ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 453 ตัดช่องทางทำกินเหมือนฆ่าพ่อแม่
ตอนที่ 453 ตัดช่องทางทำกินเหมือนฆ่าพ่อแม่
เธอโทรไปสองครั้ง แต่ไม่มีใครรับสายเลย
อู๋เซิ่งหงตกลงกับเธอไว้ว่า ถึงรถไฟขบวนสุดท้ายจะออกจากเชินเฉิงตั้งแต่เมื่อวาน เขาก็น่าจะมาถึงไห่เฉิงไม่เกินเวลานี้
เธอแน่ใจว่าที่อยู่ที่ตัวเองทิ้งไว้ให้อู๋เซิ่งหงนั้นถูกต้องแล้ว เพื่อความปลอดภัย เธอยังทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของเซี่ยอวี่ไว้ให้เขาด้วย
หรือเขามีธุระอย่างอื่นที่ต้องทำ จึงไม่สามารถมาที่ไห่เฉิงตามสัญญาได้?
หลินเซี่ยโทรหาเซี่ยอวี่อีกครั้ง ถามว่าเมื่อเช้ามีเบอร์แปลก ๆ โทรไปหาหล่อนบ้างไหม
เซี่ยอวี่บอกว่ามีแค่คนที่โทรมาติดต่อเรื่องงานเท่านั้น
หล่อนถามอย่างสงสัย “เซี่ยเซี่ย มีอะไรหรือเปล่า? ฉันต้องรอรับสายใครเป็นพิเศษไหม?”
หลินเซี่ยรู้ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นว่าเถ้าแก่อู๋ไม่ได้ติดต่อเธอไปเลย “ไม่มีอะไรค่ะอา เขาเป็นเพื่อนฉันเอง ฉันทิ้งเบอร์คุณไว้ให้เขาติดต่อกลับ ถ้าระหว่างนี้เขาโทรมาหาคุณ ช่วยบอกให้เขามาหาฉันที่ร้านตัดผมด้วยนะคะ”
“ได้จ้ะ”
หลินเซี่ยอดทนรออู๋เซิงหงไม่ไหวอีกต่อไป เธอเริ่มวิตกกังวล
“ทำไมป่านนี้เขายังไม่มาอีกนะ? มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
“เถ้าแก่อู๋คงไม่เทฉันกลางคันหรอกใช่ไหม?”
เธอเริ่มฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อย ๆ พูดพึมพำกับตัวเองอยู่ภายในร้าน หมุนตัวไปมาอย่างวิตกกังวล
ชุนฟางตกใจมากเมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของหลินเซี่ย แถมเธอยังพูดชื่อเถ้าแก่อู๋ขึ้นมา เธอถามอย่างระมัดระวังว่า “เซี่ยเซี่ย คนที่เธอรออยู่เป็นคนสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลินเซี่ยทำหน้าจริงจัง “สำคัญมากเลยล่ะ ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในอนาคตหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเขา”
หัวใจของชุนฟางเต้นรัวเมื่อได้ยินแบบนั้น
เถ้าแก่เซี่ยไม่ได้บอกว่าผู้ชายคนนั้นไม่น่าเชื่อถือหรอกเหรอ?
สังเกตจากสีหน้าของหลินเซี่ยแล้ว คุณลุงวัยกลางคนที่เรียบง่ายติดดินคนนั้น อาจมีความสามารถมากกว่าที่หล่อนคิดสินะ?
“คือว่า….”
หลินเซี่ยเงยหน้าขึ้น เห็นชุนฟางลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำหน้าตาเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิด เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถามว่า “ชุนฟาง มีอะไร? ดูเหมือนเธอมีอะไรในใจนะ?”
