ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 490 คิดคำนวณเอาประโยชน์เข้าตัว
ตอนที่ 490 คิดคำนวณเอาประโยชน์เข้าตัว
หลิวกุ้ยอิงหยุดชะงักชั่วคราว มองไปที่แม่เฒ่าหลิน
ตัวตนของเซี่ยเหลยทำให้หลิวกุ้ยอิงสับสนมากว่าหล่อนควรบอกเรื่องการแต่งงานใหม่ของตัวเองกับหญิงชราหรือไม่ ดังนั้นเมื่อหญิงชราเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน หลิวกุ้ยอิงจึงอ่อนไหวมาก สงสัยว่าหญิงชราจะคิดได้จริง ๆ หรือ อยากให้หล่อนแต่งงานใหม่จริงหรือ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หล่อนก็เล่าเรื่องราวของหล่อนกับเซี่ยเหลยได้อย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม หญิงชรากลับพูดขึ้นว่า “ฉันว่านะ เธออย่าออกไปทำงานข้างนอกจนแก่เฒ่าเลย ฉันจะไปติดต่อแม่สื่อให้หาผู้ชายแต่งเข้าบ้าน มีคนร่างกายกำยำแข็งแรงมาทำงานแทน เธอจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป จินซานทำงานข้างนอก ที่บ้านก็มีคนช่วยงาน และเรายังจะหาภรรยาให้จินซานได้ง่ายขึ้นด้วย”
หลิวกุ้ยอิงตกตะลึงทันที ไม่อยากจะเชื่อในวงจรสมองของหญิงชราตรงหน้า
เมื่อเห็นสีหน้าน่าเกลียดของหล่อน แม่เฒ่าหลินกล่าวต่อ
“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรต้องอาย ขนาดยายแก่อย่างฉันยังรับได้เลย ต้องสนใจคนอื่นที่มายุ่งวุ่นวายทำไม? ลองหาชายวัยไล่เลี่ยกับเธอจากหมู่บ้านใกล้เคียงดู บ้านเรายินดีให้เขาแต่งเข้า แล้วเธอก็รับผิดชอบเรื่องเก็บเกี่ยวผลผลิตในที่ดินของเราเอง พอมีคนทำงาน เราก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้สองครั้งต่อปีนับจากนี้ ถือว่าได้ทั้งขึ้นทั่งล่องไม่ใช่เหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงมองนางอย่างเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “คิดไว้ไม่ผิด คุณยังเห็นแก่ตัวไม่มีเปลี่ยน”
แม่เฒ่าหลินไม่คิดว่าความคิดตัวเองจะมีอะไรผิดปกติ “อย่ามองฉันแบบนั้น ฉันแค่ไม่อยากให้สมาชิกในครอบครัวเรากระจัดกระจายออกไปอยู่ต่างถิ่นฐาน เธอไม่เข้าใจเจตนาดีของฉันหรอกเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงพูดเสียงทุ้ม “คิดคำนวณเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองทั้งนั้น”
หญิงชราอยากใช้วิธีนี้ก็เพื่อกักขังหล่อนให้คอยรับใช้และอยู่กับตระกูลหลินต่อไป
“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของฉันในอนาคตหรอกค่ะ ฉันมาเยี่ยมคุณในวันนี้ก็เพราะเห็นแก่ต้าฝู ฉันไม่ได้ติดหนี้อะไรคุณเลย เวลาหลายปีที่ฉันอยู่ในตระกูลหลิน ฉันปฏิบัติต่อคุณในฐานะญาติผู้ใหญ่มาตลอด กระทั่งแม่แท้ ๆ ของฉันยังไม่ได้รับการปรนนิบัติขนาดนี้ ขอพูดตรงนี้เลยว่าชะตากรรมระหว่างเราในฐานะแม่สามีและลูกสะใภ้จบลงแล้ว อย่าคิดจะผูกมัดฉันด้วยวิธีใด ๆ อีกเลย”
หลังจากหลิวกุ้ยอิงพูดจบ หล่อนก็ออกไปด้วยความโกรธ
หลินจินซานเพิ่งซื้อบะหมี่กลับมาครึ่งถุงพร้อมกับน้ำมันหนึ่งหม้อมาจากเพื่อนบ้านให้หญิงชรา เมื่อเห็นสีหน้าน่าเกลียดของหลิวกุ้ยอิง จึงถามว่า “แม่ ย่าผมพูดจาไม่ดีกับแม่อีกแล้วเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงไม่ได้พูดอะไรมาก “แม่กลับก่อนนะ”
หลินจินซานขนของเข้าไปเก็บเข้าที่ แล้วพูดกับหญิงชราว่า “จากนี้ย่าช่วยสงบปากสงบคำหน่อย ไม่งั้นผมจะส่งย่ากลับไปอยู่บ้านอารองเหมือนเดิม”
พอหลินจินซานขู่เสร็จ เขาก็เดินออกจากบ้านไป ตามหลิวกุ้ยอิงจนทัน
ทั้งสองกลับไปที่บ้านตระกูลโจว ซึ่งหลินเซี่ยและเซี่ยเหลยรออยู่นาน คอยมองออกไปนอกถนนเป็นระยะ
กลัวเหลือเกินว่าพวกเขาอาจมีเรื่องขัดแย้งกับหลินเอ้อร์ฝูและคนอื่น ๆ
พอเห็นพวกเขากลับมาก็รู้สึกโล่งใจ
“แม่ เป็นอะไรไหมคะ?”
