ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 445 เสิ่นเถี่ยจวินอาจต้องเข้าคุกอีกรอบ
ตอนที่ 445 เสิ่นเถี่ยจวินอาจต้องเข้าคุกอีกรอบ
เมื่อได้ยินว่าหลินเซี่ยต้องการแก้ทรงเสื้อด้วยตัวเอง เซี่ยอวี่ก็มองเธอและถามโดยปริยาย “เซี่ยเซี่ย ฉันต้องถ่ายรายการวันพรุ่งนี้แล้ว มันจะใช้เวลานานเกินไปหรือเปล่า? ไปจ้างช่างมืออาชีพมาแก้ทรงแทนดีกว่าไหม?”
“ฉันมีจักรเย็บผ้าอยู่ที่บ้านค่ะ แก้ทรงไม่ยาก ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ รีบแก้จะได้เห็นผลลัพธ์ ไม่พอใจก็ค่อยเปลี่ยนไปใส่ชุดอื่น”
หลินเซี่ยตั้งใจว่าจะย้ายจักรเย็บผ้ามาลงที่ร้านใหม่อยู่แล้ว เพื่อที่เธอจะได้ซ่อมแซมข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเสื้อผ้าที่ให้เช่าได้ทันเวลา
แต่พอได้คุยกับเซี่ยอวี่ เธอก็ตัดสินใจว่าจะย้ายเดี๋ยวนี้เลย
“คุณอาหญิงคะ พวกคุณรออยู่ในร้านกันก่อน ฉันขอตัวไปย้ายจักรเย็บผ้ามาที่นี่ก่อน ไม่นานจะกลับมาค่ะ”
หลังจากที่หลินเซี่ยพูดจบ เธอก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา หลินจินซานขับรถบรรทุกคันเล็กมาจอดที่หน้าประตูร้าน จากนั้นรถมอเตอร์ไซค์ของหลินเซี่ยก็ขับมาจอดเช่นเดียวกัน
ทั้งสองย้ายจักรเย็บผ้าเข้าไปในร้าน หลินจินซานเห็นคนในร้านก็ร้องเรียกเซี่ยอวี่ว่าอาหญิงอย่างสุภาพ
เซี่ยอวี่ยิ้มและพูดว่า “จินซาน ขอบคุณที่ทำงานหนัก”
“อาหญิงครับ ไม่หนักหนาอะไรเลย ผมไปช่วยงานคุณย่าที่ร้านอาหารแล้วนะครับ ถ้าอยากได้อะไรส่งเพจเจอร์มาได้เลย”
หลินจินซานเต็มไปความกระตือรือร้น หยิบเพจเจอร์ออกมาโชว์ให้ดูอย่างภาคภูมิใจ
เซี่ยอวี่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “อ้าว เธอซื้อเพจเจอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยอวี่ หลินเยี่ยนและหลินเซี่ยก็มองตามเช่นกัน
แม่ไม่ได้เตือนให้พี่ชายของเธอเก็บออมเงินไว้เพื่อซื้อบ้านเป็นของตัวเองในไห่เฉิงหรอกเหรอ?
ทำไมถึงเอาเงินเก็บไปซื้อเพจเจอร์ซึ่งเป็นเครื่องมือสื่อสารที่หรูหรา?
