ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 468 ต้องจีบหล่อนให้ได้
ตอนที่ 468 ต้องจีบหล่อนให้ได้
ลินดาหันกลับมาอย่างไม่แน่ใจ “อิจฉาอะไร?”
เซี่ยอวี่มองไปข้างหน้าพร้อมเผยสีหน้าวาดฝัน “ไม่ใช่ว่าพวกเราควรจะดำเนินชีวิตช้าลงสักหน่อย แล้วใช้ชีวิตแบบคนปกติหรือ?
“แล้วชีวิตของพวกเราไม่ปกติหรือ?” ลินดามองหล่อนด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี
อยู่ในวงการการแสดงมานานหลายปี ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานให้กับคนอื่น จนกระทั่งทุกวันนี้ที่พวกหล่อนร่วมหุ้นกันก่อตั้งบริษัทของตนเอง ทั้งตอนนี้ยังย้ายหน้าที่การงานมายังเมืองไห่เฉิง พวกหล่อนล้วนเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ
ชีวิตเช่นนี้ไม่ปกติตรงไหนกัน?
หากว่ามี ก็คงเป็นการที่พวกหล่อนทำในสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนอยากทำหรือทำไม่ได้
แต่หากให้บอกว่าตรงไหนไม่ปกติ นั่นก็คือพวกหล่อนแตกต่างจากแม่บ้านส่วนใหญ่ที่แต่งงานมีลูกและถูกผูกติดไว้ก้นครัว
พวกหล่อนไม่ละทิ้งความฝัน ไม่เคยหมดหวังในตัวเอง
แต่ถ้ามองในแนวคิดแบบดั้งเดิมแล้ว ก็นับว่าผิดปกติจริง ๆ
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาราวกับเครื่องจักรไร้อารมณ์ของลินดา เซี่ยอวี่ก็มองมาพร้อมเอ่ยถาม “เธอไม่เหนื่อยหรือ?”
ลินดาชำเลืองมองหล่อน ไม่เข้าใจกับคำถามของหล่อนเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหญิงสาวจะเอ่ยตอบว่า “เวลาที่เหนื่อยล้าก็สามารถพักผ่อนได้ พักแล้วก็ลุกขึ้นมาต่อสู้กับงานต่อ เธอคิดว่าหากเปลี่ยนวิถีชีวิตและเปลี่ยนงานแล้วจะไม่เหนื่อยงั้นหรือ? เช่นนั้นแล้วคนกวาดถนนที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าตรู่ก็ไม่เหนื่อยงั้นสิ? แม่ที่ต้องกล่อมลูกกลางดึกเหนื่อยไหม? เธอลองไปถามหมอเย่ดูว่าเขาเหนื่อยไหมที่วัน ๆ หนึ่งต้องตรวจรักษาคนใครหลายสิบคน? หากจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากกินนอน นั่นถือเป็นพฤติกรรมของหมู ฉันเป็นคน ฉันต้องทำในสิ่งที่คนเขาทำกัน ความเหนื่อยล้าเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่”
เซี่ยอวี่ “…”
หล่อนยอมแพ้ในการหารือกับลินดา โบกมือให้อีกฝ่ายขับรถไปเสีย “เอาล่ะ ทำเหมือนว่าฉันไม่ได้ถามแล้วกัน”
ลินดามองหล่อนด้วยสายตาจริงจัง แล้วตีหล่อน
“เซี่ยอวี่ ฉันไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเธอ หากเธอรู้สึกเหนื่อย พวกเราทำอะไรช้าลงหน่อยก็ได้ เธอสามารถมีชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยความรักความรู้สึกได้ แต่จะกลายเป็นพวกบูชาความรักไม่ได้ เธอเองเป็นแม่บ้านไม่ได้หรอก ภารกิจของเธอไม่ได้อยู่หน้าเตาไฟ แต่อยู่บนเวทีท่ามกลางแสงสปอตไลท์ ดังนั้นอย่าได้สร้างเรื่องวุ่นวายให้ฉันเลย”
“เธอคิดไปถึงไหนน่ะ?” เซี่ยอวี่กล่าว “ฉันแค่คิดว่า ในสายตาของเราสองคนมีแต่งานเต็มไปหมด ช่างน่าเบื่อไร้ความหมาย หาเงินมาก็ไม่ได้เอาไปใช้ชีวิตให้สนุก เพราะแบบนี้ ฉันก็เลยอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตก็เท่านั้น”
“ได้ เธอคบหาเย่ไป๋และแต่งงานได้โดยไม่มีปัญหา แต่เธอต้องสัญญากับฉันก่อนว่าจะไม่ซึมเซาในเรื่องการทำงาน หลายปีมานี้ฉันทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอมาถึงจุดนี้ ทั้งยังไม่มีศิลปินคนอื่นที่ดูแลอีกแล้ว หากเธอลาออก ฉันก็จะตกงานเหมือนกัน”
ใบหน้าของลินดาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและกังวล เซี่ยอวี่ยกยิ้ม ก่อนเอ่ยให้หล่อนสบายใจ “อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ได้โง่ขนาดที่จะยอมสละอาชีพของตัวเองเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง”
“แต่ว่าเธอเองก็อย่าถือทิฐินัก คิดถึงเรื่องส่วนตัวให้มากหน่อย พวกเราไม่ต้องทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก็หาเวลาออกไปมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากที่เคยเป็นเถอะ”
ลินดาเอ่ยเสียงเรียบราวเครื่องจักร “ฉันทำงานก็เพื่อเสพสุข”
เซี่ยอวี่กลอกตาอย่างหมดคำพูด “เธอน่ะแก้ไม่หายแล้ว ทั้งเธอและเซี่ยไห่ต่างก็หัวรั้นกันทั้งคู่”
……..
