ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 461 โรงกลั่นสุราหลิวจี้
ตอนที่ 461 โรงกลั่นสุราหลิวจี้
เถ้าแก่อู๋ดื่มสุราหอมหมื่นลี้หอมหวานสองแก้วติดต่อกัน แต่เขาก็ยังไม่หนำใจ ตอนนี้เขาไม่วางตัวสุขุมและเป็นทางการอีกต่อไปแล้ว แต่ทำเหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อน หยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วพูดว่า “ผมจะดื่มอีกแก้ว”
เถ้าแก่อู๋ไม่เพียงแต่จะรินให้ตัวเองเท่านั้น ยังรินเผื่อเซี่ยไห่อีกด้วย
เซี่ยไห่เองก็ชอบดื่มสุราหอมหมื่นลี้นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินเถ้าแก่อู๋บอกว่าสุราดอกกุ้ยฮวาที่พวกเขาดื่มยังไม่ใช่สุราดอกกุ้ยฮวาที่บริสุทธิ์ที่สุด จึงถามอย่างสงสัย “เถ้าแก่อู๋ คุณบอกว่าสุราดอกกุ้ยฮวาของโรงงานหลิวจี้ดีกว่าของร้านเราอีกเหรอ? รสชาติต่างกันยังไง? ช่วยบอกที่อยู่เฉพาะของโรงกลั่นสุราหลิวจี้ให้ผมรู้หน่อยสิ ผมกำลังคิดว่าจะสั่งซื้อสุราดอกกุ้ยฮวาของแท้มาขายในห้องเต้นรำและห้องร้องคาราโอเกะอยู่พอดี”
คนที่มาร้องเพลงโดยพื้นฐานแล้วมักจะสั่งของมึนเมาสารพัดอย่าง ถ้าได้สุราหอมหมื่นลี้หอมหวานมาบรรจุใส่ขวดดี บางทีอาจมีรสชาติดีกว่าสุราของต่างประเทศด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เข้มข้นเท่าใด
เมื่อพูดถึงโรงกลั่นสุราหลิวจี้ อู๋เซิ่งหงก็ถอนหายใจ “โรงกลั่นสุราหลิวจี้เคยเป็นที่หนึ่งของการผลิตสุราดอกกุ้ยฮวาก็จริง แต่หลังจากชายชราตายไป ลูกชายของเขาที่ได้รับมรดกกลับบริหารกิจการล้มเหลว คุณภาพสุรานับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ตอนนี้ดูเหมือนเขาทำสุราให้เก็บได้นานไม่ได้ด้วยซ้ำ”
พอหลิวกุ้ยอิงได้ยินคำพูดของอู๋เซิ่งหง ใบหน้าของหล่อนก็ซีดเซียว มือที่ตกห้อยอยู่ข้างตัวสั่นเทาเล็กน้อย ถามอู๋เซิ่งหงว่า “เถ้าแก่คนเก่าของโรงกลั่นสุราหลิวจี้เสียตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?”
อู๋เซิ่งหงตอบ “ตายไปตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วแล้วมั้ง?”
อู๋เซิ่งหงที่กระดกสุราเข้าไปสองแก้ว ตอนนี้เริ่มเป็นกันเองและกลายเป็นคนพูดมาก ความทรงจำบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในใจ จนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ “น่าเสียดายจริง ๆ ว่ากันว่าตั้งแต่ลูกสาวของเขาออกจากบ้านไป สุขภาพของชายชรานับวันก็ยิ่งทรุดโทรมลง”
“ตอนที่ผมยังทำงานอยู่ที่บ้านของเขา ผมเห็นเขานั่งซึมเศร้าเหมือนคนอมทุกข์ตลอดทั้งวัน ผมพักอยู่ร่วมชายคากับเขานั่นแหละ นอนเป็นเพื่อนเขาในกระท่อม คืนหนึ่งเขาเล่าให้ผมฟังว่าเขามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง เก่งเรื่องบ่มสุรายิ่งกว่าใคร ๆ แต่ลูกชายกลับถีบหัวส่งลูกสาวของเขาออกจากบ้าน เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงหรืออะไรสักอย่าง ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น สรุปก็คือโรงกลั่นสุราหลิวจี้ขณะนี้อยู่ในสภาพตกต่ำ เราคงไม่มีโอกาสได้ดื่มสุราดอกกุ้ยฮวาบริสุทธิ์แบบนั้นได้อีก เว้นเสียแต่ว่า…”
เซี่ยไห่ถามอย่างใครรู้ “เว้นเสียแต่อะไร?”
