ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 487 คุณมันไม่ใช่คน
ตอนที่ 487 คุณมันไม่ใช่คน
หลินจินซานรู้ทันทีว่าหวังจวี๋เซียงกำลังดุด่าย่าของเขา
เขาพูดเสียงทุ้ม “อาสะใภ้รอง”
หวังจวี๋เซียงที่กำลังสาปแช่งใครบางคนได้ยินคนเรียกหล่อน จึงหันกลับไปมอง พอเห็นว่าอีกฝ่ายคือหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน หล่อนก็ตกตะลึง สีหน้าฉายความประหลาดใจ
หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ มุมปากหล่อนก็ยกขึ้นเล็กน้อย ไม่ลืมพูดจาเหน็บแนมเยาะเย้ยพวกเขาสองแม่ลูก “โอ้ นี่ใครกัน? พวกเธอไม่ได้หนีไปตายเอาดาบหน้าในเมืองหรอกเหรอ? กลับมาทำไมล่ะ? อยู่ในเมืองไม่รอดแล้วสิท่า?”
หลินจินซานมองหวังจวี๋เซียงที่พูดจาประชดประชัน และตอบโต้หล่อนด้วยถ้อยคำยอกย้อน “เราจะอยู่รอดในเมืองได้หรือไม่ได้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณกันล่ะ?”
หลินจินซานตะโกนไปที่ห้องหลัก “ย่า ผมจินซานเอง ผมกลับมาแล้ว”
“จินซานเหรอ?” แม่เฒ่าหลินได้ยินเสียงของหลินจินชาน จึงก้าวข้ามธรณีประตูห้องด้านข้างออกมาด้วยเท้าเล็ก ๆ พาร่างกายสั่นเทาตรงมาหาเขา
หลิวกุ้ยอิงแทบไม่เชื่อสายตาเลยเมื่อเห็นแม่เฒ่าหลินเดินออกมาจากห้องด้านข้าง
ในเวลาเพียงครึ่งปี หญิงชรามีน้ำหนักลดฮวบ กลายเป็นยายแก่หนังหุ้มกระดูก
ช่วงหกเดือนที่ผ่านมา หญิงชราต้องประสบกับความลำเค็ญอะไรบ้าง?
เมื่อก่อนนางเคยเป็นหญิงชราที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าหลินเอ้อร์ฝูจะจัดแจงให้นางไปอาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ แทน
สมัยพวกเขายังอยู่ในหมู่บ้าน แม้กระทั่งตอนที่บ้านหลังใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ สมาชิกในครอบครัวจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในห้องด้านข้าง โดยที่หญิงชราจะอยู่ในห้องหลักเสมอ
หล่อนเพิ่งจะเข้าใจความเป็นไปทุกอย่างจากเสียงดุด่าของหวังจวี๋เซียงเมื่อครู่นี้เอง
การดำรงชีวิตของแม่เฒ่าหลินที่บ้านของหลินเอ้อร์ฝูน่าจะยากลำบากน่าดู
“กุ้ยอิง จินซาน พวกเธอกลับมาแล้ว” แม่เฒ่าหลินเหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต ประคองตัวเองวิ่งไปหาพวกเขาอย่างสิ้นหวัง
หลินจินซานก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองหญิงชรา
“ย่า เดินช้า ๆ หน่อย”
แม่เฒ่าหลินได้รับการประคองจากหลินจินซาน จึงมองหน้าหลานชายคนโต จากนั้นน้ำตาก็รินไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
หวังจวี๋เซียงโกรธจัดขึ้นมาเมื่อเห็นหญิงชราเป็นแบบนั้น หล่อนตะคอกว่า “ร้องไห้บีบน้ำตาทำไม? สะใภ้ใหญ่ของแม่กับหลานชายคนโปรดกลับมาทั้งที คิดจะฟ้องเรียกร้องความสงสารสินะ? แต่ละวันรู้แค่วิธีกินกับนอน พึ่งพาอะไรไม่ได้สักอย่าง จะมาโทษว่าเป็นความผิดของพวกฉันได้ยังไง?”
