ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 478 ย่าของผมเคยเป็นแม่มดเฒ่า
ตอนที่ 478 ย่าของผมเคยเป็นแม่มดเฒ่า
ทันทีที่เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงมาถึงลานบ้านตระกูลเซี่ย พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยหยอกล้อเล่นกันดังมาจากห้องโถง
เสียงใสกระจ่างของหู่จือลอยมาเข้าหูพวกเขา “คุณยายทวด ผมเป็นผู้ชายคนเดียวของบ้าน ถ้าพวกเขาไปแล้วผมจะปกป้องคุณเอง ไม่ต้องกลัวอะไรนะครับ”
คุณแม่เซี่ยอุ้มหู่จือไว้ในอ้อมแขน ยิ้มกว้างไปถึงใบหู “ดีเลย ยายทวดไม่กลัวเลยสักนิดเมื่อมีหู่จืออยู่ที่นี่”
หู่จือมองหลินเซี่ยและเซี่ยไห่ ทำท่าทางราวกับเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เชิดหน้าเล็ก ๆ ขึ้นแล้วพูดว่า “แม่ฮะ ฝากคุณยายทวดไว้ให้อยู่ในความดูแลของผมได้เลย ผมจะปกป้องคุณยายทวดอย่างเต็มที่”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “จ้ะ ลูกชายของแม่กล้าหาญที่สุด รอแม่กลับมาเดี๋ยวจะหิ้วของอร่อย ๆ ติดมาฝากนะ”
เซี่ยไห่ก็ยิ้มแก้มปริเช่นกันเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยคนนี้ช่างรู้ความเกินวัย เขาดึงหู่จือเข้ามาใกล้ ลูบหัวและให้สัญญากับเขาว่า “หู่จือเป็นเด็กที่มีเหตุผลมาก ถ้าตารองกลับมาเมื่อไหร่ จะซื้อของเล่นชิ้นใหญ่ให้เธอ และพาเธอไปปั่นเรือเป็ดในสวนสาธารณะด้วย ใกล้เปิดเทอมแล้วจะซื้อกระเป๋าใบใหม่ เอาเป็นว่าฉันจะซื้อทุกอย่างที่เธออยากได้เลย”
หู่จือแสดงความสนใจเพียงเล็กน้อยกับสิ่งที่เซี่ยไห่ให้สัญญา เขามองไปที่หลินเซี่ยแล้วบอกว่า “ผมอยากกินบะหมี่ถั่วฝีมือคุณย่าทวดที่บ้านเกิดมากกว่า”
เมื่อเห็นเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเดินเข้ามา หู่จือก็วิ่งไปหาพวกเขาด้วยความตื่นเต้น กอดหลิวกุ้ยอิงไว้แล้วเงยหน้าขึ้น พร้อมกับสัญญาว่า “คุณตา คุณยาย ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะอยู่เฝ้าบ้านและดูแลคุณยายทวดเป็นอย่างดี”
เซี่ยเหลยก้มลงไปกอดเขา “โอ้โฮ หู่จือยอดเยี่ยมจริง ๆ สมแล้วที่เป็นสุภาพบุรุษตัวน้อยของครอบครัวเรา ตัวแค่นี้รู้วิธีปกป้องคุณยายทวดด้วย”
เมื่อที่บ้านมีเด็กอยู่คนหนึ่ง บรรยากาศท่ามกลางกลุ่มผู้ใหญ่จึงเต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา ทุกคนต่างมองไปที่หู่จือเป็นตาเดียว ต่างก็มีรอยยิ้มที่สดใสเพราะความสุขบนใบหน้า
เซี่ยไห่เหลือบดูนาฬิกาของเขาแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ มากินข้าวรองท้องกันสักหน่อยดีกว่า จะได้ออกเดินทางเร็ว ๆ ไปรอรถไฟที่สถานีแต่เช้า”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะเข้าครัวเอง” หลิวกุ้ยอิงเข้าไปที่ห้องครัวโดยปริยาย ขณะที่เซี่ยเหลยกำลังจะตามหล่อนเข้าไปช่วยทำอาหาร ก็มีแขกคนหนึ่งมาที่บ้าน
