ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 475 ถ้าแม่มีน้อง แม่จะยังรักผมอยู่ไหม?
ตอนที่ 475 ถ้าแม่มีน้อง แม่จะยังรักผมอยู่ไหม?
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเตรียมอาหารที่ร้านอาหารเสร็จแล้ว เซี่ยไห่จึงถือโอกาสเป็นเจ้าภาพเชิญทุกคนไปที่ร้านเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชื่นชอบการร้องเพลงเป็นทุนเดิม หรือหลายคนที่ไม่เคยเห็นกิจการห้องเต้นรำหรือห้องร้องคาราโอเกะมาก่อน ต่างมารวมตัวกันรอบ ๆ ทีวีสีและเครื่องเล่นวีซีดีที่ทางเข้าร้านเพื่อดูสิ่งแปลกใหม่
คนวัยกลางคนจำนวนมากเฝ้าสังเกตจนรู้วิธีร้องเพลงผ่านเครื่องเล่นแล้ว พวกเขาค่อย ๆ รวบรวมความกล้าเปิดไมโครโฟนอย่างกล้าหาญ แสดงเสียงร้องอันทรงพลัง
หลินจินซานกระตือรือร้นมากในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการร้องคาราโอเกะแก่ทุกคน ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อโปรโมตและแนะนำห้องร้องคาราโอเกะบนชั้นสองของห้องเต้นรำ และเชิญทุกคนไปที่นั่นเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่
เมื่อเห็นภาพความคึกคักหน้าร้าน หลินเซี่ยก็คิดว่าอาจไม่เหมาะสมที่จะเก็บเครื่องเสียงทั้งหลายและกลับบ้านไปกินข้าว ตัดสินใจพูดกับเซี่ยไห่
“อารอง ยังไม่ต้องเก็บเครื่องเสียงพวกนี้ได้ไหมคะ? ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย แถมมีคนให้ความสนใจตั้งเยอะแยะ”
ลู่เจิ้งอวี่ที่อยู่ด้านข้างพูดว่า “พี่ไห่ เชิญแขกคนอื่นไปกินอาหารเถอะครับ เดี๋ยวผมจะอยู่ที่นี่คอยให้ความบันเทิงกับพวกเขาเอง จะได้ถือโอกาสเรียกลูกค้าเข้าห้องร้องคาราโอเกะด้วย”
หลินจินซานได้ยินก็อาสาว่าจะอยู่เฝ้าเอง ให้ลู่เจิ้งอวี่กลับไปพักได้ ลู่เจิ้งอวี่จึงเหลือบมองไปที่หญิงสาวซึ่งทำงานยุ่งอยู่ในร้านโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรจริง ๆ พี่ซาน พี่ไปกินข้าวและพักผ่อนเถอะ ผมจะอยู่เฝ้าที่นี่เอง”
หลินจินซานยังคิดจะแย่งหน้าที่กับเขา แต่เซี่ยไห่สังเกตเห็นว่าลู่เจิ้งอวี่หน้าแดงและมองไปยังทิศทางหนึ่ง จึงออกคำสั่งโดยตรงว่า “จินซาน กลับไปเถอะ ให้เจิ้งอวี่อยู่เฝ้าที่นี่แทน”
“ได้ครับ งั้นไว้ฉันจะห่อข้าวมาให้นายกับเสี่ยวเยี่ยนทีหลัง”
ผู้อาวุโสสองคนของตระกูลเฉินและคนอื่น ๆ ได้รับคำเชิญจากหลินเซี่ยให้ไปกินข้าวร่วมกันที่ร้านอาหารของพ่อแม่เธอเอง
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงจัดโต๊ะไว้สองโต๊ะ เนื่องจากไม่มีเวลา พวกเขาจึงซื้อเป็ดย่างสำเร็จรูป เครื่องเคียง และเมนูอื่น ๆ เสริมด้วยของทอดจานร้อนสองสามจาน ทำให้บนโต๊ะเนืองแน่นไปด้วยอาหารการกินที่หลากหลาย
แขกที่มาแสดงความยินดีกับลูกสาวพวกเขาล้วนเป็นญาติและมิตรสหายที่สนิทกันทั้งสิ้น ดังนั้นต้องไม่ให้เสียหน้า
ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่เซี่ยเหลยซึ่งสวมผ้ากันเปื้อน รู้สึกสะเทือนใจมาก
“เสี่ยวเซี่ย ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของเธอนะ”
“ไม่ลำบากเลยครับลุงเฉิน”
ผู้เฒ่าเฉินกล่าวต่อไปว่าเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับประทานอาหารฝีมือเซี่ยเหลย