หลินจินซานตอบกลับหวังจวี๋เซียง “ทำไมถึงได้ปากมอมแบบนี้? ท่านไม่ได้กินของของคุณฟรี ๆ ซะหน่อย ที่ดินที่ท่านมีก็ยกให้คุณไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?”
หลินจินซานไม่เห็นหลินเอ้อร์ฝู ดังนั้นเขาจึงถามหวังจวี๋เซียง
“อารองไปไหน”
“ออกไปกลางทุ่งนาโน่น ใครจะไปเหมือนเธอล่ะ กลายเป็นคนเมืองใหญ่ได้ใส่เสื้อผ้าสวย ๆไปแล้ว ถ้าเขาไม่ออกไปทำงานที่ทุ่งนา ครอบครัวเราจะเอาเงินที่ไหนกินดื่ม?”
หวังจวี๋เซียงสังเกตเห็นว่าผิวพรรณของหลิวกุ้ยอิงดูขาวขึ้นกว่าเดิมมาก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูทันสมัยมากเช่นกัน แตกต่างจากสะใภ้ตรากตรำหน้าเครียดในหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง
หล่อนรู้สึกโกรธไม่หาย โกรธเมื่อคิดว่าเฉินเจียเหอให้สัญญากับพวกเขาว่าจะแบ่งปันโควตาพนักงานของโรงงานให้พวกเขาสามโควตา แต่แล้วกลับเพิกเฉยเหมือนคำสัญญานั้นไม่เคยเกิดขึ้น
ถ้าหล่อนและหลินเอ้อร์ฝูได้เข้าไปทำงานในเมือง พวกเขาคงจะดูดีกว่าหลิวกุ้ยอิงอย่างแน่นอน
เมื่อหลินเอ้อร์ฝูไม่อยู่ หลินจินซานก็มองไปที่หวังจวี๋เซียงและถามว่า “ฉันปล่อยบ้านให้ครอบครัวของเถี่ยจู้เช่าอยู่ ทำไมพวกคุณถึงถือวิสาสะขัดขวางไม่ให้คนอื่นอาศัยอยู่ในนั้น?”
ดวงตาของหวังจวี๋เซียงวูบไหว แต่กลับปฏิเสธที่จะยอมรับ “ฉันทำแบบนั้นเสียเมื่อไหร่? อย่ามาถ่มน้ำลายใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้นะ”
“คุณเองรู้ดีแก่ใจว่าทำอะไรลงไป”
ขณะที่พวกเขากำลังปะทะฝีปากกัน หลินเอ้อร์ฝูก็กลับมาพร้อมกับพลั่วที่พาดอยู่บนไหล่
เมื่อเขาเห็นหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิง เขาก็ทักทายทั้งสองอย่างเป็นกันเอง
“โอ้ จินซานและพี่สะใภ้กลับมาแล้วเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงและหลินจินซานมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความปรานี ถามว่า “อารอง ผมปล่อยเช่าบ้านของพวกเราให้กับครอบครัวของเถี่ยจู้ แต่คุณกลับจงใจสร้างปัญหาเพื่อไม่ให้พวกเขาอยู่อย่างสงบได้ไปทำไมกัน?”
แน่นอนว่าหลินเอ้อร์ฝูก็ปฏิเสธเช่นกัน “จินซาน เราไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของคนอื่น”
“พวกคุณอยากได้บ้านหลังนั้นไว้เองใช่ไหมล่ะ? ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีวัน! ผม หลินจินซาน ลูกผู้ชายอกสามศอกยืนอยู่ที่นี่ทั้งคน ในเวลากลางวันแสก ๆ แบบนี้ พวกคุณกล้าปล้นผมซึ่งหน้าเหรอ?”