“ฉัน…”
ดวงตาของชุนฟางวูบไหว มองไปที่หน้าประตูร้านตัดผม ไม่รู้ว่าควรจะบอกความจริงดีไหม
หล่อนกลัวว่าเถ้าแก่เซี่ยจะมาดุตนภายหลังว่ารับปากไม่เป็นรับปาก
สัญชาตญาณบอกหลินเซี่ยว่าการแสดงออกของชุนฟางในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และอาจเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่อู๋
เธอสงบสติอารมณ์ ถามเบา ๆ
“มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ อย่ามัวลังเลอยู่เลย เธอก็รู้นี่ว่าฉันเป็นใคร? ฉันไม่กินหัวเธอหรอกน่า”
ชุนฟางคว้าชายเสื้อของเธอ ก้มหน้าลงต่ำแล้วพูดด้วยความยากลำบาก น้ำเสียงเจือความรู้สึกผิด “เซี่ยเซี่ย ฉันขอโทษจริง ๆ เถ้าแก่คนที่เธอพูดถึงแวะมาหาเธอตั้งแต่เช้าแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินเซี่ยก็มองหน้าชุนฟางด้วยความตกใจ ถามว่า “แล้วเขาไปไหน?”
ชุนฟางตอบว่า “เขาถูกเถ้าแก่เซี่ยเชิญออกไป เถ้าแก่เซี่ยสั่งไม่ให้ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังว่าเถ้าแก่คนนั้นเขามาที่นี่แล้ว”
หลินเซี่ยกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมดคำจะพูด
เวรตะไลเอ๊ย
ขนาดพยายามป้องกันทุกวิถีทาง สุดท้ายก็ยังล้มเหลว
เธอวางมือเท้าสะเอว พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองระเบิดอารมณ์ออกมา “เซี่ยไห่พาเถ้าแก่อู๋ออกไปไหน?”
ชุนฟางตอบกลับอย่างอ่อนแรง “พาเขาไปที่ห้องเต้นรำ พอออกมาจากห้องเต้นรำ ดูเหมือนเถ้าแก่คนนั้นจะขึ้นรถแท็กซี่ไปไกลแล้ว”
“ไปไกลแล้ว?” หลินเซี่ยอุทานอีกครั้ง
ชุนฟางพยักหน้า “ใช่ หลังจากเถ้าแก่เซี่ยส่งคนออกไป เขาก็เข้ามาในร้าน บอกฉันว่าเถ้าแก่คนนั้นเป็นพวกนักต้มตุ๋น ฉ้อโกงนักลงทุน และไร้ความน่าเชื่อถือ แล้วเขาก็สั่งฉันไม่ให้บอกเธอว่าเขาเคยมาที่นี่”
หลังจากที่ชุนฟางพูดจบ หล่อนก็ก้มหน้าลงต่ำด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง ไม่กล้าเงยหน้ามองหลินเซี่ย
“ชุนฟาง เธอกำลังฆ่าฉันทางอ้อมนะ”
วินาทีนั้นเธออยากจะทุบตีชุนฟางให้ตายคามือ แต่แล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเธอเป็นเจ้านาย ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ควรตะคอกใส่พนักงาน เธอจึงกัดกรามแล้วถามว่า
“เซี่ยไห่อยู่ไหน? ตอนนี้เซี่ยไห่อยู่ไหนแล้ว?”
