ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 458 ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง
ตอนที่ 458 ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง
หลินเซี่ยกำลังยุ่งอยู่กับงานที่ร้านเสริมสวย ส่วนเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็ยุ่งอยู่กับงานที่ร้านอาหารเหมือนกัน
จนเซี่ยเหลยต้องติดป้ายว่าปิดร้านชั่วคราวบนประตูทางเข้าร้านอาหาร
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้ตั้งแต่ร้านอาหารเปิดให้บริการมา
วันนี้มีแขกผู้มีเกียรติมาทั้งที พวกเขาก็ต้องใส่ใจกันมากหน่อย จึงจำเป็นต้องปิดร้านชั่วคราว
หลิวกุ้ยอิงกำลังเตรียมอาหารขึ้นชื่อของบ้านเกิดอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งยังทำบะหมี่สูตรพิเศษขึ้นชื่ออีกด้วย
เพราะกลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาด เซี่ยเหลยจึงออกมานอกครัวกับหู่จือ คุณตากับหลานชายนั่งอยู่หน้าประตูร้านอาหารด้วยกัน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะต้อนรับเถ้าแก่อู๋อย่างดีพร้อม
เมื่อเซี่ยอวี่เสร็จงาน หล่อนก็มาพักกินข้าวที่ร้านอาหาร
พอเห็นป้ายประกาศปิดอยู่บนประตู หล่อนก็มองไปยังเหล่าคนที่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ในร้านด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ ทำไมถึงปิดร้านล่ะ? ฉันกำลังหิวเลย”
เซี่ยเหลยตอบกลับ “ไม่ว่าจะกี่โมง ร้านจะเปิดหรือไม่เปิด เธออยากกินอะไรฉันก็ทำให้ได้หมดแหละ”
เซี่ยอวี่ได้ยินสิ่งที่พี่ใหญ่พูดแล้วก็โผเข้าไปกอดแขนของเขาราวกับเด็กน้อย “พี่ใหญ่ใจดีจังเลย ฉันรู้อยู่แล้วว่าตราบใดที่พี่ใหญ่อยู่นี่ ฉันไม่มีวันอดตายแน่นอน”
นอกจากพี่ใหญ่จะกลับมาดูแลตัวเองได้แล้ว เขายังดูแลเรื่องอาหารการกินและเรื่องอื่น ๆ ให้หล่อนได้ด้วย
หลายปีมานี้ แม้หล่อนจะกลับบ้านตอนกลางดึกอยู่บ่อย ๆ แต่ทุกครั้งที่หล่อนไม่ได้กินอะไรมาเลย ก็จะเป็นพี่ใหญ่คนนี้ที่ลุกขึ้นมาทำอาหารให้เสมอ
เพราะอาชีพของหล่อนต่างจากใคร ๆ จึงต้องควบคุมน้ำหนักให้คงที่ พี่ใหญ่จึงคอยเรียนรู้การทำอาหารตามหลักโภชนาการอยู่ตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าจะทำอาหารเสริมโภชนาการให้หล่อนได้โดยไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
เมื่อหู่จือเห็นเซี่ยอวี่ เขาก็ทักทายทันทีว่า “ยายเล็ก พอดีแม่เชิญเถ้าแก่ใหญ่มากินมื้อเย็นด้วยกัน พวกเราเลยไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวนฮะ”
“เถ้าแก่ใหญ่?” เซี่ยอวี่หันไปมองภายในร้านเสริมสวยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ใช่เถ้าแก่อู๋ที่พูดถึงหรือเปล่า?”
เซี่ยเหลยพยักหน้า “ใช่แล้ว เถ้าแก่อู๋มาที่ไห่เฉิงเพื่อหารือเรื่องการร่วมลงทุนกับเซี่ยเซี่ยน่ะ”
เซี่ยเหลยพาเซี่ยอวี่เข้ามาในร้านอาหาร ปล่อยให้หู่จือคอยอยู่ข้างนอกก่อน
ในขณะที่เขาไปเตรียมอาหารให้หล่อน
“เธอให้เซี่ยเซี่ยยืมเงินสามแสนเลยเหรอ?”