อู๋เซิ่งหงตอบ “เว้นเสียแต่คุณจะตามหาลูกสาวคนนั้นของเถ้าแก่หลิวจนเจอ หล่อนเป็นคนเดียวที่ได้รับมรดกแท้จริงมาจากเถ้าแก่หลิว แต่หลังจากผ่านมานานหลายปี ไม่รู้ว่าป่านนี้หล่อนจะยังจำกรรมวิธีกลั่นสุราได้อยู่หรือเปล่า”
หลิวกุ้ยอิงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป ยกมือขึ้นปิดปากแล้ววิ่งหนีเข้าไปที่ห้องครัว
เซี่ยเหลยเห็นแบบนั้นจึงวิ่งตามไปด้วย
อู๋เซิ่งหงสังเกตว่าจู่ ๆ คนร่วมโต๊ะอาหารสองคนก็วิ่งเข้าไปในครัว เขาจึงถามอย่างมึนงงว่า “ผมพูดอะไรผิดไปเหรอ?”
หลินเซี่ยเหลือบมองไปทางห้องครัวแล้วส่งยิ้มให้เขา “เปล่าหรอกค่ะ เถ้าแก่อู๋ยังไม่ได้กินผักใช่ไหมล่ะคะ พ่อแม่ฉันอาจจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีผักอยู่ในหม้อ”
คุณแม่เซี่ยและเซี่ยอวี่ก็มองไปทางห้องครัวเช่นกัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่อู๋เซิ่งหงพูดเกี่ยวกับโรงกลั่นสุราหลิวจี้ ประกอบกับปฏิกิริยาของหลิวกุ้ยอิง พวกเธอก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้
โลกนี้กลมกว่าที่คิดไว้มาก
นอกจากแรงดึงดูดระหว่างผู้คน โชคชะตาเกี่ยวพันระหว่างผู้คนก็น่าทึ่งมากเช่นกัน
อู๋เซิ่งหงรินสุราอีกแก้วให้ตัวเอง จากนั้นก็ยืนกรานที่จะดื่มอวยพรให้หลินเซี่ย “เสี่ยวหลิน ขอบคุณมากที่ไว้วางใจผม ขอบคุณสำหรับความตั้งใจที่จะลงทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งหง ผมให้สัญญาว่าจะไม่ทรยศความไว้วางใจของคุณอย่างแน่นอน พอโครงการเริ่มดำเนินการ ในเวลานั้น คุณ เสี่ยวเฉิน เถ้าแก่เซี่ย และคุณเซี่ยต้องไปเข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ที่เชินเฉิง คุณกับเถ้าแก่เซี่ยต่างก็เป็นผู้ถือหุ้นทั้งคู่ ดังนั้นรอรับเงินปันผลในอนาคตได้เลย”
หลินเซี่ยชนแก้วกับเขา “ค่ะ พวกเราไปแน่”
หลังจากเซี่ยไห่ได้ยินคำพูดของอู๋เซิ่งหง เขาก็มองไปที่อู๋เซิ่งหงด้วยความตกใจสุดขีด จากนั้นหันขวับมองไปที่หลินเซี่ย “ลงทุน? หมายความว่าไง?”
เขามองไปที่หลินเซี่ยแล้วถามย้ำ “เธอเนี่ยนะลงทุนกับเขา?”
พวกเขาลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว หลินเซี่ยแน่ใจว่าเซี่ยไห่ไม่มีสิทธิ์มาก่อปัญหาใด ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป “ใช่ ฉันลงทุนแล้ว เถ้าแก่อู๋และฉันถือเป็นหุ้นส่วนกันนับจากนี้ไป สำหรับโครงการหมู่บ้านถวนเจี๋ย คุณมีที่ดินเป็นหุ้นส่วน ฉันก็มีเงินเป็นหุ้นส่วนเหมือนกัน แต่มีอำนาจในการตัดสินใจร่วมกับเจ้าของโครงการแบบครึ่งต่อครึ่ง หมายความว่าฉันกับเถ้าแก่อู๋จะร่ำรวยไปพร้อมกัน”
อู๋เซิงหงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใช่แล้ว เราช่วยกันสร้างโชคลาภ”
เซี่ยไห่หรี่ตาลงแล้วถามว่า “เธอลงทุนไปเท่าไหร่?”
หลินเซี่ยเหยียดนิ้วสามนิ้วออก
เซี่ยไห่หัวเราะเยาะ “สามหมื่นหยวนเหรอ?”