“จินซาน เธอเข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่ใช่การเข้าใจผิดอะไรทั้งสิ้น อารองก็รู้อยู่แก่ใจ จากนี้ถ้าคุณยังมีความคิดที่ไม่ถูกไม่ควรอีก คราวนี้ผมคงต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ลงพื้นที่มาจัดการ ลูกพี่ลูกน้องผมต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงวัยอันสมควรที่จะแต่งงาน พวกเขาต้องไม่อยากเดือดร้อนเพราะพ่อแม่ตัวเองแน่ ตราบใดที่คดีความถึงโรงพัก ในอนาคตชื่อเสียงพวกคุณจะเสื่อมเสียแบบกู้ไม่ได้ ทีนี้อยากรู้นักว่าลูกชายพวกคุณจะหาเมียได้ไหม?”
หลินจินซานตอนนี้มีท่าทางแข็งแกร่งน่าเกรงขาม แผ่รังสีน่าหวาดหวั่น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชายหนุ่มผู้ไม่รู้ประสาก่อนหน้านี้ ทำให้หลินเอ้อร์ฝูรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของหลินจินซานมาก พร้อมกันนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวกับคำพูดของเขา
พ่อของเอ้อร์เลิ่งและพี่ชายถูกควบคุมตัวเมื่อไม่นานมานี้ ได้ยินมาว่าชีวิตในตะรางของพวกเขายากลำบากมาก
อีกทั้งยังได้ยินมาว่าเฉินเจียเหอนั่นเองที่เป็นคนโทรแจ้งตำรวจ ส่งพวกเขาเข้าคุก
เฉินเจียเหอแสดงให้ชาวบ้านเห็นแล้วว่าเวลาเอาจริงเขาโหดเหี้ยมแบบไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น ถ้าหลินจินซานพาตำรวจที่รู้จักกับเฉินเจียเหอมาจับกุมเขา ชีวิตของเขาคงถึงคราวจบเห่
หลินเอ้อร์ฝูและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจข้อกฎหมาย มักจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักประมาณตนเองเสียทีเดียว
“จินซาน เธอเข้าใจเราผิดไปจริง ๆ บ้านหลังนั้นเป็นของเธอ เธอจะปล่อยเช่ามันให้ใครก็ได้ตามที่ต้องการ ฉันจะกล้าทำอะไรไม่ดีไม่งามได้ยังไง? อย่าไปฟังคำกล่าวหาไร้สาระจากพ่อของเถี่ยจู้ เถี่ยจู้และเมียเขาออกไปทำงานข้างนอก ตอนนี้มีคนอยู่ในบ้านแค่คนเดียว พอเขาเจอเธอก็เลยคิดจะยกเลิกสัญญาเช่าและหาเหตุผลมาอ้างมากกว่า”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จากนี้เป็นต้นไป ถ้าพวกคุณสองคนกล้าเหยียบเข้ามาในเขตบ้านของผมและก่อปัญหาอีก คราวนี้ผมแจ้งตำรวจจริงแน่”
หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาถูกข่มขู่ให้หวาดกลัวได้สำเร็จ
ทั้งสองสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะไม่ทำอะไรที่ก้าวก่ายอย่างแน่นอน
เมื่อหลินเอ้อร์ฝูเห็นว่าหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงแต่งตัวกลืนกับคนเมืองใหญ่ อุปนิสัยของพวกเขาก็เปี่ยมความมั่นใจขึ้นหลายระดับ เขาก็กลอกตาขึ้นฟ้า ฝืนยิ้มแย้มเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา
อย่างน้อยถ้าหว่านล้อมหลินจินซานให้พาลูกชายเขาเข้าไปหางานทำในเมืองได้ก็ยังดี
สองสามีภรรยาอาจต้องทนอยู่อย่างอุดอู้ในชนบทไปตลอดชีวิต แต่ลูก ๆ ของพวกเขายังมีโอกาสพลิกชะตาโดยการเข้าไปอยู่ในเมือง หางานทำ เปิดโลกกว้าง และอาจเจอคู่ชีวิตข้างนอกเหมือนกับเถี่ยจู้ ที่ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่เรียกสินสอดทองหมั้น
หลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงเพิกเฉยต่อคำเยินยอของเขา หลังจากหลินจินซานขู่เตือนหลินเอ้อร์ฝูแล้ว เขาก็พูดกับแม่เฒ่าหลิน
“ย่า เข้าไปในบ้านเถอะ พวกเราจะไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม แม่เฒ่าหลินกลับคว้าแขนเสื้อของหลินจินซานไว้โดยปฏิเสธที่จะปล่อย
เหมือนพยายามคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้
นางคว้าแขนเสื้อของหลินจินซาน ขอร้องหลานชายอย่างขมขื่น “จินซาน ช่วยพาย่าออกไปจากที่นี่ด้วยได้ไหม? ย่าอยากพึ่งพาเธอไปตลอดชีวิตนับจากนี้”
“กุ้ยอิง ที่ผ่านมาเป็นความผิดของฉันเอง ต่อไปนี้ฉันจะไม่โขกสับให้เธอลำบากอีกแล้ว ขอให้ฉันได้ไปอยู่กับพวกเธอได้ไหม?”