เซี่ยอวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่ค่ะ ก็หล่อนบอกอยากเอาไปลงทุน”
เมื่อเซี่ยเหลยฟังจากน้ำเสียงของน้องสาวแล้ว จึงตอบกลับด้วยสีหน้ามืดมนว่า “คนหนึ่งก็กล้ายืม อีกคนก็กล้าให้ยืมเหลือเกิน”
ในประโยคเดียวกัน เซี่ยเหลยเน้นน้ำหนักเสียงที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วย แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้
เซี่ยอวี่อธิบาย “พี่ใหญ่ เรื่องนี้จะโทษฉันไม่ได้นะ ฉันทำไปก็เพื่อพี่ไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้ครอบครัวของเราไม่เคยเลี้ยงดูส่งเสียอะไรเซี่ยเซี่ยเลยนี่? ตอนนี้เมื่อหล่อนมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ในฐานะอาคนหนึ่ง ฉันก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว จะให้ปฏิเสธได้ยังไง? ใช่ว่าฉันไม่มีเงินให้หล่อนยืมสักหน่อย”
หล่อนพูดเสริมว่า “อีกอย่าง ที่ฉันไม่ได้บอกพี่ก็เพราะหล่อนขอให้เก็บเป็นความลับก่อน”
หลังจากเซี่ยอวี่อธิบาย
หล่อนถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงขั้นปิดร้านชั่วคราวเพื่อต้อนรับเถ้าแก่อู๋เช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาสนับสนุนการลงทุนของลูกสาวจริง ๆ
พวกเขาไม่ควรตำหนิเธอ แต่ควรขอบคุณเธอให้มากต่างหาก
ถ้าการลงทุนครั้งนี้ทำกำไรได้จริงล่ะ?
หล่อนก็จะกลายเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง
ไม่นานคุณแม่เซี่ยก็ออกมาจากห้องครัว แล้วพูดกับเซี่ยเหลยว่า “เซี่ยเซี่ยจะรับผิดชอบเรื่องที่หล่อนขอยืมเงินจากน้องสาวของลูกเอง ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้ว สองคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เซี่ยเซี่ยกับเจียเหอต้องช่วยกันรับผิดชอบอยู่แล้วถ้ามันสูญเปล่า อีกเดี๋ยวเถ้าแก่ก็จะมาถึงแล้ว เราควรเตรียมตัวต้อนรับเขา ที่เหลือก็ปล่อยให้คนหนุ่มสาวพูดคุยกันเอง”
คุณแม่เซี่ยชื่นชมความกล้าหาญของหลานสาวเป็นอย่างมาก นางเป็นแม่บ้านมาตลอดชีวิต ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับความยากลำบากและไม่ได้มีความสามารถในการหารายได้มากนัก ทำให้ลูก ๆ ต้องกัดก้อนเกลือกินไปด้วยกัน นางจึงคิดว่าหลานสาวควรได้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล ในเมื่อหลานสาวกล้าลุกขึ้นมาหาเงินด้วยตัวเองและพยายามอย่างเต็มที่แบบนี้ นางก็ยินดีให้การสนับสนุนเต็มที่
เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ ผู้หญิงจึงประกอบอาชีพในสังคมได้แค่ไม่กี่อย่าง และด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ นี้เอง การที่ผู้หญิงบริหารจัดการธุรกิจด้วยตัวเองจึงยากกว่าผู้ชายเสมอ