หลิวกุ้ยอิงส่ายหน้า “แม่ไม่เป็นไร”
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
หลังจากพักอยู่ที่บ้านตระกูลโจวมาระยะหนึ่ง หลิวกุ้ยอิงก็ต้องการกลับเข้าตัวอำเภอก่อนเวลา
พรุ่งนี้หลินจินซานต้องพาหญิงชราเข้าเมืองไปหาหมอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลับไปได้ในขณะนี้
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว พักอยู่ที่นี่สักคืนสิ ที่บ้านเรามีห้องว่างอยู่” ผู้เฒ่าโจวพูด “ดูสิว่าบ้านเรากว้างขวางขนาดไหน มีห้องว่างตั้งหลายห้อง บ้านของพวกเราชาวชนบทมีเตียงเตาทุกห้อง เรานอนบนนั้นได้ ต่อให้นอนสามสี่คนก็ไม่เป็นปัญหา”
ไม่ง่ายเลยกว่าหลินเซี่ยจะได้กลับมาทั้งที สองผู้อาวุโสจึงทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้เธอจากไป
หลินเซี่ยเองก็ลังเลที่จะจากไปเช่นกัน เธอบอกว่า
“แม่ พวกเราอยู่ที่นี่สักคืนเถอะค่ะ”
หลินเซี่ยอยากรอจนถึงตอนกลางคืน เพื่อชักชวนเชิงอุดมการณ์ให้ผู้สูงอายุยอมเข้าเมืองใหญ่
ส่วนเซี่ยเหลยและเซี่ยไห่ต่างก็ต้องการอยู่พูดคุยกับสองผู้เฒ่าของตระกูลโจว
คุณยายโจวถามหลิวกุ้ยอิงว่า “กุ้ยอิง สุขภาพย่าของจินซานเป็นยังไงบ้าง?”
หลิวกุ้ยอิงตอบกลับ “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ”
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนหล่อนแข็งแกร่งมาก” คุณยายโจวรำพึง
ย่าของหลินจินซานเป็นหนึ่งในหญิงอ้วนไม่กี่คนในหมู่บ้านของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังมีโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่ จึงทำให้สุขภาพร่างกายพลอยแข็งแรงตามไปด้วย ดูเหมือนคุณนายผู้ร่ำรวย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ที่บ้าน อ่อนกว่าวัยกว่าเพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกัน
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายเลย
หลิวกุ้ยอิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“บ้านของหลินเอ้อร์ฝูไม่มีอาหารดี ๆ ปรนเปรอหล่อนน่ะสิคะ ตอนนี้หล่อนเลยผอมซูบลงไปมาก เมื่อกี้ก็บ่นปวดท้อง จินซานเลยจะพาหล่อนไปหาหมอพรุ่งนี้”
ทุกคนถอนหายใจเมื่อได้ยินว่าแม่เฒ่าหลินที่อาศัยอยู่ในบ้านของหลินเอ้อร์ฝูต้องอยู่อย่างอดอยาก ซึ่งนั่นไม่น่าแปลกใจเลย เพราะก่อนหน้านี้แม่เฒ่าหลินเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนโต
นั่นถือเป็นกรณีที่พบได้น้อยในพื้นที่ชนบท หลายครอบครัว ผู้สูงอายุมักจะอาศัยอยู่กับลูกชายคนเล็ก
ที่แท้ก็เป็นเพราะหลินเอ้อร์ฝูไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าหลินจินซานไปรับแม่เฒ่าหลินให้ย้ายออกมาจากบ้านของหลินเอ้อร์ฝู ทุกคนก็มองไปที่หลินจินซานด้วยความชื่นชม
ในฐานะหลานชาย เขาถือได้ว่าเป็นผู้มีความรับผิดชอบ สามารถตัดสินใจได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