หลินจินซานยิ้มและอธิบายให้เซี่ยอวี่ฟัง “เครื่องนี้เป็นเครื่องเก่าของอารองครับ คุณย่าไปหามาให้ผมใช้เมื่อวานนี้ ท่านบอกว่าจะได้ติดต่อกับทุกคนสะดวกมากขึ้น”
ที่จริงคุณย่าให้เพจเจอร์เครื่องนี้มาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือสำหรับการตามจีบชุนฟาง
ย่าบอกให้เขาห้อยเพจเจอร์ไว้ที่เอวตลอดเวลา จะทำให้เขาดูเป็นคนทันสมัย และดูมีอำนาจทางการเงินมากกว่าเดิม และยังทำให้ผู้หญิงคนอื่น ๆ มั่นใจในตัวเขามากขึ้นอีกหน่อย
เซี่ยอวี่ยิ้มและพูดว่า “ดีมาก”
หญิงชราใส่ใจหลินจินซานในฐานะหลานชายของนางจริง ๆ
หลินจินซานเป็นคนน่ารักและมีน้ำใจ ทั้งยังทำตัวเป็นหลานชายที่ดีเช่นกัน
เซี่ยอวี่มองไปยังสามพี่น้องสามที่ขยันขันแข็งตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยแสงนุ่มนวล พร้อมกันนั้นก็มีความสุขมากในใจ นอกจากนี้ยังนึกขอบคุณพี่สะใภ้อย่างหลิวกุ้ยอิงอีกด้วย
หล่อนคือคนที่ทำให้หญิงชราได้มีความสุขกับชีวิตครอบครัวอันสมบูรณ์เสียที
ถ้ามัวแต่ฝากความคาดหวังไว้ที่หล่อนกับเซี่ยไห่ ชาตินี้หญิงชราอาจจะไม่ได้มีหลานชายเป็นแน่แท้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ หล่อนก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
หล่อนเคยเป็นคนบ้างานมาก ๆ แต่ตอนนี้หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการทำงาน หล่อนรู้สึกว่าตัวเองได้มีเวลาทบทวนตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น
สมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งครอบครัวก็เต็มไปด้วยความสุข ความรู้สึกอบอุ่นนี้เป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเพียงใดก็ตาม
หลินจินซานช่วยย้ายจักรเย็บผ้าให้เข้าที่ ปัดฝ่ามือแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“พี่ชาย ขอบคุณที่ทำงานหนักนะ”
หลินเซี่ยวัดตัวให้เซี่ยอวี่ก่อน จากนั้นขอให้ลินดาและหลินเยี่ยนช่วยกันเลาะด้ายฝีเย็บบนชุดสูท จากนั้นจึงเริ่มทำการตัดและดัดแปลงใหม่
การเคลื่อนไหวของเธอชำนาญมาก ยกเว้นหลินเยี่ยนแล้ว อีกสามคนต่างมองดูเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เซี่ยเซี่ย มีอะไรบ้างที่เธอทำไม่ได้เนี่ย?”
เซี่ยอวี่มองหลานสาวตัวเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและเหลือเชื่อ ทำไมหลานสาวคนโตของหล่อนถึงได้เก่งไปเสียทุกอย่างอย่างนี้นะ?
ลินดาเข้มงวดกับผู้คนและสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ ขณะนี้กำลังกอดอกและยืนมองอยู่ข้าง ๆ ดูหลินเซี่ยเหยียบจักรเย็บผ้าด้วยความชำนาญ
ในไม่ช้า หลินเซี่ยก็แก้ทรงชุดสูทสีขาวให้กลายเป็นชุดสูทตัวสั้นเข้ารูป ทะมัดทะแมงขึ้นกว่าเดิมมาก
แม้แต่กางเกงก็ถูกปรับแก้ทรงใหม่เช่นเดียวกัน
“อาหญิงคะ เสร็จแล้วค่ะ มาลองใส่ดูสิคะ”
ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของทุกคน เซี่ยอวี่สวมใส่ชุดสูทคู่กางเกงที่หลินเซี่ยแก้ทรงเรียบร้อยแล้ว
เซี่ยอวี่มีรูปร่างเพรียวบางและสูงโปร่ง หน้าอกใหญ่ เอวคอดบาง และสะโพกโค้งมน เสื้อผ้าเข้ารูปที่หล่อนกำลังสวมอยู่ตอนนี้ได้ขับเน้นสัดส่วนให้เห็นอย่างชัดเจน กางเกงตัวโคร่งแต่เดิมก็ถูกแก้ทรงจนกลายเป็นกางเกงขาเต่อ เมื่อใส่คู่กับรองเท้าส้นสูงยิ่งส่งให้ดูเพรียวและสง่าอย่างยิ่ง
เหมือนกับสาวออฟฟิศในเมืองใหญ่ที่เธอเคยเห็นเมื่อชาติที่แล้ว