ในฐานะอดีตสมาชิกของกองทัพ เขาก็มีความรู้สึกเคารพมีต่อเซี่ยเหลยเต็มเปี่ยม ตอนนี้ยิ่งรู้สึกโชคดีเข้าไปใหญ่ที่ทั้งสองครอบครัวได้เกี่ยวดองเป็นญาติกัน ชายชรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ที่โต๊ะอาหาร ผู้เฒ่าเฉินยืนขึ้นด้วยท่าทางนอบน้อมและสุภาพ พูดกับเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงต่อหน้าทุกคนว่า “เสี่ยวเซี่ย เสี่ยวหลิว ไหน ๆ ทุกคนต่างก็อยู่ที่นี่ในวันนี้กันอย่างพร้อมหน้า ในฐานะตัวแทนพ่อแม่ของเจียเหอ ฉันต้องการหารือบางอย่างกับพวกเธออยู่เรื่องหนึ่ง”
เขาพูดต่อ “เราตั้งใจว่าจะจัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางการให้กับเจียเหอและเซี่ยเซี่ย เพื่อให้แขกเหรื่อได้มาแสดงความยินดี พวกเธอคิดเห็นเรื่องนี้ยังไง?”
“งานแต่งของพวกเขาเดิมทีจัดขึ้นที่บ้านเกิดครอบครัวฝั่งแม่ของเจียเหอ ซึ่งเป็นพิธีที่เรียบง่าย ต่อมาหลังจากพวกเขากลับมาที่ไห่เฉิง ด้วยเหตุผลหลายประการ เราจึงยังไม่สบโอกาสในการจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการในเวลาที่เหมาะสมได้ เราเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดมา เพราะรู้ดีว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้ให้ความสำคัญกับพิธีการมากแค่ไหน ตอนนี้เซี่ยเซี่ยบังเอิญจะเปิดร้านเช่าชุดแต่งงาน คนแก่อย่างเรา ๆ ก็พลอยได้เปิดโลกไปด้วย นึกไม่ถึงว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะมีช่องทางทำกินแปลกใหม่ขนาดนี้ ลูกหลานของเราแต่งงานแล้วแท้ ๆ แต่กลับเปิดร้านเช่าชุดแต่งงานให้คนอื่น ไม่มีงานแต่งดี ๆ เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย
ดังนั้น ฉันเลยคิดว่าเราควรจัดงานแต่งงานให้เด็กสองคนนี้ในตอนที่พวกเขายังไม่แก่เกินวัย”
คุณแม่เซี่ยได้ยินดังนั้น นางก็ยกมือขึ้นอย่างเห็นด้วย
“ดีเลยค่ะ เป็นความคิดที่ดีมากจริง ๆ หลานสาวคนโตของฉันแต่งงานแล้วตั้งแต่ก่อนที่เธอจะได้เจอเรา แม้จะเป็นงานแต่งที่เรียบง่ายในชนบท แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วม ในเมื่อคุณเป็นฝ่ายริเริ่มเสนอความคิด พวกเราต้องยินดีและเห็นด้วยอยู่แล้วที่พวกเขาจะมีงานแต่งจริง ๆ จัง ๆ นึกแล้วในฐานะผู้ใหญ่เราจะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็เห็นด้วยเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองรู้สึกว่าตัวเองติดหนี้ลูกสาวไว้อย่างมากมาย และต้องการชดใช้ให้กับเธอ แต่ตอนนี้เธอแต่งงานมีครอบครัวเล็ก ๆ เป็นของตัวเองไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องการพึ่งพาพวกเขาในหลาย ๆ ด้านอีกต่อไป
พวกเขาอยากชดเชยให้เท่าใดก็ไม่สามารถทำได้
การจัดงานแต่งงานให้เธอ และได้เห็นเธอสวมชุดแต่งงานด้วยตาของตัวเอง คือสิ่งที่พวกเขาปรารถนาที่สุด
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ผู้ใหญ่หลายคนหารือกัน พวกเขาก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน
“เซี่ยเซี่ย พวกเราหารือและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”
หลินเซี่ยมองบรรดาผู้ใหญ่พูดคุยเรื่องการแต่งงานด้วยสีหน้าเขินอายโดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เธอบอกว่า