อู๋เซิ่งหงแก้ไขคำพูดของเซี่ยไห่ “บวกศูนย์เข้าไปอีกหนึ่งหลัก”
“สามแสน?” ดวงตาของเซี่ยไห่เบิกกว้าง จากนั้นก็กระแทกโต๊ะอย่างแรงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเห็นว่าเขาแสดงท่าทางหยาบคายเกินไป เซี่ยอวี่ก็กลอกตามองเขา “ทำไม? นายเป็นนักธุรกิจประสาอะไรไม่เคยเห็นเงินสามแสน? มันน่าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เซี่ยไห่ “…”
แน่นอนว่าเขาเคยเห็นเงินสามแสน แต่ไม่เคยเห็นใครกล้าเอาเงินสามแสนไปใช้จ่ายสิ้นเปลืองมาก่อน
เซี่ยไห่จ้องไปที่หลินเซี่ยแล้วถามคาดคั้น “เธอไปเอาเงินสามแสนมาจากไหน? เธอกับเฉินเจียเหอรีดเลือดไปขายหรือไง?”
หลินเซี่ย “!!!”
ถ้าเลือดของเธอมีมูลค่าแบบนั้นจริง ๆ เธอคงหาทางขายไปนานแล้ว
เธอสบตากับเซี่ยไห่ที่แทบจะกระโจมข้ามโต๊ะมาบีบคอ ตอบกลับนิ่ง ๆ “อารอง ถ้าไม่อยากสูญเสียหลานสาวไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ก็ทำใจให้เย็นแล้วนั่งลงซะ”
เซี่ยไห่จึงต้องนั่งลงอีกครั้ง ถามอย่างไม่เต็มใจ
“ขั้นตอนความร่วมมือไปถึงไหนกันแล้วล่ะ?”
อู๋เซิ่งหงกำลังจะตอบ แต่หลินเซี่ยชิงยอกย้อนเขาเสียก่อน “เซ็นสัญญาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่งั้นจะมาจัดงานเลี้ยงฉลองกันที่นี่ทำไม?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยไห่ก็ลูบขมับและกัดฟันกรอด “เธอมันเจ้าเล่ห์”
จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงอีกครั้งและมองไปที่เซี่ยอวี่ราวกับจะถาม
เซี่ยอวี่กลอกตามองเขาด้วยความรังเกียจ “มองฉันทำไม? ก้มหน้าก้มตากิน เหล้าของตัวเองไป อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามตอนนี้”
ขณะนั้นเอง เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็เดินออกมาพร้อมกับกาน้ำชา
สีหน้าท่าทางของหลิวกุ้ยอิงกลับมาเป็นปกติ หล่อนรินชาให้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่เซี่ยรับหน้าที่อธิบายด้วยรอยยิ้มแทน
“พวกคุณดื่มหนักกันไปพอสมควร หลังดื่มแล้วต้องดื่มชาล้างท้องหน่อย ไม่งั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ทุกคนนั่งดื่มชาและพูดคุยกันต่ออีกสักพัก พอมื้ออาหารเสร็จสิ้น อู๋เซิ่งหงก็ขอตัวกลับไปที่โรงแรม เซี่ยไห่เองก็ดื่มจนเริ่มมึน ไม่สามารถขับรถไปไกล ๆ ได้ เขาเรียกหลินจินซานออกมาจากห้องเต้นรำ และขอให้เขาช่วยไปส่งอู๋เซิ่งหงกลับที่พัก
ล่าสุด เซี่ยไห่ต้องการมุ่งเน้นฝึกฝนทักษะหลาย ๆ ด้านให้กับหลินจินซาน เริ่มจากการสอนเขาขับรถ ถ้าเขาขับรถบรรทุกขนาดเล็กได้ การขับรถยนต์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
คุณแม่เซี่ยหยิบกล่องอาหารที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วยัดใส่มือของเซี่ยอวี่ แล้วผลักหล่อนออกไป “ลูกก็รวดขึ้นรถไปด้วยเลย ให้จินซานพาไปส่งอาหารให้เย่ไป๋ที่โรงพยาบาลซะ”
เซี่ยอวี่ปฏิเสธ “ไม่ต้องก็ได้ค่ะ ดึกป่านนี้เขาคงกินข้าวมื้อเย็นไปแล้วล่ะ”
“กินมื้อเย็นแล้วก็ต้องให้เขากินของว่างตอนดึกด้วย ไม่ว่ายังไงลูกก็ต้องไปโรงพยาบาล ถือว่าแสดงน้ำใจให้เสี่ยวเย่เขาหน่อย เด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บหนักเพราะลูกจนกลับบ้านไม่ได้ อยู่แต่ในโรงพยาบาลคนเดียวเงียบเหงาจะตายชัก หัดเรียนรู้ที่จะมีน้ำใจหน่อย”
เซี่ยอวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าไปในรถ
เซี่ยอวี่ไม่มีอารมณ์จะแกล้งอู๋เซิ่งหงเล่นอีกต่อไป นั่งกอดอกอยู่ที่เบาะหลังด้วยสีหน้าเย็นชา
หลินจินซานจอดรถตรงทางเข้าโรงพยาบาลก่อน อำนวยความสะดวกให้เซี่ยอวี่
เขาไม่ลืมกำชับกับเซี่ยอวี่ว่า “คุณอา ไว้ผมจะย้อนกลับมารับคุณหลังจากที่ผมส่งเถ้าแก่อู๋เสร็จนะครับ”
“ตกลง”
หลินจินซานเตือนอย่างเป็นกังวล “คุณอยู่แต่ในโรงพยาบาลนะ อย่ารีบร้อนออกมา ผมจะเข้าไปรับคุณเอง”
“เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
เซี่ยอวี่ตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยของเย่ไป๋
ผลก็คือไม่มีใครอยู่ที่นั่น
ดังนั้นหล่อนจึงสอบถามจากพยาบาลที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่ง พยาบาลสาวมองผู้หญิงที่สวมแว่นกันแดดและสวมหน้ากากปิดหน้า ถามว่า “คุณคงเป็นแฟนของหมอเย่สินะคะ?”