หลินจินซานชักมือเขากลับแล้วพูดว่า “ย่า ผมมีงานข้างนอกรออยู่ คงจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ ย่าพักอยู่ที่บ้านอารองไปก่อนเถอะ ไว้วันหลังผมจะกลับมาเยี่ยมย่าบ่อย ๆ”
แม่เฒ่าหลินร้องไห้เสียงดังทันที “หลานเอ๋ย ย่าเกรงว่าคราวหน้าเธอจะไม่มีโอกาสได้เจอย่าอีก”
ร่างกายผอมซูบของนางสั่นสะท้าน รู้สึกไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย
เมื่อหลินเอ้อร์ฝูได้ยินว่าหลินจินซานกำลังจะจากไป เนื่องจากเขาไม่มีความตั้งใจที่จะดูแลหญิงชรา และไม่อยากจะคำนึงถึงความสัมพันธ์ในฐานะญาติกับอีกฝ่ายอีก ดังนั้นหลินเอ้อร์ฝูจึงเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นทางออกไม่ให้หลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงไปไหน แล้วพูดอย่างเย็นชา
“จินซาน ถึงพ่อเธอจะตายไปแล้ว แต่เธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเหมือนกัน เธอต้องรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน คนที่ควรดูแลย่าควรเป็นเธอ จะทิ้งท่านไว้กับฉันไม่ได้”
ตอนนี้แม่เฒ่าหลินเป็นยายแก่ไร้ค่าแล้ว หลินเอ้อร์ฝูไม่อยากเลี้ยงดูนางอีก
เมื่อหลินจินซานเห็นอีกฝ่ายแสดงความเห็นแก่ตัว เขาก็แค่นยิ้มเยาะเย้ย
หลายปีที่ผ่านมา ลูกชายคนโปรดของหญิงชราคืออารองคนนี้
หลินเอ้อร์ฝูกินจุมาก ขี้เกียจทำมาหากิน แต่เพราะเขามีวาจาฉอเลาะ จึงทำให้หญิงชราพอใจได้ไม่ยาก
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เขาจะแต่งงานแล้วก็ตาม เขาก็ไม่ยอมทำอะไรเลยนอกจากกิน ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้าน
พอพ่อของเขาเสียชีวิต ทั้งครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านสร้างใหม่ มีแม่ของเขาเป็นคนใช้ของทุกคน
ในแต่ละวัน หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาไม่ทำอะไรเลยนอกจากคอยปั้นหน้าเอาอกเอาใจหญิงชรา
ตอนนี้ พอหญิงชราหมดความสำคัญถึงคิดจะเขี่ยทิ้ง
หลินจินซานมองไปที่หลินเอ้อร์ฝู เหยียดยิ้มเยาะหยัน
“อารอง คุณมันไม่ใช่คนจริง ๆ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คิดหาทางผลักภาระเลี้ยงดูแม่ตัวเองไปให้หลานเหรอ อย่าคิดว่าจะสมหวังเลย จินซานกับกุ้ยอิงตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)