ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 483 การตระหนักรู้ถึงสี่ความทันสมัยก็เหมือนตระหนักในคุณค่าของตัวเอง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 483 การตระหนักรู้ถึงสี่ความทันสมัยก็เหมือนตระหนักในคุณค่าของตัวเอง
ตอนที่ 483 การตระหนักรู้ถึงสี่ความทันสมัยก็เหมือนตระหนักในคุณค่าของตัวเอง
หลินเซี่ยสังเกตเห็นความลำบากใจของผู้เป็นแม่ ดังนั้นเธอจึงช่วยแก้ไขสถานการณ์ ขอให้หล่อนอยู่ด้วยกันที่บ้านของโจวเจี้ยนกั๋ว
หลิวกุ้ยอิงรู้สึกเครียดและอึดอัดมาก แต่พอลูกสาวพูดแบบนี้ ในที่สุดหล่อนก็ผ่อนคลายความกังวลลง และพยักหน้ารัวเร็ว “ได้ งั้นแม่จะอยู่กับลูก”
หวังอวี้เสียแสดงท่าทางยินดีต่อสิ่งนี้ “พี่อิงจื่อ ถ้าไม่รังเกียจว่าคนในบ้านอาจเยอะเกินไป สาว ๆ อย่างพวกเราก็จะได้คุยกันตอนกลางคืนอย่างสนุกสนานนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปก่อนนะ”
โจวเจี้ยนกั๋วพาชายสามคนไปที่โรงแรม
ทันทีที่พวกเขาจากไป หลินเซี่ยก็หยิบกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้นมา และเริ่มค้นหาของในนั้น
อันดับแรก เธอหยิบซองจดหมายหนา ๆ ออกมาแล้วยื่นให้หวังอวี้เสีย พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“น้าสะใภ้ ดูนี่เร็วสิคะ”
หวังอวี้เสียเห็นว่าในซองเต็มไปด้วยรูปถ่ายมากมาย
หลินเซี่ยแนะนำกับหล่อนว่า “นี่คือรูปที่เจียวั่งถ่ายให้เราในวันที่ร้านใหม่ของฉันเปิดทำการค่ะ คุณจะได้เห็นว่าร้านใหม่ของฉันหน้าตาเป็นยังไง”
“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันต้องตั้งใจดูให้ดีแล้ว”
หวังอวี้เสียรู้สึกประทับใจมาก ถึงแม้หลินเซี่ยนาน ๆ มาเยี่ยมที แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแบ่งปันความสุขให้อีกฝ่ายได้เห็นผ่านทางรูปถ่าย หล่อนหยิบรูปถ่ายออกมาและมองดูทีละรูป
“พระเจ้าช่วย มีชุดแต่งงานสวย ๆ เยอะแยะไปหมด ทุกชุดดูสวยๆ ทั้งนั้นเลย”
“บนตู้พวกนั้นก็อัดแน่นไปด้วยเครื่องสำอาง คราวนี้สาว ๆ ในเมืองจะได้จัดงานแต่งงานกันอย่างมีความสุขซะที มีช่างฝีมือดีคอยเนรมิตให้ทั้งคน”
หวังอวี้เสียทั้งตื่นตาตื่นใจและอิจฉาในเวลาเดียวกัน
ในขณะที่อุทาน หล่อนมองดูรูปถ่ายใบหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ไปที่คุณแม่เซี่ยในภาพ และถามหลินเซี่ยอย่างสงสัย “เซี่ยเซี่ย คุณป้าคนนี้เป็นใครกัน?”
“นั่นคุณย่าของฉันเองค่ะ คุณย่าแท้ ๆ” หลินเซี่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าหล่อนเป็นคนใจดี คงจะเป็นคนแก่ที่ใจดีและมีเมตตามากสินะ”
“แม่หนูเอ๋ย เธอเกิดมาพร้อมกับโชคที่รออยู่ในภายหน้าแท้ ๆ ในที่สุดก็ได้พบเจอกับครอบครัวแท้จริงของตัวเอง แถมพวกเขายังเป็นคนดีมาก ฉันดีใจแทนเธอจริง ๆ”
หวังอวี้เสียมองดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นรูปหมู่ของเด็กสาวหลายคนในรูปถ่ายใบนั้น
หล่อนจับจ้องไปที่สาวสวยทั้งสองในรูป และมองไปที่หลินเซี่ย “ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงได้หน้าเหมือนคุณเซี่ยอวี่นักล่ะ?”
“แถมแม่หนูคนนี้ก็หน้าเหมือนผู้เข้าประกวดในรายการประกวดนางแบบที่เพิ่งออกอากาศทางทีวีเมื่อไม่กี่วันก่อนเปี๊ยบ”
หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของหวังอวี้เสีย ก็มองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน “น้าสะใภ้ คุณก็ดูรายการประกวดนางแบบด้วยเหรอคะ?”