เซี่ยอวี่ส่ายผมดัดลอนไปมาที่หน้ากระจก หมุนตัวไปรอบ ๆ ก่อนจะแสดงความพึงพอใจ
เสื้อผ้าในยุคสมัยนี้โดยทั่วไปจะตัดเย็บเป็นทรงหลวมโพรก มีเพียงคนมีชื่อเสียงเท่านั้นซึ่งมีโอกาสได้แต่งตัวหลากหลายออกสื่อ สังคมจึงไม่ค่อยเปิดรับแฟชั่นใหม่ ๆ มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าที่นิยมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการ
ชุดนี้ไม่ใช่แค่ดูหรูหราเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้เห็นจุดเด่นในรูปร่างของหล่อน ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเหนือกว่าชุดสไตล์อื่น ๆ
ลินดามองดูชุดสูทที่หล่อนใส่แล้วพูดว่า “มันดูตัวเล็กเกินไปไหม? ฉันว่าแบบนี้ก็ดูโอเคนะคะ ไม่รู้ว่าถ้าผู้ชมเห็นชุดนี้ผ่านทางทีวีจะคิดยังไงบ้าง”
“ตัวไม่เล็กเลย มันคือชุดเข้ารูป บางทีเธออาจจะคิดซับซ้อนเกินไป”
เซี่ยอวี่มองดูตัวเองในกระจก หันกลับมาด้วยความพึงพอใจแล้วพูดตรง ๆ ว่า “ใส่ชุดนี้แหละ ฉันเป็นกรรมการผู้ตัดสิน ใส่สูททางการน่าจะดีที่สุด อย่างน้อยมันก็ไม่ขโมยจุดเด่นมาจากผู้เข้าแข่งขัน และยังมีความภูมิฐานสมเป็นผู้ใหญ่ และดึงเสน่ห์ออกมาในเวลาเดียวกัน ทุกคนจะได้เชื่อถือในการให้คะแนนของฉัน”
ในเมื่อเซี่ยอวี่ตัดสินใจแล้ว ลินดาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีก หล่อนพยักหน้า “ได้ ตกลงเลือกชุดนี้เลย”
ในที่สุดเซี่ยอวี่ก็ได้สไตล์การแต่งหน้าทำผมและชุดที่ถูกใจ ลินดาบอกว่าหล่อนต้องไปตามนัดรับประทานอาหารกับคนที่หล่อนนัดไว้ ซึ่งตอนแรกหล่อนคิดว่าจะไปส่งเซี่ยอวี่กลับบ้านก่อน ทว่าเซี่ยอวี่ลังเลและปฏิเสธที่จะกลับบ้าน
ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะกินข้าวได้หรือเปล่า ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับบาดเจ็บเพราะหล่อน ดังนั้นจึงดูไม่สมเหตุสมผลเลยถ้าหล่อนจะไม่สนใจเรื่องอาหารการกินของเขา
ลินดาหันไปกำชับหลินเซี่ย ฝากให้เธอช่วยไปส่งเซี่ยอวี่กลับบ้านอย่างปลอดภัย
“พี่ลินดา ไปทำงานตามนัดเถอะค่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนร่วมทางคุณอาเอง”
ขณะที่ทางเซี่ยอวี่ได้ลุคการแต่งหน้าแต่งตัวที่เหมาะสมแล้ว หลินเซี่ยกลับยังเป็นกังวลเรื่องของเจียงอวี่เฟย เธอจึงขอยืมโทรศัพท์มือถือของเซี่ยอวี่โทรหาเจียงอวี่เฟย แต่เจียงกั๋วเซิ่งเป็นคนรับสาย
หัวใจของหลินเซี่ยพลันห่อเหี่ยวทันทีเมื่อได้ยินว่าโทรศัพท์ของหล่อนยังอยู่ในมือของเจียงกั๋วเซิ่ง
เธอจึงถามอย่างประชดประชัน
“ลุงเจียง อวี่เฟยอยู่ไหนคะ?”
เจียงกั๋วเซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ก็ยังอยู่ที่บ้านลุงของหล่อนน่ะสิ”
หลินเซี่ยพยายามเกลี้ยกล่อมคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์อย่างจริงจัง “ลุงเจียง พรุ่งนี้ก็จะถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะยินยอมให้อวี่เฟยเข้าร่วมการประกวดนะคะ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหล่อนเลยกว่าจะเข้ารอบลึกมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าหล่อนยอมแพ้กลางคันตอนนี้คงน่าเสียดายแย่ พวกเราทุกคนคงเสียใจกันมาก ๆ แล้ววันข้างหน้าคุณเองก็จะต้องเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในวันนี้เช่นกัน เพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายจิตใจทุกฝ่าย ช่วยเห็นแก่หล่อนสักครั้งได้ไหมคะ?
