนรู้เกี่ยวกับนิสัยใจคอของหลี่ชิ่งกั๋วจากบทสนทนาดุเดือดของหนุ่มใหญ่หลายคน แล้วเธอก็เยาะเย้ย “รับผิดชอบกับผีน่ะสิ คุณอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว พ่อคุณติดหนี้คุณหรือไง? ตัวเองดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามความคาดหวังของเขาไม่ได้ ยังอยากให้เขาสนับสนุนอยู่เหรอ? เขาอุตส่าห์กำลังมองหาภรรยาเพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่คุณกลับไม่สนับสนุนเขา ฉะนั้นออกไปจากที่นี่ซะ ไอ้ผีเน่าหนอนเจาะ”
หลี่ชิ่งกั๋วมองหญิงสาวตัวเล็กผู้สะสวยสง่างามตรงหน้าทว่าวาจาเราะรายเหลือแสนยามดุด่าผู้คน มืออ้วน ๆ ของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ
“เธอกล้าด่าฉันเหรอ?”
“ทำไมจะด่านายไม่ได้?” เฉินเจียเหอคว้าคอเสื้อของเขา จ้องมองเขาด้วยสายตาเฉียบคมพลางพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ถ้านายยังกัดไม่เลือกเหมือนหมาบ้าอีก ฉันก็จะไม่สุภาพกับนายเหมือนกัน”
เดิมทีหลี่ชิ่งกั๋ววางตัวหยิ่งผยองมาก แต่เมื่อเฉินเจียเหอแสดงพลังของตัวเอง เขาก็กลายเป็นเต่าหัวหดทันที แต่ยังยังทำตาถลึงเบิกโพลงพร้อมแค่นเสียงออกมาว่า “อย่าคิดว่าตัวเองมาจากเขตชุมชนบ้านพักทหารแล้วฉันจะกลัว ฉันไม่กลัวคนอย่างนายหรอก”
เฉินเจียเหอเพิ่มกำลังในมือมากขึ้น จากนั้นก็เหวี่ยงเขาออกไปอย่างแรง “งั้นก็ลองตะคอกใส่เมียฉันอีกรอบสิ?”
ในไม่ช้า เลขานุการจางก็เรียกตัวทุกคนไปตัดสินความยุติธรรม
เลขานุการจางได้ยินว่าลุงหลี่กำลังจะแต่งงานกับภรรยาใหม่ ทำให้หลี่ชิ่งกั๋วมาสร้างปัญหา แถมยังพาลมาหาเรื่องหลินเซี่ยด้วย เขากระแอมในลำคอ จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์หลี่ชิ่งกั๋ว “หลี่ชิ่งกั๋ว ทำไมนายถึงโทษว่าเป็นความผิดของเสี่ยวหลินล่ะ? การที่พ่อนายแต่งงานใหม่ถือเป็นเรื่องดีนะ เขาทำงานหนักมาหลายสิบปีเพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศ สุดท้ายเขาก็เกษียณ ในฐานะลูก นายกลับทำตัวไม่น่าเชื่อถือเอง ผิดเหรอที่เขาจะแสวงหาความสุขใส่ตัว?
“นายเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? พนักงานเกษียณวัยแปดสิบในเขตโรงงานเรายังมีจิตสำนึกดีกว่านายซะอีก นายไม่ยอมทำงานหนักเพื่อหาเงิน แถมยังเอาแต่เที่ยวเตร่ไปเรื่อยตลอดทั้งวัน พึ่งพาพ่อชราให้คอยเลี้ยงดูตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองไร้ยางอายบ้างเหรอ?”
หลี่ชิ่งกั๋วไม่คาดคิดว่าแม้แต่ผู้บริหารของโรงงานก็เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ของพ่อเขา แถมทุกคนต่างมุ่งเป้ามาที่เขาแทน จึงถามอย่างเสียไม่ได้ “แล้วถ้าพ่อผมโดนหลอกจริงจะทำยังไงล่ะ?”