คนที่มาคือโจวลี่หรง
หล่อนถือถุงดำอยู่ในมือ ทันทีที่เดินเข้ามาในลานบ้านและเห็นเซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิง หล่อนก็ทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
เซี่ยเหลยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลิวกุ้ยอิงเพิ่งก้าวเข้าไปในห้องครัว แต่เมื่อได้ยินเสียงของโจวลี่หรง หล่อนก็รีบหันกลับมาหาและทักทายว่า “แม่สามีนั่นเอง? เชิญเข้ามาก่อนค่ะ”
“ค่ะ”
โจวลี่หรงเข้าไปในห้องโถง ทุกคนก็รีบทักทายและเชื้อเชิญให้เธอนั่งลง
เซี่ยไห่ที่กำลังเล่นกับหู่จือเปลี่ยนสีหน้าและวางตัวจริงจังทันที
หู่จือเรียกหล่อนว่าคุณย่าอย่างสุภาพ แต่ยังคงยืนอยู่ข้างเซี่ยไห่ หยุดพูดเล่นสนุกสนานกับคนรอบข้าง
บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและผ่อนคลายในตอนแรกกลายเป็นเงียบสงบในทันที
โจวลี่หรงพูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันฝากเสื้อผ้าพวกนี้ไปให้ตายายด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีเงินอีกสองร้อยหยวน ถ้าเธอไปถึงแล้วช่วยมอบให้พวกเขาแทนฉันที”
โจวลี่หรงหยิบถุงใบเล็กออกมาจากถุงใบใหญ่อีกทีหนึ่งแล้วพูดต่อ “นี่ขนมกระป๋อง ฉันซื้อให้เธอ ระหว่างเดินทางจะเปิดกินเล่นแก้เบื่อก็ได้”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” หลินเซี่ยรับของไปแล้ววางลงอย่างสุภาพ
เซี่ยไห่รินชาให้โจวลี่หรง แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ดื่มชาก่อนครับ”
ก่อนหน้านี้ หลายครั้งที่เซี่ยไห่เจอโจวลี่หรง เขามักจะเรียกเธอว่าป้าเสมอ
ตอนนี้เขากลายเป็นอารองของหลินเซี่ยแล้ว ดังนั้นเขาก็ควรเปลี่ยนมาเรียกอีกฝ่ายว่าพี่
ถ้าเป็นคนอื่น เซี่ยไห่อาจจะเปลี่ยนคำเรียกได้อย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสหายโจวลี่หรงที่มีบุคลิกจริงจังตลอดเวลา เซี่ยไห่กลับไม่กล้าทำตัวลอยชาย
อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสในครอบครัวของเฉินเจียเหอทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในเขตชุมชนบ้านพักทหาร แต่ละคนเลยพลอยเปล่งรัศมีความน่าเกรงขามออกมา ทำให้เขารู้สึกกริ่งเกรง
หลินเซี่ยจัดระเบียบสิ่งของที่โจวลี่หรงฝากเธอไปให้ผู้ใหญ่ในบ้านเกิด จากนั้นเธอก็ขอความคิดเห็นจากโจวลี่หรง
“แม่คะ ฉันอยากเชิญคุณตาคุณยายมาอยู่ที่ไห่เฉิงสักพัก คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้คะ?”