“ไว้ฉันจะกลับไปปรึกษาเฉินเจียเหออีกครั้งค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่เห็นมีอะไรต้องปรึกษา แค่ขอให้เขาจัดสรรเวลาก็พอ ส่วนที่เหลือพวกเราจะจัดการกันเอง”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่”
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเฉินก็กลับไป ภายใต้การดูแลของเฉินเจียซิ่งและเฉินเจียวั่ง
ลูกค้าทยอยแยกย้ายกันออกไป ร้านอาหารก็ไม่ได้เปิดตามปกติ สมาชิกทั้งครอบครัวย้ายไปรวมตัวกันที่ร้านใหม่
จู่ ๆ ผู้เฒ่าเฉินก็เสนอว่าจะจัดงานแต่งให้กับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย พวกเขาในฐานะสมาชิกครอบครัวจึงยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกปัญหาที่ต้องจัดการคือเรื่องระหว่างเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิง ที่ควรจัดงานแต่งให้พวกเขาก่อนแล้วค่อยจัดงานแต่งให้ลูก ๆ
ไม่เช่นนั้นถ้าพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวไม่มีสถานะเป็นสามีภรรยา มันคงไม่เป็นที่สบายใจเท่าใดนักหากถูกแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีไต่ถาม
หลังจากที่แขกทั้งหมดแยกย้ายกลับไปแล้ว คุณแม่เซี่ยก็เรียกหลินเซี่ยมาข้าง ๆ แล้วพูดกับเธอว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนนี้ร้านใหม่ก็เปิดแล้ว ย่าว่าเธอกับพ่อแม่ควรหาเวลาว่างสักสองสามวันกลับไปที่บ้านเกิด ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี หลังจากกลับมาแล้วทุกคนจะได้มาจัดการเรื่องของเด็ก ๆ ต่อ พี่ชายของเธอกับชุนฟางน่าจะมีข่าวดีในเร็ว ๆ นี้ เธอกับเจียเหอก็กำลังจะจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการ เราต้องจัดการเรื่องของพ่อแม่เธอก่อน ไม่อย่างนั้นเธออาจโดนคนนอกหัวเราะเยาะเอาได้”
หลินเซี่ยได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นย่าพูดก็ตอบกลับว่า “ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ฉันจะฝากเสี่ยวเยี่ยนดูแลร้านใหม่ แล้วเราจะออกเดินทางโดยเร็วที่สุด”
หลังจากทั้งครอบครัวคุยกันเรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็ขอให้เซี่ยไห่ไปที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วทันที โดยต้องเป็นขบวนแรกที่เดินทางไปยังบ้านเกิด
เซี่ยไห่ขับรถไปที่สถานีรถไฟและซื้อตั๋วรถไฟสำหรับคืนพรุ่งนี้
ทุกคนยังคุยกันไม่ทันถึงไหน เซี่ยไห่ก็วางตั๋วห้าใบไว้บนโต๊ะภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
“ขบวนรถไฟรอบเร็วที่สุดออกตีห้าครึ่ง น่าจะถึงปลายทางบ่ายวันพรุ่งนี้ ถ้ามีอะไรต้องทำก็รีบกันหน่อยแล้วกัน พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางเลย”
เซี่ยไห่ทำงานรวดเร็วทันใจเกินไป เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปที่ร้านอาหาร เขียนป้ายแจ้งว่าปิดร้านชั่วคราวแขวนไว้หน้าประตู
เจียงอวี่เฟยอยู่ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนพอดี หลินเซี่ยจึงขอให้หล่อนช่วยเฝ้าร้านเป็นเพื่อนหลินเยี่ยนเพื่อต้อนรับลูกค้าในร้านใหม่