หวังอวี้เสียพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ไม่ใช่แค่ดูธรรมดา ฉันเข้าข่ายแฟนตัวยงของรายการเลยล่ะ ดูทุกเทปที่ออกอากาศ ไม่พลาดแม้แต่สัปดาห์เดียว เฮ้อ น่าเสียดายที่โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยฉันยังสาว ไม่งั้นฉันจะสมัครเข้าร่วมเหมือนกัน ได้ยินมาว่าผู้เข้าประกวดทุกคนมาจากทุกสาขาอาชีพ พวกเธอสมัครและเลือกเสื้อผ้ากันเอง ถ้าฉันอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี อาจกล้าทำในสิ่งที่ท้าทายก็ได้”
ท่าทางของหวังอวี้เสียเต็มไปด้วยความเสียดาย หล่อนยังคงถอนหายใจต่อไป พูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “พี่อิงจื่อ คุณก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะว่าถ้าเราอายุน้อยกว่านี้คงดีไม่น้อยเลย เราจะได้ออกทีวีเหมือนกับสาว ๆ พวกนั้น”
หลิวกุ้ยอิงนั่งดูทีวีอย่างเคอะเขิน หลังจากได้ยินคำพูดของหวังอวี้เสีย หล่อนก็โบกมือปัดรัวๆ “ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ว่าฉันจะอายุน้อยกว่านี้แค่ไหนก็เถอะ ฉันเข้าร่วมไม่ได้จริง ๆ ฉันไม่สันทัดทำเรื่องอะไรแบบนี้เลย”
“ทำไมเราจะทำไม่ได้ในเมื่อเรามีคุณสมบัติเพียบพร้อม พวกเราไม่ได้ดูแย่เลย ส่วนสูงและน้ำหนักยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอย่างสมบูรณ์”
แม้หวังอวี้เสียจะอาศัยอยู่ในอำเภอเล็ก ๆ แต่หล่อนกลับมีแนวคิดทันสมัยกว่าผู้หญิงในเมืองไห่เฉิงเสียอีก
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “น้าสะใภ้ ในอนาคตอาจจะมีรายการจัดประกวดอีก ไว้ฉันจะส่งชื่อคุณไปนะคะ”
“เอาสิ เธอลองถามให้หน่อย ถ้ามีรายการไหนที่เหมาะสมก็โทรมาได้ตลอด ฉันจะขอลางานเฉพาะกิจเพื่อไปออกทีวี”
หวังอวี้เสียพูดติดตลกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงกลับเข้าประเด็นเดิม ชี้ไปที่คนในภาพ และถามหลินเซี่ยอย่างข้องใจ
“บอกมาซิว่าสองสาวเหล่านี้เป็นใคร? ทำไมถึงได้หน้าเหมือนดารานัก?”
หลินเซี่ย “น้าสะใภ้ หล่อนก็คือเซี่ยอวี่ไงคะ”
หวังอวี้เสีย “???”
หลินเซี่ยชี้ไปที่บุคคลในภาพและแนะนำกับหล่อนว่า “นี่เจียงอวี่เฟย หล่อนใช้ชื่อบนเวทีประกวดว่าเย่เสี่ยวอวี่ ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศของรายการประกวดนางแบบไห่เฉิง หล่อนเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง ส่วนเซี่ยอวี่คืออาสาวแท้ ๆ ของฉันค่ะ”
“ว่าไงนะ?” หวังอวี้เสียตกใจมาก มองหลินเซี่ยด้วยความเหลือเชื่อ ไม่อยากเชื่อคำพูดของเธอเลย “เซี่ยเซี่ย เธออย่ามาล้อฉันเล่นนะ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ถามแม่ฉันดูสิคะ ท่านเป็นคนซื่อสัตย์ขนาดนั้น ไม่มีทางโกหกแน่นอน”
เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนี้ หวังอวี้เสียก็มองไปที่หลิวกุ้ยอิงเพื่อเค้นเอาคำตอบจากเธอ “พี่อิงจื่อ ที่เซี่ยเซี่ยพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
หลิวกุ้ยอิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “จริงค่ะ อาของหล่อนเป็นคนเดียวกันกับราชินีภาพยนตร์เซี่ยอวี่ พวกเขาเพิ่งย้ายจากฮ่องกงมาที่ไห่เฉิงเมื่อไม่นานนี้เอง”
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่เจียงอวี่เฟยในรูปถ่าย แล้วพูดต่อว่า “อวี่เฟยก็เป็นเพื่อนสาวคนสนิทของเซี่ยเซี่ยจริง เซี่ยเซี่ยคือคนที่ช่วยแต่งหน้าและจัดสรรเสื้อผ้าสำหรับขึ้นประกวดในรายการประกวดนางแบบให้หล่อน”