โจวลี่หรงดูตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด จากนั้นความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ส่ายหัว “พวกเขาไม่มาแน่”
หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าโจวลี่หรงจะให้ข้อสรุปอย่างฉับพลันทันด่วนโดยไม่หยุดคิดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“คุณปู่กับคุณย่าของเฉินเจียเหออยากจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการให้ฉันกับเขา พวกเราจึงหวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะสามารถมาร่วมงานสำคัญแบบนี้ได้ ฉันว่าจะลองถามพวกเขาตอนที่ฉันกลับไปดูค่ะว่าพวกเขายินดีมาหรือเปล่า”
หลินเซี่ยเคารพรักผู้เฒ่าที่แสนจะใจดีและน่ารักทั้งสองคนของตระกูลโจวจากก้นบึ้งของหัวใจ
เฉินเจียเหอบอกว่าพวกเขาค่อนข้างติดบ้าน อยู่แต่ในหมู่บ้านมานานหลายสิบปี เธอจึงอยากเชิญพวกเขามาที่ไห่เฉิงเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในเมือง
อยากให้พวกเขาได้มาเห็นร้านใหม่ที่เธอเพิ่งเปิด รวมถึงบ้านใหม่ที่เธอได้รับเป็นสวัสดิการจากโรงงานของเฉินเจียเหอ
โจวลี่หรงมองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วพูดว่า “เอาสิ ถ้าพวกเขายินดีที่จะให้เกียรติแก่พวกเธอโดยการมาที่ไห่เฉิง ฉันคงมีความสุขมาก”
หลินเซี่ยรู้สึกว่าโจวลี่หรงดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ในใจ ดังนั้นเธอจึงหยิบของที่เธอนำมาให้โดยไม่พูดอะไรอีก ทุกคนกำลังจะออกจากบ้านในอีกไม่นาน โจวลี่หรงจึงขอตัวกลับบ้าง
ก่อนที่โจวลี่หรงจะจากไป หล่อนก็ถามหู่จือว่า “หู่จือ แม่เธออาจไม่อยู่บ้านสักพัก เธออยากกลับไปกับฉันไหม?”
หู่จือส่ายหน้า “ผมอยากอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องคุณยายทวดมากกว่า”
ขณะที่หู่จือพูด มือเล็ก ๆ ของเขาก็เอื้อมไปจับมือของคุณแม่เซี่ยโดยไม่รู้ตัว หญิงชรารู้สึกว่าเด็กคงกลัวและไม่อยากตามโจวลี่หรงกลับไป จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้เด็กอยู่ที่นี่เถอะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาของฉันด้วย”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน”
โจวลี่หรงเห็นว่าหู่จือยืนเกาะติดอยู่กับคุณแม่เซี่ยไม่ยอมห่าง และสมาชิกในครอบครัวก็ดูเข้ากันได้อย่างกลมกลืน หล่อนก็ทั้งรู้สึกอิจฉาและเสียใจอยู่ในใจ
เมื่อก่อนหล่อนทำสารพัดสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมกับเด็กคนนี้มากเกินไป
แม้ว่าตอนนี้เด็กจะยอมเรียกหล่อนว่าคุณย่าอย่างสุภาพ แต่เขาก็ไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้หล่อนเลยด้วยซ้ำ
โจวลี่หรงเองมีบุคลิกที่จริงจังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หล่อนไม่ใช่คนรักเด็กหรือชอบพูดตลกโปกฮากับคนอื่น ดังนั้นต่อให้หล่อนจะอยากเข้าใกล้หู่จือและทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับหลินเซี่ยให้มากขึ้นแค่ไหน แต่หล่อนก็ยังขัดเขินไม่รู้ว่าจะเข้าหาพวกเขาอย่างไร
หล่อนพยายามแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพูดคุยและหัวเราะกับใคร ๆ ได้อย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติเหมือนคนอื่น