“ฉันไม่รู้ น่าจะยังอยู่ในห้องเต้นรำ ได้ยินหลินจินซานบอกว่าระบบไฟฟ้าในห้องเต้นรำมีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาเลยหาช่างมาติดตั้งหลอดไฟใหม่ในวันนี้”
หลินเซี่ยรีบจ้ำอ้าวออกจากร้านตัดผมด้วยความโกรธสุดขีด
อาจารย์หวังรับฟังเหตุการณ์ทั้งหมด เขาบ่นกับชุนฟางว่า “แม่หนู ต่อไปนี้เธอไม่ควรเก็บซ่อนความลับอะไรจากเสี่ยวหลินทั้งนั้น พวกเราเป็นพนักงานร้านตัดผมที่หล่อนเป็นเจ้าของ ไม่ควรฟังคำสั่งของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้านาย”
ชุนฟางเสียใจอย่างยิ่ง รู้สึกรำคาญตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดโดยคิดว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูก ว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของเถ้าแก่เซี่ย ช่วยสกัดกั้น ‘เถ้าแก่นักต้มตุ๋น’ อีกแรง เผื่อว่าจะช่วยลดความสูญเสียของเจ้านายได้
หลินเซี่ยก้าวพรวดพราดเข้าไปในห้องเต้นรำ ไม่อยากนับเขาเป็นญาติอีกต่อไป
ที่ประตูร้านอาหารฝั่งตรงข้าม เซี่ยเหลยเห็นว่าท่าทางการเดินของหลินเซี่ยดูผิดปกติจากที่เคยเป็น ใบหน้าของเธอตึงเครียด ดูเหมือนอยากกินหัวใครสักคน
เขาตะโกนถามว่า “เซี่ยเซี่ย ไปห้องเต้นรำทำไมเหรอลูก?”
“จัดการคนค่ะ”
เธอรีบเข้าไปในห้องเต้นรำ กำลังจะตะคอกให้สุดเสียงว่า “เซี่ยไห่ ออกมาเดี๋ยวนี้!” แต่เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปก็เห็นว่าเซี่ยไห่ยืนอยู่บนบันไดลิง กำลังอธิบายกับช่างไฟถึงวิธีการเดินสายไฟ
ในตอนแรกหลินเซี่ยคิดจะตะโกน แต่เห็นว่าเขาปีนขึ้นไปสูงขนาดนั้นก็กลัวว่าเซี่ยไห่จะพลัดตกจากบันไดลงมาเพราะความตกใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทนรอและระงับโทสะ
หลังจากที่เธอเกิดใหม่ พื้นฐานจิตใจของเธอก็ไม่ใช่เด็กสาวอายุยี่สิบอีกต่อไป ต่อให้จะโกรธเมื่อถูกบางสิ่งกระตุ้น แต่ก็ยังพอจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้
เธอกอดอก ระงับความโกรธ รอจนกว่าให้เซี่ยไห่จะปีนลงมา
หลินจินซานกำลังช่วยงานอยู่ด้านล่าง เมื่อเขาเห็นหลินเซี่ยเข้ามา เขาก็ชี้ชวนให้ดูอย่างตื่นเต้น
“เซี่ยเซี่ย เธอนั่นเอง! ดูไฟเธคที่เราเพิ่งจะติดตั้งวันนี้สิ มันเป็นไฟเธคสีสันสดใสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุคนี้เลยนะ พอเปิดตอนกลางคืนจะยิ่งสวยงามเป็นพิเศษ คืนนี้ลองมาดูแสงสีด้วยกันที่ร้านเราสิ”
“ฉันไม่สน”
หลินจินซานเห็นว่าน้องสาวของเขาจ้องมองอย่างดุเดือดไปที่เถ้าแก่เซี่ยซึ่งอยู่บนบันไดด้วยสีหน้าไม่รับแขก เขาก็รู้สึกถึงลมหนาวยะเยือกที่พัดมาปะทะร่างกาย จนต้องก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
เขาอยากเริ่มบทสนทนาเพื่อถามไถ่ แต่ไม่กล้ายั่วยุเธอ
เขาตัดสินใจว่าจะวิ่งออกไปที่ร้านตัดผมเพื่อสืบดูว่าต้นตอความโกรธของหลินเซี่ยมาจากไหน เพื่อไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อปลาในบ่ออย่างเขา
ทันทีที่หลินจินซานออกมาถึงประตูห้องเต้นรำ เขาก็เห็นชุนฟางแอบมองอยู่ห่าง ๆ อยู่ที่หน้าประตู
สีหน้าของหลินเซี่ยเห็นได้ชัดว่าโกรธจัด ขณะที่สีหน้าของชุนฟางทั้งเคร่งเครียด และหวาดกลัว…
หลินจินซานถามหล่อนด้วยเสียงกระซิบ “ชุนฟาง เซี่ยเซี่ยเป็นอะไรไป?”