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา”
“โอ้ ลูกพี่ลูกน้องนี่เอง” พยาบาลสาวพูดต่อ “ฉันเพิ่งย้ายมาทำงานที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน เจอหมอเย่พักฟื้นในห้องนี้แค่ครั้งเดียว เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วล่ะค่ะ”
เซี่ยอวี่ถาม “เขาออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ? ไหนว่าเขายังต้องให้ยาอยู่ไง? เขาไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหรอคะ?”
พยาบาลสาวมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น จึงพูดกับเซี่ยอวี่ที่ปิดหน้าปิดตามิดชิดด้วยเสียงกระซิบ “ฉันจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้ค่ะ ได้ยินมาว่าเขาจะขึ้นมานอนที่ห้องนี้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ก็คือช่วงที่แฟนเขามาส่งอาหาร ที่จริงเขาเลยกำหนดให้ยาแล้วค่ะ เข็มที่เขาปักเข้าหลังมือคือกลูโคส พอแฟนเขาจากไป เขาก็ดึงเข็มออกแล้วโดดลงเตียงไปทำงาน พวกเราหัวเราะกันแทบแย่ หมอเย่หล่อขนาดนี้ จำเป็นต้องจัดฉากน่าสงสารเพื่ออ้อนแฟนแบบนี้เลยเหรอ? อยากรู้จังว่าแฟนเขาคือใคร ฮิๆ”
ดวงตาของเซี่ยอวี่ภายใต้แว่นกันแดดเย็นชา “ขอบคุณค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
หล่อนหิ้วกล่องอาหารตรงไปยังแผนกศัลยกรรมประสาทที่เย่ไป๋ทำงานอยู่
อยากบุกเข้าไปที่ห้องพักแพทย์เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าเขาอยู่ที่นั่นจริงไหม
หล่อนเคยเข้าไปครั้งหนึ่งตอนที่เสิ่นอวี้หลงยังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนี้ จึงคุ้นทางไปห้องทำงานของเย่ไป๋
ทันทีที่หล่อนมาถึงประตู ก็บังเอิญสวนทางกับเย่ไป๋ซึ่งเพิ่งออกมาจากห้องทำงานพอดี เย่ไป๋ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้ว เหลือเพียงกางเกงขายาวสีดำและเสื้อเชิ้ตสีดำ ดูเคร่งขรึมและสง่างาม
เมื่อเขาเห็นว่าคนที่มาคือเซี่ยอวี่ เขาก็ดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
สายตาของเขาจ้องมองไปที่กล่องอาหารในมือของเซี่ยอวี่ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มาส่งข้าวให้ผมเหรอ? ผมยังไม่ได้กินข้าวพอดีเลย”
เขาเดินไปหมายจะหยิบกล่องอาหารจากมือของเซี่ยอวี่ แต่เซี่ยอวี่กลับหลบเลี่ยง
ไม่รู้ว่าหล่อนทำแบบนั้นทำไม จึงถามกลั้วหัวเราะ “ทำไมล่ะ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่เซี่ยเซี่ยต้องกลับไปรันกิจการครอบครัวสืบต่อจากพ่อแล้วหรือเปล่านะ
หมอเย่โป๊ะแล้วนะคะ เตรียมง้อคุณดารายาวๆ เลย
ไหหม่า(海馬)