เลขานุการจางกล่าวอย่างจริงจัง “ทางโรงงานจะสอบสวนสถานการณ์ส่วนตัวของสหายหญิง และรับผิดชอบในการตรวจสอบเหล่าหลี่เอง นายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว กลับไปเถอะ”
เมื่อเลขานุการจางบอกว่าเขาจะช่วยตรวจสอบเรื่องส่วนตัวและรักษาผลประโยชน์ให้กับความสุขของลุงหลี่เอง หลี่ชิ่งกั๋วก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ในที่สุดก็ยอมจากไปโดยดี
เลขานุการจางพูดกับลุงหลี่ว่า
“เหล่าลี่ ในอนาคตคุณไม่ควรเจียดเงินบำนาญให้เขาอีกต่อไป ปล่อยให้เขาดูแลตัวเองได้แล้ว คุณไม่สามารถเลี้ยงดูเขาไปจนตายได้”
ทุกคนรู้ดีว่าลูกชายของลุงหลี่ไร้ประโยชน์แค่ไหน เพราะความเกียจคร้าน ภรรยาของเขาจึงหนีไป ทำให้เขาต้องอาศัยการรีดไถเงินบำนาญจากลุงหลี่เพื่อใช้อยู่ใช้กิน ท้ายที่สุดแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในการแนะนำอะไรก็ตาม
แต่วันนี้เรื่องภายในครอบครัวได้มาถึงมือเขาแล้ว เลขานุการจางจึงถือโอกาสเสนอคำแนะนำอย่างจริงจังให้กับลุงหลี่ในฐานะผู้นำของโรงงาน
ลูกชายที่ไร้ความสามารถ เป็นผลมาจากความเอาใจใส่ของพ่อแม่ไม่มากก็น้อย
“เลขาจางครับ ไม่ต้องกังวล ผมคิดเรื่องนี้มาดีแล้ว ผมไม่ได้ติดหนี้อะไรเขาเลยจริง ๆ ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้เงินเขาอีก”
ลุงหลี่พูดแล้วก็มองหลินเซี่ย พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“เสี่ยวหลิน ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ขอโทษแทนลูกชายไม่เอาไหนของฉันด้วย”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะลุงหลี่ แสวงหาความสุขให้ตัวเองเถอะ ถ้าเขามารบกวนฉันอีกครั้ง ฉันจะให้เฉินเจียเหอจะจัดการกับเขาเอง”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด ลุงหลี่ก็มองดูบรรดาเพื่อนบ้านที่มามุงดูความตื่นเต้นด้วยสีหน้าเขินอาย เขามองไปที่ทุกคนและพูดอย่างเชื่องช้าว่า “อย่าหัวเราะเยาะฉันเลย ฉันอยู่คนเดียวมานานเกินไปแล้ว การเต้นรำปลุกความกระปรี้กระเปร่าในชีวิตของฉันขึ้นมาอีกครั้ง ป้าหวังที่ฉันรู้จักก็เคยเป็นคนที่น่าสงสารแบบฉันเหมือนกัน หล่อนไม่ใช่จอมหลอกลวงอย่างที่ว่านั่นเลย”
“คุณลุงหลี่ ความกล้าหาญของคุณเป็นบทเรียนชั้นดีให้กับพวกเราหนุ่มสาวเลยล่ะ”
“ผู้เฒ่าหลี่ จากนี้ไปจะมีคนมาอยู่ดูแลคุณแล้วสินะ”
ลุงหลี่ยิ้มอย่างไม่สบายใจ “พวกเราแค่สบายใจที่จะเป็นเพื่อนคู่คิด ดูแลกัน และให้ความอบอุ่นต่อกัน ฉันไม่ได้จ้างแม่บ้าน และก็ไม่ได้คาดหวังให้คนอื่นมาดูแลเราด้วย”
ลุงหลี่เป็นคนโปร่งใสและเปิดกว้างมาก ทั้งยังเคารพผู้หญิงคนนั้น หลินเซี่ยจึงเคารพสหายอาวุโสคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ
เธอยิ้มและพูดว่า “ลุงหลี่ ถ้าคุณกับป้าหวังแต่งงานกันเมื่อไหร่ อย่าลืมส่งลูกอมแต่งงานมาให้เราด้วยนะคะ”
“ได้สิ ได้สิ”
เลขานุการจางพูดกับผู้คนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นกลางลานกว้างว่า “ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว รอให้การแต่งงานของเหล่าหลี่เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ผมจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงแต่งงานให้กับทุกคน”
“ลุงหลี่ เรารอข่าวดีของคุณอยู่นะ”
“ลุงหลี่ อย่าลืมพาป้าหวังมาเต้นรำกับพวกเราอีกนะ”
หลินเซี่ยรู้สึกประทับใจมากเมื่อเห็นว่าเพื่อนบ้านมีทัศนคติที่กระตือรือร้นแค่ไหน ทั้งยังมีผู้นำที่รับผิดชอบทุกเรื่องส่วนตัวของผู้ใต้บังคับบัญชา
ยุคสมัยนี้ จิตใจคนยังซื่อตรงเรียบง่าย
โดยเฉพาะพนักงานในอาคารพักอาศัยของโรงงานที่นี่ ทุกคนล้วนรักใคร่สามัคคีกัน พวกเขาดำเนินชีวิตตามสโลแกนที่ว่า ‘หนึ่งเดียวสู่ทั้งปวง ทั้งปวงสู่หนึ่งเดียว’
หลังจากกลับมาถึงบ้าน หลินเซี่ยก็ไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงใบหน้าของหลี่ชิ่งกั๋ว
ลุงหลี่กำลังจะแต่งงานใหม่แท้ ๆ แต่เขากลับตำหนิผู้เป็นพ่อ
เธอถามเฉินเจียเหอว่า “ทำไมลูกชายลุงหลี่ถึงเดือดร้อนกับการตัดสินใจของเขาขนาดนี้ล่ะ? เขาไม่มีงานการทำเหรอ?”