ร่างกายบอบบางของชุนฟางสั่นเทา พูดเสียงอ่อยว่า “ฉันสร้างปัญหาเข้าแล้ว”
จากนั้นเธอก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดของเหตุการณ์ให้หลินจินซานฟัง
หลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมด หลินจินซานก็มองไปที่ชุนฟางและถอนหายใจ “ชุนฟาง เธออาจจะลืมไป ต้องระลึกเสมอว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของตัวเอง เธอควรฟังคำสั่งของคนที่จ่ายเงินเดือนให้เธอเท่านั้น ถึงอารองจะเป็นผู้อาวุโส แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้านายโดยตรงของเธอ เธอเห็นดีเห็นงามกับเขาในการปิดบังเซี่ยเซี่ยแบบนี้ รู้ไหมว่าตัวเองทำผิดอย่างร้ายแรงเลย?”
“ฉันรับรู้ความผิดตัวเองแล้ว ตอนแรกฉันทำลงไปเพราะไม่ทันไตร่ตรองให้ดี”
รูปลักษณ์ภายนอกของเถ้าแก่อู๋ดูไม่เหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจจริง ๆ
ไม่ใช่เพราะหล่อนตัดสินคนจากภายนอก แต่เป็นเพราะอยู่ในโลกแคบ ๆ มานาน เถ้าแก่ใหญ่คนเดียวที่หล่อนเคยเจอก็คือเซี่ยไห่
ในความคิดของหล่อน คนที่เป็นถึงระดับเถ้าแก่ควรมีรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากเซี่ยไห่
หล่อนยอมรับความผิดพลาดของตัวเองต่อหน้าหลินจินซานอย่างน่าสงสาร ยืนตัวสั่นที่หน้าประตูห้องเต้นรำ ทั้งเสียใจ รู้สึกผิด และหวาดกลัว
ที่กลัวเหนือสิ่งอื่นใดก็คือกลัวตกงาน
เงินที่หล่อนได้รับตั้งแต่มาทำงานในร้านตัดผมของหลินเซี่ยช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เป็นรายได้เกินความคาดหมายยิ่งกว่าสมัยที่ทำงานในร้านตัดผมของรัฐ
นอกเหนือจากเรื่องเงินแล้ว หล่อนยังค้นพบคุณค่าของตัวเองเจอที่นี่ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
และได้เจอกับผู้ชายตรงหน้า…
หลินจินซานมองหญิงสาวที่หวาดกลัวมากจนเกือบจะขวัญหนีดีฝ่อ จึงปลอบหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกังวลนะ รอให้หลินเซี่ยออกมา ฉันจะยืนหยัดร้องขอโอกาสแทนเธอเอง”
“อืม”
อาจารย์หวังออกมาจากร้านตัดผม บอกเขาว่า “ร้องขอโอกาสไปก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเวลา ไม่ให้ทุกอย่างมันบานปลายไปกว่านี้”
อาจารย์หวังถามชุนฟาง “เธอรู้หรือเปล่าว่าเถ้าแก่คนนั้นไปไหนต่อ? เขาเดินทางกลับเชินเฉิงไปหรือยัง?”
ชุนฟางนึกย้อนตาม “เห็นแต่เขาขึ้นรถแท็กซี่ไป ไม่รู้เลยค่ะว่าไปไหนต่อ”
เซี่ยไห่ปีนลงมาจากบันได เห็นหลินเซี่ยยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น หน้าตาถมึงทึงเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ดวงตาที่มีความผิดของเขากะพริบเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มกว้าง “เซี่ยเซี่ย ดูไฟเธคที่ฉันเพิ่งจะติดตั้งใหม่สิ ฉันจัดหามาเองหมดเลย นี่คือไฟที่เจ๋งที่สุดในไห่เฉิงเชียวนะ”
นอกจากความโกรธแล้ว หลินเซี่ยยังวิตกกังวลมากด้วย เธอพูดด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “เซี่ยไห่ คุณพาเถ้าแก่อู๋ไปที่ไหนกันแน่?”