“พระเจ้าช่วย” หวังอวี้เสียมองหลินเซี่ยด้วยความเงียบงัน ดวงตาของหล่อนเต็มไปด้วยความชื่นชม
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พึมพำและอุทานต่อไป
เมื่อโจวเจี้ยนกั๋วกลับมา ก็มองเห็นภรรยาทำหน้าตาตื่นอยู่ที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าหล่อนกำลังแปลกใจกับเรื่องอะไร
เขาผลักประตูเปิดออก เห็นหวังอวี้เสียจับมือหลินเซี่ยด้วยท่าทางเหมือนตื่นเต้นเต็มประดา โดยมีหลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบ
โจวเจี้ยนกั๋วจึงขยิบตาให้หวังอวี้เสียและเตือนด้วยสีหน้าเข้มงวด “เหล่าหวัง ช่วยสงบเสงี่ยมกว่านี้หน่อยได้ไหม? เสียงคุณดังออกไปข้างนอกตั้งสามบ้านแปดบ้าน คุยกับพี่อิงจื่อให้มากกว่านี้หน่อย”
หวังอวี้เสียยังไม่คลายความตื่นเต้น “ใช่ว่าฉันไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวนี่ ถ้าฉันบอกคุณเรื่องนี้ เชื่อว่าคุณเองก็คงเก็บอาการไว้ไม่อยู่เหมือนกันแหละ”
หวังอวี้เสียส่งรูปถ่ายให้โจวเจียนกั๋วดูอย่างตื่นเต้น “ดูสิว่านี่ใคร?”
โจวเจียนกั๋วหยิบรูปถ่ายในมือของหล่อนไปดูอย่างระมัดระวัง “ผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนกรรมการหญิงที่ปรากฏตัวในทีวีเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยนี่?”
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาถูกหวังอวี้เสียลากมานั่งบนโซฟา และบังคับให้ดูการประกวดนางแบบเป็นเพื่อน
การประกวดนั้นเต็มไปด้วยหญิงสาวอายุน้อยสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสหลากหลายสไตล์ อวดรูปร่างของพวกตนบนเวทีแคทวอล์ค
เสื้อผ้าบางชิ้น พูดตรง ๆ ว่าเขาทำใจมองได้ยาก มันแทบจะเรียกว่าเสื้อผ้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เขาไม่อยากดูเลย แถมยังรู้สึกกระดากอายที่ต้องมาดูผู้หญิงใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้ตอนอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ภรรยาของเขากลับเป็นคนประหลาด ยืนกรานจะลากเขามาอยู่ดูด้วยกันให้ได้ อ้างว่าเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง
ถ้าเป็นภรรยาของผู้ชายคนอื่น แค่สามีของหล่อนเหล่มองสาวอื่นบนถนน พวกเขาก็จะทะเลาะกันไปตลอดทางกลับบ้าน
ครอบครัวของเขาดีหน่อยตรงที่ทุกวันหยุดสัปดาห์ภรรยาจะดึงเขาไปนั่งอยู่หน้าทีวี ดูสาวงามด้วยกัน
ผู้หญิงบนท้องถนนคือคนจริง ๆ ที่มองได้ จับต้องได้ แต่การมองมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหา
ในขณะที่ผู้หญิงในทีวีที่มองได้อย่างเดียวแต่จับต้องไม่ได้ ก็เปรียบเหมือนภาพวาด เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง
การชื่นชมงานศิลปะให้มากขึ้น จะช่วยปรับปรุงสุนทรียศาสตร์ของคนโดยไม่รู้ตัว
ภรรยาของเขาไม่เพียงแต่ดูรายการนี้เท่านั้น แต่ยังอิจฉาสาว ๆ ที่เดินอวดโฉมอยู่ในทีวีด้วย บอกว่าถ้าหล่อนยังไม่แก่ หล่อนอาจจะรับแรงบันดาลใจจากสาว ๆ เหล่านั้นเพื่อไล่ตามความฝัน แสดงให้ผู้อื่นมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
เขาไม่เข้าใจเลย คนดูสามารถตระหนักถึงคุณค่าในตัวผู้หญิงพวกนั้นโดยการแสดงเสน่ห์เล็ก ๆ น้อย ๆ บนเวทีได้ด้วยเหรอ? จะดีกว่าไหมที่พวกหล่อนควรตระหนักถึงคุณค่าในตนเองด้วยการทำงานในองค์กร และมีส่วนร่วมในการทำให้สี่ความทันสมัยกลายเป็นจริง?
ปัจจุบันรายการทีวีเหล่านี้กำลังล้างสมองผู้หญิง บิดเบือนค่านิยมของคนไปอย่างน่าเป็นห่วง
หวังอวี้เสียมองโจวเจียนกั๋วด้วยใบหน้าลึกลับแล้วถามว่า “รู้ไหมว่าเซี่ยอวี่คนนี้เป็นใคร?”