เฉินเจียเหอบอกว่า “หลังจากลุงหลี่เกษียณ ตอนแรกเขาก็เข้ารับหน้าที่แทนลุงหลี่ ทำงานในโรงงานยานยนต์ของเรานี่แหละ แต่เขารู้สึกว่างานเหนื่อยและหนักเกินไป ดังนั้นจึงลาออกในเวลาไม่ถึงปี ต่อมาเขาก็เอาแต่ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก สุดท้ายเมียเขาก็หอบเสื้อผ้าหนี”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเจียเหอพูด หลินเซี่ยก็รู้สึกเห็นใจลุงหลี่อย่างมาก เธอถอนหายใจ “โธ่ เขาให้กำเนิดลูกชายเพื่อให้โตมาเป็นภาระตัวเองแท้ ๆ”
เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินอย่างนั้น หลินเซี่ยก็ถอนหายใจ รู้สึกกังวลเล็กน้อย
ครอบครัวพวกเขาก็มีลูกชายอยู่คนหนึ่ง
ลุงหลี่เป็นคนซื่อตรงมาก แต่ลูกชายเขาก็ยังเติบโตมาอย่างมีความคิดบิดเบี้ยว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเองก็ล้มเหลวในการอบรมสั่งสอนลูกชายเหมือนกัน?
เฉินเจียเหอมองไปที่หลินเซี่ย กระแอมไอเล็กน้อยและถามแบบไม่จริงจัง
“คุณบอกว่าตัวเองมีความทรงจำจากอดีตชาติใช่ไหม? วันข้างหน้าหู่จือจะเป็นคนแบบไหน? เขาจะเชื่อฟังเราหรือเปล่า?”
เธอบอกว่าอีกหน่อยแม่ผู้ให้กำเนิดของหู่จือก็จะมาตามหาเขาในอนาคต ที่จริงเฉินเจียเหอก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว
ตั้งแต่ถังจวิ้นเฟิงเล่าว่าได้เจอแม่แท้ ๆ ของหู่จือในสถานีรถไฟเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาก็เริ่มเตรียมความพร้อมทางจิตใจหลังจากนั้น
เดิมทีเขากังวลเกี่ยวกับปัญหานี้มาก แต่ต่อมาก็ปล่อยวางได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่แม่แท้ ๆ จะกลับมาตามหาเขา เมื่อถึงเวลาอันสมควร เขาจะบอกความจริงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริงให้หู่จือฟัง และปล่อยให้เด็กคนนั้นเลือกทางเดินของตัวเอง
ตอนแรกเขาแค่อยากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น และรอจนกว่าผู้หญิงคนนั้นจะปรากฏตัว
แต่ในขณะนี้ เฉินเจียเหอได้มองไปที่หลินเซี่ย อยากรู้อยากเห็นว่าสิ่งที่เธอพูดจะออกมาในทิศทางไหน
ไม่ว่าเธอจะมีความทรงจำจากชาติที่แล้วจริง ๆ หรือเป็นแค่ความฝันอย่างที่เขาเข้าใจ แต่ในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นก็น่าจะมีหู่จืออยู่ด้วย
เมื่อพูดถึงหู่จือ การแสดงออกของหลินเซี่ยเผยให้เห็นถึงความเมตตาอาทรที่ไม่สอดคล้องกับอายุของเธอเลย
“กล่าวได้ว่าเขาโตขึ้นเป็นคนที่มีเหตุมีผล และกตัญญูมากด้วยน่ะค่ะ”
เมื่อพูดถึงเด็กคนนั้น หลินเซี่ยก็รู้สึกเศร้าหมองอยู่ในใจ