เซี่ยไห่รับหันคอมองไปรอบ ๆ ทันทีก่อนจะตำหนิหลานสาว “เด็กคนนี้ เดี๋ยวนี้หัดเรียกอาตัวเองด้วยชื่อจริงแล้ว ไม่คิดจะไว้หน้ากันหน่อยรึไง?”
หลินเซี่ยมองเขาอย่างเย็นชา ถามกลับว่า “ทีคุณยังไล่เพื่อนฉันออกจากร้านไปโดยพลการเลย แถมยังริอาจมาสั่งสอนให้พนักงานของฉันโกหกเจ้านายตัวเองอีก คิดว่าตัวเองไว้หน้าคนอื่นมากนักเหรอ?”
เธอถามย้ำเป็นครั้งที่สาม “บอกฉันมานะ เถ้าแก่อู๋อยู่ไหน?”
“กลับไปเชินเฉิงแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ หลินเซี่ยก็หมดความอดทน “กลับเชินเฉิงงั้นเหรอ?”
เซี่ยไห่มองหน้าเธอ พยายามเกลี้ยกล่อม “เซี่ยเซี่ย ฉันไม่มีปัญหาหาเงินมาลงทุนกับเขาจริง ๆ แต่ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ อีกหน่อยถ้าเราหาเงินได้ ค่อยกลับไปตรวจสอบแผนดำเนินโครงการของเขาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งก่อนจะลงทุนก็ยังไม่สายจริงไหม?”
“ใครเขาอยากให้คุณลงทุนกันล่ะ? คิดว่าในเมืองนี้มีแค่ตัวเองที่มีเงินถุงเงินถังหรือไง?” หลินเซี่ยให้เหตุผลกับเขา น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน “เงินคุณ คุณจะทำหรือไม่ทำอะไรมันก็เรื่องของคุณ คุณเป็นแค่อา ไม่ใช่พ่อ คิดว่าฉันอยากขู่เข็ญกรรโชกทรัพย์เอาเงินจากคุณไปลงทุนมากหรือไง? ฉันไม่ใช่คนน่ารังเกียจแบบนั้น แล้วฉันก็มั่นใจด้วยว่ารู้ขอบเขตของตัวเองดีพอ”
คำพูดของหลินเซี่ยรุนแรงพอตัว ใบหน้าของเซี่ยไห่ย่อลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าเธอวาดเส้นแบ่งกับเขาอย่างชัดเจน
เธอพูดอย่างแข็งกร้าวกับเซี่ยไห่ต่อไป “ไปตามตัวเถ้าแก่อู๋กลับมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นชาตินี้อย่าหวังเลยว่าฉันจะให้อภัยคุณ กล้าดียังไงมาตัดช่องทางทำมาหากินคนอื่นเหมือนฆ่าพ่อแม่?”
เซี่ยไห่เห็นว่าครั้งนี้หลินเซี่ยโกรธมากจนควันออกหู ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าตัวเองทำตามอำเภอใจจนเกินไป เขาไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายการตัดสินใจใด ๆ ก็ตามแทนหลานสาว
คุณแม่เซี่ยและเซี่ยเหลยเดินเข้ามาและบังเอิญได้ยินคำพูดอันรุนแรงของหลินเซี่ย คุณแม่เซี่ยจึงก้าวฉับ ๆ เข้าไปหาแล้วถามไถ่โดยเร็ว “เซี่ยเซี่ย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมพูดลามปามไปถึงพ่อแม่โน่นล่ะ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันก็น่าโมโหแหละที่อารองไปยุ่งกับเรื่องของเธอ แต่อีกแง่หนึ่งก็คืออารองเป็นห่วงกลัวเธอโดนหลอกน่ะเซี่ยเซี่ย
ไหหม่า(海馬)