แต่โจวเจี้ยนกั๋วยังคงเลือกที่จะกำชับเตือนเขาว่า “จินซาน เธออาจเป็นลูกกตัญญูได้ แต่อย่าให้ความกตัญญูมาบังตาจนโง่เขลานะ”
หลินจินซานพูดอย่างจริงจัง “น้าโจว ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงย่าของผมจะเป็นแม่สามีที่ใจร้ายขนาดไหน แต่ท่านก็ไม่เคยใจร้ายกับหลานชายอย่างผม พ่อผมจากไปแล้ว อารองยังมาทำร้ายให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจอีก ผมทำเป็นไม่สนใจไยดีท่านไม่ได้ ปล่อยให้ท่านอดตายไม่ได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราทอดทิ้งต่อผู้ใหญ่”
ผู้เฒ่าโจวบอกว่า “จินซานทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ย่าของเธอมีชีวิตอยู่มาจนถึงวัยนี้ ถ้าปล่อยให้ท่านอดอาหารจนตายจริง ๆ ชื่อเสียงตระกูลหลินของเธอคงถูกทำลายไปสิบลี้แปดหมู่บ้าน เธอคงไม่อยากให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนั้นหรอก”
ช่วงบ่าย คุณยายโจวขอหัวไชเท้าสีขาวหัวใหญ่สองหัวมาจากสวนของเพื่อนบ้านอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ส่งโจวเจี้ยนกั๋วออกไปซื้อเนื้อสัตว์ บอกว่าวันนี้นางจะทำเกี๊ยว
หลังจากซื้อเนื้อกลับมาแล้ว หลิวกุ้ยอิงและหวังอวี้เสียก็ช่วยกันทำเกี๊ยวด้วยกันในครัว
หลินเซี่ยพาเซี่ยไห่ออกไปเก็บผลท้อจากต้นท้อในสวนหลังบ้านของตระกูลโจว
เซี่ยไห่เพิ่งเคยมาชนบทเป็นครั้งแรก ทำให้ทุกอย่างที่เขาเห็นล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ไม่ว่าผลไม้บนต้นไม้จะสุกหรือยังไม่สุกก็ตาม เขาก็อยากลองเด็ดมันทั้งหมด
เซี่ยเหลยนั่งอยู่ในสนาม จิบชาและอยู่เป็นเพื่อนคุยกับผู้เฒ่าโจวและโจวเจี้ยนกั๋ว ซึ่งทั้งสองตั้งใจฟังเรื่องเล่าของเซี่ยเหลยสมัยที่เขาอยู่ในสงครามอย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากห่อเกี๊ยวเสร็จ โต๊ะกินข้าวก็ถูกย้ายไปตั้งกลางสนามแทน ทุกคนนั่งกินด้วยกันอย่างมีความสุข
หลินเซี่ยกลับมาทั้งที ผู้เฒ่าทั้งสองคนของตระกูลโจวย่อมมีความสุขมาก ตอนที่หลินเซี่ยแต่งงานกับเฉินเจียเหอแรก ๆ พวกเขามักจะรู้สึกเสมอว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจอยู่ได้ไม่นาน กลัวว่าพวกเขาจะแยกทางกันทันทีที่กลับเข้าเมือง
ไม่คาดคิดเลยว่าเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยกลับเป็นฝ่ายหย่าร้างกัน
บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเย็นอบอวลไปด้วยความสุข ขณะกำลังกินเกี๊ยว หลินเซี่ยก็พูดกับผู้เฒ่าสองคนของตระกูลโจวว่า “คุณตา คุณยายคะ เฉินเจียเหอกับฉันตั้งใจว่าจะจัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่ไห่เฉิงค่ะ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด ผู้เฒ่าโจวก็ตอบรับอย่างเห็นด้วย “เซี่ยเซี่ย นั่นคือสิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว ดูเหมือนว่าในที่สุดตระกูลเฉินก็รู้แจ้งสักที งานแต่งงานของพวกเธอทั้งสองคนตอนอยู่ในหมู่บ้านมันกระชั้นเกินไป เรารู้สึกมาตลอดว่าทำผิดต่อเธอ รู้สึกยินดีจริง ๆ ที่พวกเธอจะจัดงานแต่งในเมืองอีกครั้ง เธอเป็นเด็กดี แถมตอนนี้พ่อแม่ยังมาอยู่ใกล้ชิดเธออย่างพร้อมหน้า การแต่งงานครั้งนี้ต้องสมบูรณ์แบบมากแน่”