เมื่อคืนนี้เซี่ยอวี่นอนไม่หลับ ส่งผลให้เช้ามาใต้ตาคล้ำเหมือนตาหมีแพนด้า และแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน ทว่าคืนนี้หล่อนก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้
หัวใจของหล่อนสับสนวุ่นวาย ทั้งยังวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียง กลัวว่าหากมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นแล้วจะไม่ได้ยิน
น่าเสียดายที่เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด
หล่อนอยากโทรศัพท์ไปหาเขา แต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะกำลังยุ่งอยู่
หล่อนหมุนโทรศัพท์ไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วไปล้างเครื่องสำอางและมาส์กหน้า
การที่หล่อนทำเช่นนี้กับตัวเองออกจะน่าหัวเราะเยาะอยู่ไม่น้อย
เรื่องความสัมพันธ์รักใคร่จะน่าสนใจก็ต่อเมื่อคนอื่นพูดกันจริง ๆ
ยามเห็นเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยหวานชื่นและรักกันมากในทุกวัน หัวใจวัยรุ่นของคนรุ่นป้าอย่างหล่อนก็พลันถูกเปิดใช้งาน และเมื่อตัวเองมาถึงจุดนี้ หล่อนก็วิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตนเอง เอาแต่คาดเดาไปมา
ความรู้สึกนี้ช่างทรมานและน่ารำคาญ มิสู้เอาเวลาไปสนใจกับงานดีกว่าเลยจริง ๆ
หล่อนหัวเราะอย่างขมขื่น จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย หลังจากมาส์กหน้าเสร็จแล้วก็เตรียมเข้านอน
หล่อนใช้ใบหน้าหากิน และในช่วงวัยนี้จะต้องไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดจนมารบกวนการนอนหลับพักผ่อน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความงามของหล่อน
หล่อนคิดประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ว่า “ของบางอย่างในชีวิต หากได้มาถือไว้นับเป็นโชคดี แต่หากเสียไปก็นับว่าเป็นโชคชะตา”
และเพียงพริบตาก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป
……….
ห้องของเซี่ยอวี่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่หน้าบ้าน ระหว่างที่นอนหลับอยู่ในอาการสะลึมสะลือ หล่อนก็เหมือนจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์อยู่แว่วๆ หล่อนคลุมโปงเพื่อขจัดเสียงรบกวนที่ส่งผลต่อการนอนหลับของตัวเอง แล้วหลับลึกไปอีกครั้ง
ตอนนี้ในเวลาตีสามครึ่ง มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านตระกูลเซี่ย ก่อนร่างหนึ่งจะลงมาจากมอเตอร์ไซค์คันนั้น แสงจันทร์และไฟถนนสาดไปยังร่างชายหนุ่มคนนั้น เงาของเขาทอดยาวไปบนพื้น
เย่ไป๋ลากร่างอันเหนื่อยล้ามาพิงอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมา
เขากำลังจะกดหมายเลขโทรศัพท์ แต่เมื่อดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาตีสามครึ่งก็เก็บโทรศัพท์มือถือลงไปอีกครั้ง
เขาไม่ได้เคาะประตู ได้แต่ยืนอยู่อยู่หน้าประตูพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
ในช่วงบ่าย โรงพยาบาลได้ส่งตัววัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บที่สมองและคอจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทว่าถูกส่งตัวกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพราะอาการสาหัส โดยได้มีการรักษาช่วยชีวิตตั้งแต่ช่วงเย็นลากยาวมาจนถึงราวตีหนึ่ง ในที่สุดคนไข้ก็พ้นขีดอันตราย
ปกติหากทำงานถึงเวลานี้ เขาจะกลับบ้านไปนอนทันที
หากแต่วันนี้กลับนอนไม่หลับ และเหตุการณ์สำคัญชั่วชีวิตอย่างการแต่งงานหาทางออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว…