ผู้หญิงหลายคนต่างได้รับอิทธิพลจากค่านิยมดั้งเดิมนี้ พวกหล่อนล้วนมีความคิดคับแคบว่าหลังจากแต่งงานแล้ว พวกหล่อนควรอยู่แต่ในบ้านเพื่อเลี้ยงลูก ปรนนิบัติสามี และดูแลผู้สูงอายุ ทั้งยังต้องคอยสนับสนุนคนทั้งครอบครัวอีก
ถ้าได้เจอกับสามีที่มีความรับผิดชอบก็ดีไป อย่างน้อยเขาก็มีเวลาอยู่กับหล่อนและลูก ๆ ถือว่าเป็นชีวิตที่สุขสบายไม่น้อย
ไม่เหมือนกับนางที่ได้ลงเอยกับผู้ชายใจร้ายและไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความสามารถแม้แต่จะเลี้ยงตัวเองให้รอด พวกนางและลูก ๆ จึงทำได้แค่ทนทุกข์ทรมาน
เซี่ยเหลยพูดว่า “แม่ เราต้องช่วยกันต้อนรับเขาให้ดี แต่ในฐานะพ่อแม่แล้ว
เราก็ต้องคอยสอดส่องเถ้าแก่คนนี้ด้วย เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่การลงทุนเล็ก ๆ
น้อย ๆ เลย”
“เจียเหอไปติดต่อกับเพื่อนที่เป็นทนายเพื่อขอคำปรึกษาหรือยัง? ถ้าเจียเหอจัดการแล้ว เราก็วางใจได้มากขึ้น”
“อืม เรื่องการลงทุนได้รับการตรวจสอบจากทนายหมดแล้ว ตอนนี้เราแค่สังเกตบุคลิกของเถ้าแก่ให้ดีก็พอ ตราบใดที่เขามีความน่าเชื่อถือ เรื่องธุรกิจก็ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่”
เซี่ยอวี่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนมากนัก แต่รู้วิธีอ่านใจคน
เซี่ยเหลยถามน้องสาวว่า “เสี่ยวอวี่ เธออยากกินอะไรล่ะ? เดี๋ยวฉันทำให้
อีกเดี๋ยวจะต้องเตรียมอาหารให้แขก”
เซี่ยอวี่พูดว่า “ยังไม่กินตอนนี้ก็ได้ ไว้กินพร้อมกับเถ้าแก่แล้วกัน ฉันอยากจะดูก่อนว่าเถ้าแก่คนนี้เป็นคนแบบไหน เซี่ยเซี่ยถึงได้เชื่อใจเขา ยอมเป็นหนี้ฉันตั้งสามแสนเพื่อเอาเงินไปลงทุน”
เซี่ยอวี่กลัวว่าหญิงชราจะพูดจาจู้จี้จุกจิก จึงข้ามฝั่งไปที่ร้านเสริมสวยเพื่อตามหาหลินเซี่ย
ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้ปิดร้านแบบนี้ เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงจึงเพลิดเพลินกับการทำอาหารอร่อย ๆ ทั้งยังทำไข่เจียวสองฟองให้หู่จือ แน่นอนว่าหู่จือร้องเรียกตายายเสียงใสและก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย
เวลานี้คุณแม่เซี่ยก็เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อแขนสั้นสีดำ กำลังมองไปรอบ ๆ
ประตูร้านอาหาร
นางออกไปหา และกล่าวขอโทษชายที่อยู่หน้าประตูว่า “ขอโทษด้วยนะคะ
ตอนนี้ร้านเราปิดแล้วค่ะ”
เถ้าแก่อู๋ยิ้มและพูดว่า “สวัสดีครับ พอดีผมมาที่นี่ตามนัดของหลินเซี่ย ไม่ทราบว่าหล่อนอยู่ที่ร้านหรือเปล่า?”
สีหน้าของคุณแม่เซี่ยสดใสขึ้นเล็กน้อย “มาหาเซี่ยเซี่ยเหรอคะ?”
เมื่อเซี่ยเหลยได้ยินเสียงพูดคุยของแม่จึงเดินตามออกมา พลางมองไปยังชายตรงหน้าซึ่งน่าจะอายุพอ ๆ กันกับเขา ถามว่า “คุณใช่เถ้าแก่อู๋หรือเปล่าครับ?”