หลินเซี่ยมองไปที่ผู้เฒ่าทั้งสอง ใช้โอกาสนี้เชิญชวนว่า “ฉันกำลังจะแต่งงานกับเจียเหอทั้งที คุณตาคุณยาย คุณลุงกับน้าสะใภ้ก็ควรไปร่วมแสดงความยินดีกับฉันด้วยนะคะ”
“เซี่ยเซี่ย พวกเธอกำหนดวันมงคลมาได้เลย ฉันกับน้าสะใภ้จะหาเวลาไปที่นั่นเอง”
โจวเจี้ยนกั๋วและภรรยาแสดงจุดยืนอย่างพร้อมเพรียง หลินเซี่ยจึงมองไปที่ผู้เฒ่าทั้งสอง “คุณตา คุณยาย คุณทั้งสองก็ควรไปอยู่ที่ไห่เฉิงสักพักด้วย ดีไหมคะ?”
ผู้เฒ่าโจวปฏิเสธ “พวกเราไม่ไปหรอก เราสองตายายอายุตั้งเท่านี้แล้ว จะเดินทางไกลให้มันลำบากสังขารทำไม? ยายเขายิ่งเมารถอยู่ด้วย พวกเธอจัดการเรื่องสำคัญกันเองเถอะ เราคงไม่ไป”
แน่นอนว่าชายชราปฏิเสธ
“คุณตา พวกเราต้องเสียดายมากแน่ถ้าคุณกับคุณยายไม่อยู่ในงานด้วย แม่สามีกับเฉินเจียเหออุตส่าห์มอบหมายงานเทียบเชิญให้ฉัน คราวนี้ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องเชิญคุณทั้งสองไปที่ไห่เฉิงให้ได้ โรงงานของเฉินเจียเหอจัดสรรบ้านหลังใหม่ให้กับพวกเราแล้วด้วย เราอยากให้คุณไปเห็นบ้านหลังใหม่ของเราจริง ๆ คุณย่าของฉันก็อยากทำความรู้จักกับพวกคุณด้วย แน่นอนว่าหู่จือคิดถึงพวกคุณมาก
หลินเซี่ยพยายามหยิบยกเอาคนนั้นคนนี้มาประกอบคำเชิญให้ดูมีน้ำหนัก แต่ชายชราก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพ
“สาวน้อย พวกเราแก่แล้ว ไม่ขอเข้าเมืองใหญ่ไปเป็นภาระใครดีกว่า ลำพังขึ้นรถประจำทางก็ลำบากพออยู่แล้ว พอไปถึงยังต้องอาศัยพวกเธอคอยดูแลอีก เราไม่อยากสร้างภาระให้ลูกหลานน่ะ”
เมื่อเห็นว่าพวกเขามีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเข้าเมือง หลินเซี่ยจึงผายมือออกพร้อมกับถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย
“น่าเสียดายจังค่ะ ถ้าไม่มีญาติผู้ใหญ่ฝั่งเฉินเจียเหอไปร่วมแสดงความยินดี เห็นทีงานแต่งของเราคงเป็นไปไม่ได้”
“ย่าฉันบอกว่าตอนที่ฉันกับเฉินเจียเหอแต่งงานกันที่นี่ ไม่มีใครในตระกูลเฉินยินดีกับพวกเราเลย พอท่านรู้เรื่องนี้ก็โกรธมาก คราวนี้เฉินเจียเหอเลยต้องแสดงความจริงใจ เรียกญาติของเขาทั้งหมดมาร่วมงานแต่งเพื่อเป็นสักขีพยานในการแต่งงานให้เขาอย่างเป็นทางการ คุณย่าได้ยินว่าเฉินเจียเหอสนิทสนมใกล้ชิดกับพวกคุณมากกว่าปู่ย่าของเขาเสียอีก แถมพวกคุณยังเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเขา ท่านเลยยื่นคำขาดว่าพวกคุณสองคนต้องมา ถ้าพวกคุณไม่มา คุณย่าคงไม่คลายความโกรธง่าย ๆ และไม่ให้พวกเราแต่งงานกันด้วยดี”