เมื่อลมยามราตรีพัดผ่าน ความเหนื่อยล้าก็ค่อย ๆ จางหายไป อีกทั้งสมองของเขายังปลอดโปร่งกว่าปกติ
ในค่ำคืนอันเงียบสงบเช่นนี้ เมื่อมองดูท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาราและแสงจันทร์นวลผ่อง เขาพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนก็เหมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่โปร่งโล่ง ทั้งแสงสว่างและแจ่มชัด
เขามั่นใจในความรู้สึกของตัวเองอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้ว่าตนกำลังมุ่งมั่นทำอะไรอยู่
เขาชอบเซี่ยอวี่ เขาตกหลุมรักหล่อนตั้งแต่แรกเห็น
เขาอยากจีบหล่อน ต้องจีบหล่อนให้ได้
เย่ไป๋ยืนพิงมอเตอร์ไซค์พลางมองไปยังประตูบ้านตระกูลเซี่ย รอเวลาให้รุ่งสาง
ในรุ่งสางของฤดูร้อน เพียงเวลาราวตีห้ากว่า ๆ ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็สว่างโร่แล้ว หมู่นกตื่นจากรังและเริ่มส่งเสียงจอแจ บนท้องถนนก็มีรถสัญจรไปมามากขึ้น
เย่ไป๋ยืดแขนออกกำลังกายช่วงไหล่ช่วงอก พร้อมขยับแข้งขาที่แข็งทื่ออยู่สักพัก
การยืนแช่อยู่ทั้งคืนทำให้รู้สึกไม่อึดอัดไม่สบายตัวอยู่เล็กน้อยตรงบริเวณรอยแผลที่ถูกเย็บ แต่ความเจ็บปวดนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับความสุขที่จะได้เจอหล่อน
เย่ไป๋คาดเดาว่าหญิงสาวน่าได้นอนอย่างน้อยหกชั่วโมงแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาอีกฝ่ายทันที
เสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้งก็ต่อสายได้
“ฮัลโหล” คนปลายสายส่งเสียงงัวเงีย คาดว่าคงถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์
หัวใจของเย่ไป๋เต้นเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของอีกฝ่าย เสียงของเขาทุ่มต้ำแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน “คุณตื่นนอนหรือยังครับ?”
“คุณเป็นใครเนี่ย? มีเมตตาให้คนอื่นได้ฝันหวานบ้างสิ”
เย่ไป๋เอาอกเอาใจทั้งมีความเป็นสุภาพบุรุษ “ถ้าอย่างนั้นคุณนอนต่ออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวผมรอคุณ”
คนที่อยู่ปลายสายไม่ได้วางสายไป แต่เอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า?”
“มีครับ” เย่ไป๋กล่าว “ผมอยู่หน้าบ้านคุณ หากคุณตื่นแล้ว รบกวนคุณเซี่ยมาที่หน้าประตูหน่อยได้ไหม?”
“หน้าบ้านฉันเหรอ?”
เซี่ยอวี่ขยี้ตา รีบลุกขึ้นนั่งดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างผนัง ถามด้วยความประหลาดใจ “คุณมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เย่ไป๋ตอบว่า “เพิ่งมาถึง”
“อย่างนั้นรอสักครู่ ฉันยังไม่ตื่นดี”
โทรศัพท์วางสายไปแล้ว
เย่ไป๋มองโทรศัพท์แล้วยิ้มอย่างขมขื่น เขายังต้องรอต่อไป
หากรู้เช่นนี้เขาคงบอกไปว่ารอมาทั้งคืนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจทำให้ดาราดังประทับใจ
หลังจากวางสายจากเขาแล้ว เซี่ยอวี่ก็ไม่รู้สึกง่วงอีกเลย
หล่อนพยายามทำเมินเฉยเขาสักพัก แต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์มากจนลุกจากเตียง
หล่อนเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดกระโปรงตัวยาว ล้างหน้าล้างตา แล้วใช้กิ้บหนีบผมขึ้นอย่างสบาย ๆ ก่อนสวมรองเท้าแตะ ในขณะที่เดินไปยังประตูก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เล่นตัวให้มาก
เมื่อเปิดประตูไปก็เห็นร่างสูงที่คุ้นเคยยืนพิงอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์จริง ๆ
เขาดูเหนื่อยล้าอย่างมาก ทั้งยังเห็นรอยเส้นเลือดฝอยในดวงตา ราวกับว่าเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอาใจช่วยค่ะหมอเย่ ทลายกำแพงหัวใจคุณดาราให้ได้นะ
ไหหม่า(海馬)