เหตุผลหลักที่คุณควรปล่อยให้อวี่เฟยเข้าร่วมการประกวดจนจบ ก็เพื่อเห็นแก่ความรับผิดชอบของหล่อนต่อทีมงานของรายการด้วย ถ้าจู่ ๆ หล่อนถอนตัวจากการประกวด คงเป็นเรื่องน่าลำบากใจมากสำหรับทีมงานที่ต้องให้คำอธิบายกับสาธารณชน ถ้าอวี่เฟยทรยศผู้ชม อีกหน่อยหล่อนก็จะไม่มีโอกาสเข้าสู่แวดวงนี้ได้อีก”
เจียงกั๋วเซิ่งตะคอกด้วยน้ำเสียงน่ากลัวราวกับหงุดหงิดเต็มประดา “ฉันเคยควบคุมหล่อนได้ซะที่ไหนล่ะ คิดว่าฉันมีปัญญาห้ามหล่อนไม่ให้ร่วมประกวดได้เหรอ? ตอนนี้หล่อนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวลุงฝั่งแม่อย่างเต็มที่ แล้วพ่ออย่างฉันจะพูดอะไรได้?”
ดวงตาของหลินเซี่ยขยับไหวเล็กน้อย ถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “แล้วคุณเห็นด้วยหรือเปล่าล่ะคะ?”
“ต่อให้ฉันไม่เห็นด้วยแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
ถ้าเจียงอวี่เฟยไม่ออกไปอยู่กับครอบครัวของลุงฝั่งแม่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาอาจจะยังมีอำนาจพอควบคุมหล่อนได้ แต่ตอนนี้หล่อนไม่ยอมกลับบ้านเลย การคัดค้านของเขาจึงไร้ประโยชน์
หากทางตันนี้ยังคงดำเนินต่อไป เห็นทีเขาคงต้องปล่อยให้ลูกสาวโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ
นอกจากนี้ เขาได้ยินหลายคนพูดถึงรายการประกวดนางแบบกันอย่างถล่มทลาย และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความคิดเห็นเชิงลบไปซะหมด
เมื่อคนในอาคารพักอาศัยรู้ว่าลูกสาวของเขาเข้าร่วมการประกวด ทุกคนก็พากันเข้ามาหาเขา และชื่นชมลูกสาวของเขาเกี่ยวกับศักยภาพและความสามารถของหล่อนที่ได้เห็นในทีวี
หวังซิ่วฟางเองก็บอกเขาว่าไม่แปลกที่คนมีอคติอยู่แล้วจะมองทุกสิ่งว่าไม่ดีไม่งามไปเสียหมด และไม่ควรเอาความเห็นเชิงลบที่เป็นส่วนน้อยมาอยู่ในสายตา
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินว่าเจียงกั๋วเซิ่งยอมประนีประนอม เธอก็เกลี้ยกล่อมเขาขณะที่เหล็กยังร้อนอยู่ “ถ้าอย่างนั้นคุณกับพี่สาวหวังก็มาดูการประกวดนางแบบในคืนวันพรุ่งนี้ด้วยกันดีไหมคะ?”
น้ำเสียงของเจียงกั๋วเซิ่งฟังดูไม่ค่อยสนใจนัก “คนนอกอย่างเราเข้าไปในที่แบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
“ได้สิคะ ตราบใดที่คุณเต็มใจไป เราประสานงานหาที่นั่งให้ล่วงหน้าได้ ไม่ว่าญาติหรือเพื่อน ๆ ก็เข้าไปให้กำลังใจผู้เข้าประกวดได้ทั้งนั้น”
หลินเซี่ยถามเขาว่า “ลุงเจียง อยากไปหรือเปล่าคะ? ถ้าสนใจฉันจะหาทางจองที่ให้เดี๋ยวนี้เลย ถ้าตัดสินใจช้าเกินไปก็น่ากลัวว่าจะไม่มีที่นั่งนะคะ”
คนที่ปลายสายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างเคอะเขินว่า “ฉันไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันพาเสี่ยวหวังออกไปดูโลกภายนอกหน่อยก็ได้”
“ได้เลยค่ะ ฉันจะรีบประสานงานให้นะคะ”
เมื่อหลินเซี่ยพูดมาถึงตรงนี้ เดิมทีเธอคิดจะบอกลาเจียงกั๋วเซิ่งและวางสายโทรศัพท์ แต่กระนั้นเจียงกั๋วเซิ่งที่อยู่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา
“เซี่ยเซี่ย โรงงานของเราเพิ่งตรวจสอบเจอการละเมิดวินัยร้ายแรงบางอย่าง เกี่ยวข้องกับการยักยอกทรัพย์สินของรัฐและการตัดทอนลดสเป็ควัสดุของเสิ่นเถี่ยจวิน ส่งผลให้ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลที่โรงงานเราผลิตออกมาด้อยคุณภาพจนไม่ผ่านการทดสอบ โรงงานเครื่องจักรกำลังประสบปัญหาใหญ่จริง ๆ เราร่างเอกสารรายงานและเริ่มทำการสอบสวนแล้ว ถึงตอนนี้เสิ่นเถี่ยจวินจะได้รับการประกันตัวจากโรงพัก แต่ฉันเกรงว่าเขาอาจจะต้องเข้าคุกเป็นครั้งที่สอง”
เหตุผลที่เจียงกั๋วเซิ่งเลือกที่จะบอกหลินเซี่ย ก็เพราะเรื่องทั้งหมดกระจ่างได้ด้วยคำเตือนของหลินเซี่ยที่ทำให้เขาระมัดระวัง ก่อนที่ทางโรงงานจะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบการประชุมเชิงปฏิบัติการของฝ่ายผลิต แผนกตรวจสอบก็ได้ทำการตรวจสอบสายการผลิตแบบครอบคลุม จนพบกับปัญหาในที่สุด
ถ้าหลินเซี่ยไม่เตือนเขาก่อนหน้านี้ เขาอาจกลายเป็นแพะที่ต้องรับผิดชอบความบกพร่องด้านการผลิตอย่างอยุติธรรม ความรับผิดชอบดังกล่าวจะตกอยู่กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินข่าวดี มุมปากของเธอก็โค้งขึ้น ก่อนจะพูดกับเจียงกั๋วเซิ่งอย่างเคร่งขรึมไปตามสายว่า “ลุงเจียง กำจัดตัวปัญหา ปกป้องทรัพย์สินของรัฐ ปกป้องสิทธิอันพึงมี และปกป้องผลประโยชน์ของคนงานทุกคน นี่คือหนทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น ฉันดีใจมาก ๆ ค่ะที่ได้ยินว่าผลออกมาเป็นแบบนี้”
หลังจากวางสายแล้ว หลินเซี่ยก็บอกกล่าวข่าวที่น่าตื่นเต้นกับเซี่ยอวี่ พอได้ยินแบบนี้ เซี่ยอวี่ก็รู้สึกสะใจมากไม่ต่างกัน “เยี่ยมไปเลย คราวนี้เสิ่นเถี่ยจวินจะไม่มีทางหนีรอดจากกับดักได้อีก”
สิ่งที่พวกเธอได้เรียนรู้จากเหตุการณ์บนโรงพักเมื่อไม่กี่วันก่อนมีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนได้พ้นระยะเวลาที่ควรดำเนินคดีไปแล้ว อีกด้านหนึ่งคือการไม่สามารถหาช่องทางติดต่อหมอผู้ทำคลอดได้ เสิ่นเถี่ยจวินจงใจกระทำความผิดโดยการสลับตัวเด็กในห้องที่ไม่มีพยานบุคคล ซึ่งน่าเสียดายที่ขณะนั้นยังไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างกล้องวงจรปิด
ในกรณีที่ไม่มีพยานหลักฐาน คงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินลงโทษเสิ่นเถี่ยจวิน ตราบใดที่เขายังยืนกรานปฏิเสธ
เนื่องจากสถานะอันทรงเกียรติของเซี่ยเหลยทรงอิทธิพลมาก ทางตำรวจจึงไม่นิ่งนอนใจ ส่งเจ้าหน้าที่จำนวนมากลงพื้นที่ไปสืบสวนร่วมกับตำรวจท้องที่ แต่จนถึงขณะนี้ พวกเขากลับประสบความสำเร็จกันเพียงเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ถ้าเสิ่นเถี่ยจวินถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์สินของรัฐ ด้วยอาชญากรรมนี้เพียงข้อหาเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาถูกจับเข้าคุก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนทำชั่วยังไงมันก็ต้องทิ้งร่องรอยไว้จนได้แหละ ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ รอดยากแล้วตระกูลเสิ่น
ไหหม่า(海馬)