“ก็แค่ดาราคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ?” โจวเจี้ยนกั๋วบ่นกับหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย น้าสะใภ้ของเธอคงลืมไปแล้วว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ หล่อนไม่หยุดกรี๊ดกร๊าดแบบสาว ๆ เลย เฝ้าหน้าจอดูรายการประกวดนางแบบและคร่ำครวญตลอดทั้งวัน บ่นว่าตัวเองไม่น่าแก่ จะได้ทำตามความฝันอย่างที่ต้องการ ตั้งแต่เห็นดาราสาวชื่อเซี่ยอวี่ หล่อนก็ดึงดันจะลากฉันไปดูหนังให้ได้ โรงหนังในอำเภอของเราไม่มีหนังที่เซี่ยอวี่แสดง หล่อนยังลากฉันไปในเมืองใหญ่ ถึงค่าโดยสารไปกลับและอาหารรวมกันแล้วไม่เกินสิบหยวน แต่ก็ทำให้ฉันหงุดหงิดแทบตาย”
หวังอวี้เสียโต้กลับว่า “ถึงฉันจะแก่แต่ก็ต้องมีความฝันและไล่ตามในสิ่งที่ตัวเองพอใจหรือเปล่า? พอสภาพความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้น เราก็ไม่ควรเคร่งเครียดเกินไปจนสูญเสียจิตวิญญาณ”
หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“น้าสะใภ้พูดถูกค่ะ ทั้งอารยธรรมทางวัตถุและอารยธรรมทางจิตวิญญาณล้วนมีความสำคัญ”
ในยุคนี้ การเสริมสร้างวัฒนธรรมสมัยใหม่ยังโตไม่ทันแนวคิดทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้คน รอให้ผู้คนเลิกกังวลปัจจัยสี่เมื่อใด พวกเขาจะกระตือรือร้นในการแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ เอง
หวังอวี้เสียอาจเป็นตัวอย่างชั้นดีของผู้คนส่วนใหญ่ในเขตเทศมณฑลเล็ก ๆ แห่งนี้
ที่นี่มีกิจกรรมสันทนาการน้อยเกินไปสำหรับพวกเขา
โทรทัศน์ถือเป็นช่องทางสำคัญในการรับชมสิ่งใหม่ ๆ จากโลกภายนอก
หวังอวี้เสียยังคงอยู่ในอาการตื่นเต้นมากในขณะนี้ หล่อนเร่งเร้าหลินเซี่ยให้รีบพูด
“เซี่ยเซี่ย บอกน้าของเธอเร็วเข้าว่าเซี่ยอวี่เป็นใคร”
“ใครกัน?” โจวเจี้ยนกั๋วเห็นหวังอวี้เสียเอาแต่จู้จี้จุกจิก เขาก็เยาะเย้ย “ฟังจากน้ำเสียงของคุณ ทำอย่างกับเธอรู้จักดาราคนนั้นเป็นการส่วนตัวงั้นแหละ”
“อะไรนะ?” ฝ่าเท้าโจวเจียนกั๋วไม่มั่นคงจนเกือบจะล้มลง
“น้าคะ หล่อนเป็นอาหญิงของฉันจริง ๆ ค่ะ”
โจวเจี้ยนกั๋วไม่อยากจะเชื่อเลยว่างานศิลปะที่มองได้อย่างเดียวแต่จับต้องไม่ได้ที่หวังอวี้เสียพูดถึงจะกลายเป็นคนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง ๆ
ปฏิกิริยาของโจวเจี้ยนกั๋วทำให้หวังอวี้เสียภูมิใจมาก “คุณยังสงบสติอารมณ์ได้อยู่รึเปล่าล่ะ?”
หวังอวี้เสียพูดต่อไปว่า
“แล้วแม่หนูผู้เข้าประกวดที่ฉันชอบ ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของเซี่ยเซี่ยด้วยนะ”
โจวเจี้ยนกั๋วตกใจเป็นเวลาสองวินาที จากนั้นจึงคว้ารูปถ่ายจากมือหวังอวี้เสียมาดูอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
หวังอวี้เสียก็ยืนอยู่เคียงข้างเขา ทั้งคู่ก็มองดูรูปถ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความดื่มด่ำอย่างยิ่ง
หลินเซี่ยและหลิวกุ้ยอิงนั่งดูทีวีอยู่ด้านข้างพวกเขาเงียบ ๆ
หลังจากเงียบกันไปสักระยะหนึ่ง หวังอวี้เสียก็นึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โลกกลมอย่างไม่น่าเชื่อเลยไหมล่ะคะ ใครจะรู้ว่าคนที่ดูห่างเกินเอื้อมจะกลายมาเป็นญาติกันจริงๆ
ไหหม่า(海馬)