อาจเป็นเพราะหล่อนมีชีวิตที่ตึงเครียดตั้งแต่แต่งงานกับเฉินเจิ้นเจียง
หลังจากโจวลี่หรงจากไปแล้ว หู่จือก็กอดแขนคุณแม่เซี่ยและพูดกระซิบกระซาบว่า “คุณยายทวด ผมจะบอกความลับบางอย่างให้ฟัง ย่าของผมเคยเป็นแม่มดเฒ่า หล่อนมักจะทำตาดุใส่ผมอยู่บ่อย ๆ ผมกลัวการอยู่ใกล้หล่อนเอามาก ๆ แต่หลังจากแม่แต่งงานกับพ่อ หล่อนก็กลายเป็นคุณย่าใจดี”
เมื่อคุณแม่เซี่ยได้ยินหู่จือพูดถึงย่าของเขาแบบนี้ นางก็รีบแก้ไขคำพูดอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเข้มขรึม “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดแบบนั้นไม่ได้นะ ดูไม่มีสัมมาคารวะเอาซะเลย ถึงยังไงนั่นก็คือย่าของเธอ”
หู่จือแก้ตัวอย่างเด็ดขาดเช่นกัน “ผมไม่เรียกเธอว่าแม่มดเฒ่าเลยตั้งแต่หล่อนเปลี่ยนนิสัยเป็นคนใหม่ ตอนนี้ผมเริ่มชอบหล่อนแล้วฮะ”
เมื่อได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเด็ก ใบหน้าของเซี่ยไห่ก็เคร่งขรึม เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เขารู้ดีว่าทำไมเฉินเจียวั่งถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้
แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ตอนนี้พอหวนคิดถึงเรื่องดังกล่าวก็ยังรู้สึกเจ็บปวด
เพื่อปกป้องหู่จือจากการถูกโจวลี่หรงส่งตัวไปขาย เฉินเจียวั่งจึงได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนศีรษะอย่างรุนแรง ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้เกิดผลอย่างที่เห็น
ทุกวันนี้ ถึงแม้โจวลี่หรงจะเปลี่ยนใจมายอมรับเด็กคนนี้แล้ว แต่หู่จือก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าใครชอบเขาจริง ๆ และใครที่ไม่ชอบเขา
น่าเสียดายที่เวลานั้นเขามัวยุ่งอยู่กับการทำการค้าอยู่ที่เชินเฉิง ทำให้ล้มเหลวในการดูแลหู่จือแทนเฉินเจียเหอ เรื่องใหญ่ครั้งนั้นทำให้น้องชายของเขาต้องเสียทุกอย่างไปเกือบครึ่งชีวิต
เขารู้ดีอีกเช่นกันว่าโจวลี่หรงไม่ชอบหู่จือยิ่งกว่าเดิม หลังจากที่เฉินเจียวั่งได้รับบาดเจ็บเพราะเขา
ตอนนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว ชีวิตของพวกเขาแต่ละคนเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ทุกคนมีเวลามากพอและสามารถดูแลหู่จือได้
อาการของเฉินเจียวั่งคงที่เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุม
แถมโจวลี่หรงยังยอมรับหู่จือเป็นหลานชายของหล่อนจากใจจริง
เมื่อหู่จือนึกขึ้นได้ว่าหลินเซี่ยกำลังจะกลับไปที่หมู่บ้านของคุณปู่ทวด จึงพูดกับคุณแม่เซี่ยต่อไป “ตอนที่ผมอยู่บ้านของคุณปู่ทวด หล่อนกับอาสะใภ้รองเคยรวมหัวกันรังแกแม่ผมด้วย แต่แม่ไม่กลัวพวกหล่อนเลย แถมแม่ยังเขวี้ยงกระโถนฉี่ใส่อาสะใภ้รองด้วย”
หู่จือดูภูมิใจมากเมื่อเขาบอกเล่าถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของหลินเซี่ย
“!!!”
หลินเซี่ยที่อยู่ด้านข้างเบือนหน้าหนีทันทีด้วยความลำบากใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต่อให้เวลาผ่านไปแล้วมันก็ยังมีเรื่องบางอย่างฝังใจอยู่อะนะ เด็กไม่เคยลืมอะไรง่ายๆ หรอก ดังนั้นทำดีกับเด็กให้มากๆ จะดีที่สุด
ไหหม่า(海馬)