ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 485 อยากสร้างคนป่วยทางจิตเพิ่มหรือไง?
ตอนที่ 485 อยากสร้างคนป่วยทางจิตเพิ่มหรือไง?
เซี่ยเหลยคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพในทันที
การกระทำของเขาทำให้เซี่ยไห่ที่ยืนอยู่ด้านข้างประหลาดใจ
ลูกผู้ชายล้วนมีหัวเข่าเป็นทองคำ* ไม่ต้องพูดถึงว่าพี่ใหญ่ของเขาเป็นคนรุ่นเดียวกันกับหลินต้าฝู การจุดธูปไหว้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
(*สำนวน แปลว่าชายชาตรีที่แท้จริงจะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีโดยการคุกเข่าให้ใครง่ายๆ)
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่ใหญ่ของเขาไม่เคยคุกเข่าให้ใครมาก่อน
เซี่ยไห่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคุกเข่าลงพร้อมกับพี่ใหญ่ของเขา
เซี่ยเหลยคุกเข่าหน้าหลุมศพ จุดไฟเผาเงินกระดาษ ขณะที่หลินจินซานจุดธูปให้ จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “สวัสดีพี่หลิน ผมชื่อเซี่ยเหลย ผมรู้ว่าคุณคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผมมาบ้างแล้ว ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งสำหรับการดูแลสวัสดิภาพของอิงจื่อเป็นอย่างดีเสมอมา ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักและความพยายามในการปกป้องสองแม่ลูก คุณคือผู้มีพระคุณของผม…เซี่ยเหลย น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้พบกันในชีวิตนี้”
“ผมเอาเหล้ามาด้วย ขอดื่มให้กับคุณ”
เขาพูดต่อว่า “ไม่ต้องกังวล จากนี้ผมจะดูแลอิงจื่อและลูก ๆ ของคุณเป็นอย่างดี ผมยินดีจะเติมเต็มความปรารถนาและความรับผิดชอบแทนคุณในฐานะพ่อ ผมจะหาภรรยาให้จินซาน หาสามีให้เสี่ยวเยี่ยน และจะคอยกระตุ้นให้พวกเขาขยันทำงานหนักเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมจะปกป้องครอบครัวอย่างเต็มกำลังความสามารถ จากนี้ไป เราทุกคนจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างดี”
เซี่ยเหลยเผากระดาษเสร็จแล้ว เขาค้อมศีรษะลงคำนับอย่างจริงใจ จากนั้นจึงลุกยืนขึ้น
หลังจากที่ทุกคนคุกเข่าไหว้หลุมศพเสร็จแล้ว หลิวกุ้ยอิงยังนั่งอยู่คนเดียว เช็ดน้ำตาตัวเองอยู่หน้าหลุมศพอดีตสามี มีเรื่องที่อยากจะพูดมากมาย แต่ก็ช่างเค้นคำออกมายากเย็น
“ต้าฝู ฉันไม่รู้จะบอกคุณยังไง พ่อของเซี่ยเซี่ยยังมีชีวิตอยู่ เขารอดชีวิตกลับมาจากสนามรบอันแสนทรหดได้ ก่อนหน้านี้ฉันต่อสู้กับความคิดของตัวเองมาเป็นเวลานาน ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจากนี้จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา เชื่อว่าคุณจะต้องสนับสนุนการตัดสินใจของฉันแน่นอน”
ขณะที่หลิวกุ้ยอิงพูดแบบนี้ น้ำตาของหล่อนก็รินไหล ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นคู่ควรกับวิญญาณของหลินต้าฝูที่อยู่บนสวรรค์หรือไม่
หล่อนกำลังจะแต่งงานใหม่
นี่ถือเป็นการทรยศต่อหลินต้าฝูหรือเปล่านะ?
หัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องและขัดแย้ง
หลินเซี่ยดึงหล่อนขึ้นมาแล้วพูดว่า “แม่ หยุดร้องไห้เถอะค่ะ พ่อหลินต้องอยากให้แม่มีความสุขแน่นอน”
ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงอาบไปด้วยน้ำตา มองไปที่หลุมศพซึ่งเป็นเนินสูงด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
หลินจินซานคุกเข่าลง จากนั้นก็พูดอย่างมีเหตุผล
“พ่อครับ แม่ผมอายุแค่สี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ผู้หญิงบางคนในเมืองใหญ่อายุเกือบสี่สิบปีแล้ว พวกหล่อนยังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ ถ้าแม่ผมต้องเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวเพราะเห็นแก่พ่อ พ่อคงไม่เห็นด้วยเหมือนกันใช่ไหม? ในฐานะลูกชาย ผมคงจะคัดค้านหากหล่อนแต่งงานกับคนอื่น แต่คนคนนี้คือลุงเซี่ยพ่อผู้ให้กำเนิดของเซี่ยเซี่ย และยังเป็นรักแรกของแม่ผมด้วย ถ้าเขาไม่ไปทำสงครามในเวลานั้น พ่อก็ไม่มีโอกาสได้พาแม่กลับมาที่บ้านของเรา พ่ออยู่คนละโลกกับเราแล้ว ไม่สามารถดูแลปกป้องแม่ได้อีกต่อไป พวกเราก็โต ๆ กันแล้ว ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ตอนนี้ถือว่าดีมากแล้วที่พวกเราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง พ่อต้องอวยพรพวกเราจากสรวงสวรรค์นะ”
คำพูดที่จริงใจของหลินจินซาน ทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยไห่ ในขณะนี้เขามองไปที่หลินจินซานด้วยความชื่นชมจากใจจริง
เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนบ้านนอก จึงมักจะมีอคติต่อหลินจินซานอยู่ในใจเสมอ แม้กระทั่งตอนที่หลินจินซานเปลี่ยนคำเรียกเขาว่าอารอง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูกในใจ
เพราะเขามักจะรู้สึกเสมอว่าหลินจินซานกำลังอาศัยทางลัดเพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพ
ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลุมศพของผู้เป็นพ่อ และพูดถ้อยคำเหล่านี้อย่างจริงใจ เซี่ยไห่ก็เข้าใจความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงอย่างชัดเจนมากขึ้น
เขาปฏิบัติต่อหลิวกุ้ยอิงเหมือนเป็นแม่แท้ ๆ ของเขาเอง
แน่นอน สำหรับหลิวกุ้ยอิงแล้ว หล่อนก็ถือว่าหลินจินซานก็เป็นลูกชายทางสายเลือดของหล่อนเช่นกัน
ในฐานะแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยง การที่มีความผูกพันแน่นแฟ้นในระดับนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์อุปนิสัยของพวกเขา
พวกเขามอบความรักต่อกันอย่างจริงใจ
เซี่ยไห่ยกนิ้วให้เขา ชื่นชมอย่างจริงใจ “จินซาน วันนี้นายพูดได้ดีจริง ๆ”
เซี่ยไห่เทเหล้าราดหน้าหลุมศพ “พี่หลิน โปรดอวยพรพี่ใหญ่และพี่สาวอิงจื่อด้วยจิตวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ด้วยเถอะ พี่ใหญ่ของผมเป็นทหารผ่านศึก คุณคงเคยได้ยินวีรกรรมหาญกล้าของเขามาก่อนแล้ว เขาไม่มีทางปฏิบัติต่อจินซานและเสี่ยวเยี่ยนน้องสาวของเขาอย่างไร้มนุษยธรรมแน่ ครอบครัวของเราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนเป็นลูกหลานแท้ ๆ”
ทันทีที่เซี่ยไห่พูดจบ อีกาที่เกาะคบไม้อยู่ไม่ไกลก็ส่งเสียงร้องสองครั้ง
เซี่ยไห่บอกว่า “ได้ยินไหม พี่หลินส่งตัวแทนมาตอบรับพวกเราล่ะ เขาสนับสนุนให้พี่ใหญ่และพี่อิงจื่อให้กลับมาสานสัมพันธ์ด้วยกันอีกครั้ง”
มุมปากของหลินจินซานกระตุกเล็กน้อย “อารอง อีกาตัวนั้นส่งเสียงเย็นชาเกินไป พ่ออาจส่งสารฝากมันมาบอกว่าไม่เต็มใจก็ได้นี่?”