หลินเยี่ยนสามารถทำงานเบา ๆ เช่นการแต่งหน้าธรรมดา ๆ ได้ ขั้นตอนการเช่าชุดแต่งงานก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ราคาไล่เลี่ยกันทั้งหมด
ถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉินอะไรเกิดขึ้น หลินเยี่ยนแค่คนเดียวก็ไม่มีปัญหาติดขัดในการดูแลร้าน
หลังกลับถึงบ้านในตอนเย็น หลินเซี่ยเพิ่งจะมีเวลาหยิบเปิดกล่องของขวัญ และหยิบของขวัญของทุกคนออกมาจากกระเป๋าเพื่อชื่นชม
ของขวัญมากมายในกระเป๋าถูกเทลงไปกองอยู่บนเตียง
เริ่มจากของขวัญแสดงความยินดีจากตระกูลเฉิน ของขวัญจากพ่อแม่ของเธอ รวมถึงของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีความหมายไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเจียงอวี่เฟยและคนอื่น ๆ
เจียงอวี่เฟยให้เรือสำเภาจำลอง มีเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งนั่งอยู่บนเรือด้วย เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์มาก
ตอนที่เธอเปิดร้านตัดผม เฉินเจียวั่งได้มอบเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งให้เธอ คราวนี้เจียงอวี่เฟยก็มอบเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งให้เธออีกอัน หลินเซี่ยพอใจกับของขวัญทั้งสองชิ้น ตั้งใจว่าจะหอบพวกมันกลับไปที่ร้านโดยเอาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็กลับมาดูกองเงินกองทองบนเตียง
หู่จือเชิดคางขึ้น ดูหลินเซี่ยนับเงินและแยกของขวัญออกเป็นหมวดหมู่ เขาถามอย่างสงสัย “แม่ฮะ ทำไมวันนี้ทุกคนถึงให้เงินกับของขวัญแม่ตั้งมากมายเลยล่ะ?”
“อั่งเปาและของขวัญพวกนี้ถือเป็นสิ่งแทนใจเพื่อแสดงความยินดีกับการเปิดร้านใหม่ของแม่ยังไงล่ะ เป็นคำอวยพรให้ร้านใหม่ของเราประสบความสำเร็จ กิจการรุ่งเรือง ทรัพย์สินมั่งคั่ง”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นผมก็มีของขวัญจะให้แม่เหมือนกัน”
หู่จือวิ่งไปที่ห้องของเขาด้วยขาสั้นป้อม ในไม่ช้าเขาก็หยิบภาพวาดออกมาแล้วพูดว่า “แม่ ผมวาดรูปนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ผมขอให้มันเป็นของขวัญนะครับ”
หลินเซี่ยหยิบภาพวาดของหู่จือขึ้นมาดู เห็นเขาวาดการ์ตูนสามพ่อแม่ลูกอยู่บนนั้น เธอยอมรับมันอย่างมีความสุขและจูบเขา “ขอบคุณนะลูกรัก เป็นรูปที่สวยมากเลยจ้ะ”
“สามคนที่ลูกวาดใช่ครอบครัวพวกเราหรือเปล่า?” หลินเซี่ยมองไปที่ภาพวาดและถามด้วยรอยยิ้ม
หู่จือพยักหน้าแรง ๆ “ใช่ คนที่จับมือเด็กอยู่คือพ่อกับแม่ ส่วนเด็กที่อยู่ตรงกลางคือผมเอง”
หู่จือเน้นย้ำถึงสถานะของตัวเอง จากนั้นเขาก็สังเกตการแสดงออกของหลินเซี่ย แล้วพูดจาอย่างระมัดระวัง
“แม่ครับ ได้ยินคุณย่ารองบอกว่า ถ้าแม่มีน้องเมื่อไหร่ แม่จะไม่รักผมอีกต่อไป มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
“คุณย่ารอง?” หลินเซี่ยพยายามนึกอยู่สักพักว่าคุณย่ารองที่หู่จือพูดถึงอยู่นั้นคือใคร
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เรื่องนี้สำคัญมากเลยแหละในชีวิตครอบครัว เรื่องรักลูกให้เท่าๆ กันเนี่ย ไม่งั้นมันจะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาครอบครัวเรื่องอื่นๆ ในอนาคต
ไหหม่า(海馬)