อู๋เซิ่งหงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับใช่ ผมอู๋เซิ่งหง เป็นสหายของเสี่ยวหลินเองครับ”
เซี่ยเหลยกล่าวเชิญเขาอย่างสุภาพ “เชิญเข้ามาก่อนเลยครับ”
อู๋เซิ่งหงเดินตามพวกเขาเข้าไปในร้านอาหาร หลิวกุ้ยอิงรีบเสิร์ฟชาอย่างรวดเร็ว ส่วนเซี่ยเหลยพาเขาไปยังโต๊ะที่เตรียมไว้แล้วนั่งลง
คุณแม่เซี่ยพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่อู๋ นั่งรอสักครู่ก่อนนะคะ พอดีเซี่ยเซี่ยกำลังยุ่งอยู่ที่ร้านเสริมสวย เดี๋ยวฉันจะไปเรียกหล่อนให้”
ดูเหมือนหู่จือจะรู้งานเป็นพิเศษ หลังคุณแม่เซี่ยพูดแบบนั้นเขาก็โพล่งขึ้นว่า “ย่าทวดฮะ เดี๋ยวผมไปเรียกแม่เอง”
หลังจากหู่จือพูดจบ เขาก็วิ่งออกไป
อู๋เซิ่งหงเหลือบมองเด็กน้อยที่วิ่งจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส
เขาเป็นลูกของเสี่ยวหลินเองเหรอ?
อืม…
…
หลินเซี่ยยังทำผมให้ลูกค้ามือเป็นระวิง ช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้เข้าร้าน
เมื่อแวะเข้ามาในวันนี้ ลูกค้าหลายคนต่างก็ร้องขอให้เธอเป็นคนทำผมให้
ช่วงบ่ายวันนี้เธอจึงมีงานยุ่งมากทีเดียว
หู่จือวิ่งเข้ามา ตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “แม่ครับ เถ้าแก่มาแล้ว และถามถึงแม่ด้วย”
“จริงเหรอ?” หลินเซี่ยมองไปทางหู่จือที่วิ่งเข้ามา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวนี้ยิ่งโตยิ่งรู้ความมากขึ้นทุกทีเลยนะเจ้าลูกชาย”
หู่จือมีความสุขมากเมื่อได้รับคำชม รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ
ที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ได้ก็รู้สึกประสบความสำเร็จในแบบที่ใคร ๆ
อาจไม่เข้าใจ
เซี่ยอวี่ที่กำลังอ่านนิตยสารเกี่ยวกับเทรนด์ความงามได้ยินคำพูดของหู่จือ หล่อนก็เงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย
หลินเซี่ยพูดว่า “คุณอา เถ้าแก่อู๋มาแล้วค่ะ”
เซี่ยอวี่ลุกขึ้นยืน “เธอทำงานต่อไปเถอะ ฉันจะไปรับรองเขาเอง” เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเถ้าแก่ที่กำลังจะร่วมมือทางธุรกิจกับหลานสาว หล่อนจึงต้องตามไปดูให้แน่ใจ
เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองตัดสินใจถูก
ถึงอย่างไรหลานสาวของหล่อนก็เป็นแค่เด็กสาวที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยทำงาน จึงต้องเปิดตาให้กว้างเพื่อรับมือกับคนแก่แบบนี้
สำหรับตัวหล่อนเอง คนที่เข้ามาเกี่ยวพันวุ่นวายในชีวิตของหล่อนเมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือพวกนักธุรกิจนี่แหละ
ไม่ว่าจะเชื่อถือได้หรือไม่ ดวงตาอันเฉียบแหลมของหล่อนสามารถบอกได้ทันทีว่าจริงหรือปลอม
เซี่ยอวี่สางเส้นผมยาวสลวย วางแผนระหว่างเดินเข้าไปในร้านอาหาร
หลินเซี่ยมองรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์ของเซี่ยอวี่ ริมฝีปากของเธอพลันกระตุกเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “คุณอา เถ้าแก่อู๋เขาอ่อนประสบการณ์เรื่องผู้หญิง อย่าไปทำให้เขากลัวเชียวนะคะ”
เซี่ยอวี่ยิ้มมุมปาก “อ่อนประสบการณ์เหรอ? ไม่ว่าจะอ่อนหรือแก่ ฉันจะรับรู้เองหลังจากได้คุยกับเขา”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หลานสาวคนเดียวของบ้านได้ลงทุนใหญ่ ทั้งครอบครัวร่วมมือร่วมใจกันสกรีนคนใหญ่เลย
ไหหม่า(海馬)