เซี่ยไห่โต้กลับ “ทำไมจะไม่เต็มใจ ต่อให้อีกาจะมีความสุขแค่ไหน เสียงมันก็เป็นแบบนี้อยู่วันยังค่ำ”
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองพูดติดตลก บรรยากาศที่หนักหน่วงแต่เดิมก็ผ่อนคลายมากขึ้น
หลิวกุ้ยอิงบอกกับทุกคนว่าในเมื่อหล่อนได้กลับมาทั้งที หล่อนก็อยากนั่งอยู่หน้าหลุมศพอีกสักพัก เพื่อพูดคุยกับหลินต้าฝู รายงานสถานการณ์ของลูก ๆ ให้เขาฟัง
ทุกคนจึงไม่รบกวนหล่อน ปล่อยให้หล่อนนั่งอยู่คนเดียวหน้าหลุมศพและบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ นานากับอดีตสามีผู้ล่วงลับ
เช่นเดียวกับหลินต้าฝู ทุกครั้งที่เขากลับมาบ้าน เขามักจะเล่าให้หล่อนฟังถึงสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่เขาพบเจอนอกบ้านหลังจากไปทำงานมาหลายเดือน ตอนนี้ถึงคราวของหล่อนแล้วที่ต้องเล่าให้เขาฟังบ้าง
แต่น่าเสียดายที่หล่อนไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมา
“พ่อคะ ให้แม่อยู่คุยกับพ่อหลินนานกว่านี้อีกหน่อยแล้วกัน ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะได้กลับมาที่นี่เมื่อไหร่ พวกเราไปเดินเล่นกันเถอะค่ะ”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงระบายความคับข้องใจและความกังวลในใจของหล่อนออกไปจนหมดจด หล่อนก็จะยินดีเริ่มต้นชีวิตคู่ครั้งใหม่ได้อย่างง่ายดายขึ้น
หลินจินซานดูแลหลุมศพ เดินไปถอนวัชพืชรกร้างออกจากหลุมศพของปู่เขาด้วย ส่วนหลินเซี่ยและเซี่ยเหลยยืนอยู่บนเนินเขา มองไปยังหมู่บ้านด้านล่าง
เธอมองไปที่หมู่บ้านตรงตีนเขา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ถ้าฉันไม่โดนเสิ่นเถี่ยจวินสลับตัวตั้งแต่เด็ก ฉันคงเติบโตขึ้นในหมู่บ้านนี้ตั้งนานแล้ว”
ไม่รู้ว่าเลยว่าชีวิตเธอในตอนนี้จะเป็นอย่างไร หรือจะเป็นอย่างไรถ้าเธอเติบโตในหมู่บ้านอันห่างไกลแต่แรก
เธอจะมีโอกาสได้แต่งงานกับเฉินเจียเหอไหม?
เธอจินตนาการว่า ถึงแม้เธอจะเติบโตขึ้นในหมู่บ้าน หลินต้าฝูก็คงรักเธอมากไม่ต่างจากเสิ่นอวี้อิ๋ง บางทีชีวิตของเธออาจจะไม่ลำบากหรือเลวร้ายมากนัก
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นโชคชะตา
ในที่สุดหลิวกุ้ยอิงก็พูดจบ หล่อนลุกขึ้นยืน ปาดน้ำตา แสดงอารมณ์หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวผ่านแววตาคู่นั้น
“ถ้าอย่างนั้นเราลงไปจากเนินเขานี้กันเถอะ”
“แม่ อยากกลับไปที่หมู่บ้านไหม?” หลินจินซานถามหลิวกุ้ยอิง
ตอนนี้เขากลับมาแล้ว หลินจินซานต้องกลับไปดูบ้านตัวเองสักหน่อย
อย่างแรกคือดูสภาพบ้าน อย่างที่สองคือแวะไปหาย่า
แม้ว่าเขาเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับคนเลวเหล่านั้นทันทีที่เขากลับมาถึงไว้บ้างแล้วก็ตาม
ที่นี่คือบ้านของเขา สถานที่ที่เขาเติบโตมาแต่อ้อนแต่ออก ถ้าเขาไม่ย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง เขาคงใช้เวลาที่เหลือตลอดทั้งชีวิตเพื่อปกป้องดูแลพื้นที่หนึ่งในสามไร่ของหมู่บ้าน
แม้เขาจะเข้าไปอยู่ในเมือง แต่รากเหง้าของเขาก็อยู่ที่นี่ วันข้างหน้าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลับมา
ไม่มีทางที่เขาจะเอาแต่กลัวอารองจนไม่กล้ากลับไปที่บ้านเกิดของตัวเอง
เขาอยากรู้ว่าคนที่มาเช่าบ้านของเขา มีใครได้รับความเดือดร้อนรำคาญอะไรหรือไม่
แต่ถ้าหลิวกุ้ยอิงไม่ต้องการกลับไป หลินจินซานก็สามารถเข้าใจได้ สิ่งที่เขาต้องการจะพูดก็คือ หลิวกุ้ยอิงสามารถกลับเข้าตัวอำเภอไปก่อนเพื่อรอเขาจัดการเรื่องต่าง ๆ จนเสร็จได้
หลิวกุ้ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “กลับสิ กลับด้วยกัน”
เซี่ยเหลยบอกว่า “งั้นพวกไปเยี่ยมตายายของเจียเหอกันเถอะ พยายามกลับออกไปไม่เกินบ่าย”
โจวเจี้ยนกั๋วและหวังอวี้เสียกลับมาที่บ้านแต่เช้าเพื่อบอกข่าวให้ผู้เฒ่าทั้งสองรู้ถึงการกลับมาของหลินเซี่ย ในขณะนี้ ชายและหญิงชราทั้งสองจึงยืนอยู่ที่หน้าประตู มองไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
คนที่อยู่รอหลินเซี่ยเป็นเพื่อนพวกเขาเช่นกัน ก็คือพ่อแม่ของเอ้อร์เลิ่ง
พวกเขากระตือรือร้นอยากจะเจอหลินเซี่ย และถามไถ่ข่าวคราวของเอ้อร์เลิ่งจากเธอ
หลินเซี่ยเห็นสองผู้เฒ่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่หน้าประตูจากระยะไกล เธอก็ตะโกนเรียกด้วยความยินดี “คุณตา คุณยาย พวกเรากลับมาแล้วค่ะ”
หลินเซี่ยก้าวยาว ๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาพวกเขาด้วยความตื่นเต้น
“แม่หนู เธอกลับมาแล้ว ยายกับตาคิดถึงเธอมาก ๆ เลยนะ”
คุณยายโจวจับมือหลินเซี่ย จากนั้นมองไปรอบ ๆ ฝูงชนเพื่อยืนยันว่าในบรรดาพวกเขาไม่มีคนที่นางอยากเจอมากที่สุด “หู่จือไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ?”
“คุณยาย ครั้งนี้ฉันไม่ได้พาหู่จือมาด้วยค่ะ”
เมื่อหญิงชราไม่เห็นหู่จือ สีหน้านางจึงดูผิดหวังเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “เห็นทีเราคงต้องรอจนกว่าจะถึงปีใหม่แล้วล่ะ”
หลินเซี่ยผายมือไปทางเซี่ยเหลยและเซี่ยไห่และแนะนำพวกเขาให้ผู้เฒ่าทั้งสองรู้จัก “นี่พ่อฉันค่ะ และอารองของฉัน”
“ลุงโจว ป้าโจว สวัสดีครับ”
“เขาคนนี้คือพ่อแท้ ๆ ของเธอสินะ? นั่นก็เซี่ยไห่ใช่ไหม? พวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่มีความสามารถมาก” ผู้เฒ่าโจวทักทายอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น “มาเถอะ จินชาน เข้ามาเร็วเข้า”
พ่อแม่ของเอ้อร์เลิ่งพยายามจะทักทายเธอแต่ไม่สบโอกาสเลย
พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามไป
ผู้เฒ่าโจวจับมือเซี่ยเหลยไว้ แสดงความเคารพต่อวีรกรรมที่เขาทำเพื่อชาติ
คุณยายโจวก็จับมือหลิวกุ้ยอิงและเดินไปที่ห้องหลักด้วยกัน
ในที่สุด พ่อแม่ของเอ้อร์เลิ่งก็พบโอกาสที่จะเข้าหาหลินเซี่ย พวกเขาถามเธออย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับข่าวคราวของเอ้อร์เลิ่ง “เซี่ยเซี่ย เรากำลังอยากถามเธออยู่เลย ช่วงนี้เธอได้เจอกับเอ้อร์เลิ่งนับตั้งแต่เขาเข้าไปอยู่ในเมืองบ้างไหม? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? อาการเป็นยังไงบ้าง? เขาไม่ได้สร้างปัญหาให้เธอใช่ไหม?”