พอหลินเซี่ยพูดมาถึงตรงนี้ เซี่ยไห่ก็พูดเสริมอย่างจริงจัง “ใช่ครับ ลุงโจว แม่ผมเป็นคนหัวรั้นยิ่งกว่าอะไร พอได้ยินว่าแม่ของเจียเหอเคยไม่ชอบหน้าเซี่ยเซี่ยในตอนแรก ท่านก็โกรธมาก วิพากษ์วิจารณ์ตระกูลเฉินจนหูชา ถ้าคุณกับคุณป้ายังปฏิเสธไม่ไปอีก ผมเกรงว่างานแต่งงานครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้”
“นี่…”
คุณยายโจวได้ยินดังนั้นถอนหายใจด้วยความโกรธ “ฉันว่าแล้วว่าคนแซ่เฉินนั่นมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น พวกเขาเลยไม่ถูกใจเซี่ยเซี่ย แม่ลี่หรงนั่นก็ทำตัวเป็นวัวลืมตีนคิดว่าตัวเองกลายเป็นเจ้าคนนายคนอยู่ในเมืองใหญ่ แล้วพาลหยามหมิ่นคนที่มาจากชนบทเหมือนตัวเอง ฮึ่ม ย่าเธออาจต้องทำตัวโผงผางเสียหน่อย ไปฉะกับคนพวกนั้นให้รู้สำนึกซะบ้าง”
น้ำเสียงของคุณยายโจวค่อนข้างขุ่นเคือง
ฮึ่ม คนตระกูลเฉินสมควรเผชิญกับศึกหนักจากฝั่งสะใภ้
พวกเขาอาจคิดว่าคนจากฝั่งตระกูลโจวเรียบง่ายไร้ปากเสียง จึงทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
“แต่ว่า… เฉินเจียเหอในฐานะคนกลางคือคนที่ลำบากใจที่สุด”
ยิ่งเซี่ยไห่พูดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมมากขึ้น “เซี่ยเซี่ยของผมทั้งสวย ทั้งมีความสามารถ เปิดร้านในไห่เฉิงได้ตั้งสองสาขา แถมตอนนี้ยังทำธุรกิจร่วมกันกับเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเชินเฉิงด้วย เถ้าแก่คนนั้นชื่นชมเซี่ยเซี่ยมาก คาดว่าในอนาคตพวกเขาน่าจะได้พัฒนาโครงการที่นั่นร่วมกันเพิ่มอีก ผมคิดว่าฝั่งนั้นอาจถูกตาต้องใจเซี่ยเซี่ยมากกว่าเรื่องงานด้วยซ้ำ ถ้าเราปล่อยให้งานแต่งครั้งนี้ล่าช้าออกไป ปัญหาชีวิตคู่ต้องเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งคู่ไม่ช้าก็เร็ว”
หลินเซี่ยกินเกี๊ยวอย่างใจเย็น ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
คำพูดของเซี่ยไห่ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลโจวตกตะลึง พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงวิกฤต
เป็นเรื่องปกติที่นักธุรกิจใหญ่จะชอบสาวสวยที่มีความสามารถ
เธออายุน้อยกว่าเฉินเจียเหอประมาณแปดถึงเก้าปี เจียเหอเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่มีวาทศิลป์ในการมัดใจคน แถมเขายังมีลูกติด…
ตอนนี้ ตระกูลต้นกำเนิดของหลินเซี่ยแข็งแกร่งกว่า
หลานชายของเขาไม่มีข้อได้เปรียบใด ๆ เลย
โจวเจี้ยนกั๋วบอกว่า “พ่อ แม่ เปลี่ยนความคิดใหม่เถอะ เข้าไปในเมืองสักครั้งเพื่อให้เจียเหอไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ ให้เขาแต่งงานอย่างถูกต้องโดยเร็ว เขาอายุสามสิบแล้ว ปล่อยให้ล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้”
ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจอย่างยากลำบาก “ได้ พวกเราจะไปที่ไห่เฉิง”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณตาคุณยายลองเข้าเมืองไปเปิดหูเปิดตาหน่อยก็ได้ค่ะ เผื่อได้เจออะไรเจริญหูเจริญตา
ไหหม่า(海馬)