หู่จือเติบโตขึ้นมาโดยมีเฉินเจียเหอและกลุ่มสหายของเขาช่วยกันเลี้ยง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกอบรมสั่งสอนให้เติบโตมาเป็นคนที่ดีมากเท่านั้น เขายังมีทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิตอีกด้วย
นอกจากจะกตัญญูต่อเฉินเจียเหอแล้ว เขายังเคารพเธอซึ่งเคยเป็นแม่เลี้ยงของเขาเพียงไม่กี่วันในชาติที่แล้ว
เพื่อให้เธอได้มีโอกาสกลับไปอยู่ร่วมกับเฉินเจียเหออีกครั้ง เขาจึงเป็นฝ่ายติดต่อเธอมาก่อน
ก่อนที่จะโดนผีดูดเลือดเหล่านั้นข่มเหง เธอได้มอบเอกสารลับที่สำคัญที่สุดให้หู่จือ ซึ่งเป็นคนที่เชื่อถือได้มากที่สุด ณ เวลานั้นกับมือตัวเอง
ในทางกลับกัน เด็กปีศาจที่เธอเลี้ยงมาจนเติบโตกลายเป็นหมาป่าตาขาว กลับมีความคิดอ่านชั่วร้ายมาตั้งแต่อายุยังน้อย แอบสมรู้ร่วมคิดกับแม่แท้ ๆ ของตัวเอง พอหมดประโยชน์ก็ฆ่าเธอทิ้งโดยไม่ลังเล
เธอล้มเหลวในด้านการอบรมสั่งสอนงั้นหรือ?
บางทีการฟูมฟักตามใจเกินเหตุก็อาจจะมีส่วน
แต่เด็กปีศาจนั่นเลวโดยธรรมชาติ อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ของหล่อนเลวทรามโดยกำเนิด
เช่นเดียวกับเสิ่นอวี้อิ๋งแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อน เช่นเดียวกับเสิ่นเถี่ยจวินพ่อผู้ให้กำเนิดของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ถ้าให้ย้อนขึ้นไปอีกก็คงรวมถึงผู้เฒ่าเสิ่น ที่เห็นแก่ตัวเสมอต้นเสมอปลายแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม
ความชั่วร้ายนี้ได้ฝังลึกอยู่ในกรรมพันธุ์ของพวกเขา
เฉินเจียเหอเห็นเธอตกอยู่ในอาการเหม่อลอยจึงถามเบา ๆ “มีอะไรหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ก่อนยิ้มให้ “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่คิดว่าในเมื่อหู่จือมีเหตุผลมากขนาดนี้ แล้วลูกของเราในอนาคตจะเป็นยังไง? คงไม่เบียดเบียนพ่อแม่ใช่ไหม”
“ไม่หรอก ลูกของเราต้องมีความประพฤติดีมากแน่”
เมื่อเฉินเจียเหอพูดแบบนี้ เขาก็ดึงเธอเข้ามาใกล้ รวบเอวกอดเธอไว้จากด้านหลัง ใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบท้องเธอเบา ๆ และกระซิบข้างหูว่า “ทำไมท้องคุณยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย?”
หลินเซี่ยจับมือเขา โพล่งออกมาโดยไม่คิดว่า “บางที คุณอาจทำงานหนักไม่พอละมั้งคะ?”
เฉินเจียเหอ “!!!”
ทันทีที่เธอพูดจบ เฉินเจียเหอก็อุ้มร่างเธอขึ้นพาดไหล่จนตัวลอย เดินเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็ใช้ขาเตะประตูห้องนอนให้ปิดตาม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไปท้าทายพี่เหอเข้าอีกแล้วเซี่ยเซี่ย พี่เลยจัดหนักสิทีนี้
ไหหม่า(海馬)