หลินเซี่ยเพิ่งสังเกตเห็นพ่อแม่ของเอ้อร์เลิ่ง พวกเขาดูผ่ายผอมมากกว่าปีที่แล้วเสียอีก พ่อของเอ้อร์เลิ่งเริ่มมีผมหงอกขาว ผอมแห้ง ดูเหมือนสุขภาพไม่ดีนัก
พ่อแม่ชราที่น่าสงสาร
ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้พ่อของเอ้อร์เลิ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไว้ในข้อหาซื้อภรรยาให้เอ้อร์เลิ่ง เขาต้องทนทุกข์ทรมานตอนที่ตัวเองอายุมากแล้ว
ไม่ว่าจะอายุเท่าใด ตราบใดที่ทำผิดกฎหมาย คนคนนั้นย่อมต้องชดใช้สำหรับการกระทำของตัวเอง
หลินเซี่ยนำข่าวดีมาบอกพวกเขา “ลุง ป้า เอ้อร์เลิ่งได้หมอแผนจีนเย่ช่วยรักษาแล้วค่ะ อาการของเขาดีขึ้น ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเขาชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมากเลย”
เมื่อคู่สามีภรรยาสูงอายุได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย พวกเขาก็ตื่นเต้นมาก “จริงเหรอ? เขาดีขึ้นจริง ๆ เหรอ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ เริ่มหายบางส่วนแล้ว”
ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏบนแก้มของพ่อแม่เอ้อร์เลิ่ง “ดีแล้วที่การรักษาของหมอได้ผล ดีแล้วที่ได้ผล ขอบคุณเจียเหอ พวกเราอยากขอบคุณเจียเหอจริง ๆ”
สามีภรรยาสูงอายุถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจเมื่อได้ยินข่าวดีนี้
พวกเขาพร่ำพูดคำขอบคุณต่อไป
พ่อของเอ้อเลิ่งร์มีความสุขอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ จึงมองไปที่หลินเซี่ยอีกครั้ง ถามอย่างลังเลว่า “เซี่ยเซี่ย มีอีกเรื่องที่อยากทำ คือว่า… ลูกสะใภ้ที่ฉันเคยซื้อตัวมาให้เอ้อร์เลิ่ง ได้ยินมาว่าหล่อนเป็นชาวไห่เฉิงเหมือนกัน เธอเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกไหม? ครอบครัวของหล่อนไม่ได้ตามมาเอาเรื่องเอ้อร์เลิ่งใช่หรือเปล่า?”
เมื่อกล่าวถึงไล่เสี่ยวอวิ๋นที่ถูกลักพาตัว หลินเซี่ยก็มีสีหน้าย่อลงเล็กน้อย พลางส่ายหน้า “ฉันไม่เคยเจอหล่อนเลยค่ะ”
พ่อของเอ้อร์เลิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที “งั้นก็ดีแล้ว ฉันแค่กลัวว่าพวกเขาจะมาแก้แค้นเอ้อร์เลิ่ง”
เซี่ยไห่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและพูดสองสามคำว่า “นี่ลุง อย่าหาว่าฉันยุ่งเรื่องชาวบ้านเลยนะ แต่สิ่งที่คุณทำมันเกินไปจริง ๆ รู้ไหมว่าพฤติกรรมของตัวเองมันแย่แค่ไหน? พวกคุณลืมไปแล้วหรือไงว่าลูกชายตัวเองไม่ปกติยังไง? คิดจะทำลายชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งยังไม่พอ ยังจะให้ผู้หญิงคนนั้นคลอดหลานให้ตัวเองอีก คนแบบเอ้อร์เลิ่งจะเอาปัญญาที่ไหนมาเลี้ยงดูเด็ก? ดูแลผู้ป่วยทางจิตคนเดียวก็หนักหนาพออยู่แล้ว ยังอยากสร้างผู้ป่วยทางจิตเพิ่มอีกคนหรือไง?”
พ่อของเอ้อร์เลิ่งถูกคนแปลกหน้าต่อว่าอย่างรุนแรง เขาก็ถามกลับด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “คุณเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้?”
เซี่ยไห่ก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน พูดอย่างชอบธรรมว่า “ผมก็เป็นพลเมืองดีคนหนึ่งที่ยึดมั่นในหลักยุติธรรมไงล่ะ และก็ทนกับพฤติกรรมโง่ ๆ ของคุณไม่ไหว ทำไมจะพูดแบบนี้ไม่ได้?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ปล่อยให้คุณแม่ได้วางทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่นี่ก่อน ไม่งั้นก็ไม่มูฟออนสักที
พี่ไห่ทะลุกลางปล้องมาแบบน่ากลัวจะมีเรื่องมาก
ไหหม่า(海馬)