ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 491 ลูกสาวแต่งออกเหมือนสาดน้ำทิ้ง
ตอนที่ 491 ลูกสาวแต่งออกเหมือนสาดน้ำทิ้ง
ในที่สุดคนชราทั้งสองก็ยอมใจอ่อน หลินเซี่ยคลี่ยิ้มอย่างรวดเร็วและขอบคุณพวกเขา “ขอบคุณนะคะคุณตาคุณยาย”
คุณยายโจวมองหลินเซี่ยและเตือนเธออย่างจริงจัง “เซี่ยเซี่ย เจียเหอเป็นคนซื่อสัตย์และชอบธรรมมาก งานของเขาก็เป็นงานที่มีความมั่นคงสูง ยิ่งตอนนี้เขาได้รับการจัดสรรสวัสดิการบ้านหลังใหม่ เธอต้องใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับเขาให้ดี อย่ามีความคิดโลเลเป็นอื่นเด็ดขาด”
หลินเซี่ยอธิบาย “คุณยาย ฉันไม่มีความคิดอื่นเลยค่ะ”
แต่หญิงชรายังคงกังวลอย่างเห็นได้ชัดเพราะคำพูดของเซี่ยไห่เมื่อกี้ จึงพูดต่อว่า “ถึงนักธุรกิจจะมีรายได้มากกว่าก็จริง แต่นิสัยของเขาอาจไม่ดีเท่าเจียเหอก็ได้ อย่างน้อยงานของเจียเหอก็เป็นงานที่มีอนาคต เป็นถึงหน่วยงานที่ผลิตหัวรถจักรให้กับกรมการรถไฟ บอกเลยว่าไม่ใช่งานง่าย ๆ แถมเขาเป็นคนเก่ง อีกหน่อยก็มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เขาทุ่มเทเพื่อเธอไปมากเหลือเกินจนผู้ชายคนอื่นไม่มีทางเทียบได้ เธอกับเถ้าแก่คนนั้นร่วมมือกันทำงานอย่างเดียวได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ พวกเราไม่อนุญาตให้เธอมีความคิดอื่น”
หลินเซี่ยตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้วค่ะคุณยาย”
หลังจากที่หญิงชราตักเตือนหลินเซี่ย นางก็มองเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิง กำชับเตือนพวกเขาอีกแรงว่า “เสี่ยวเซี่ย กุ้ยอิง พวกเธอต้องคุมเด็กทั้งสองให้อยู่ในทำนองคลองธรรม อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องแตกหักกันเพราะคนอื่นนะ”
เซี่ยเหลยยิ้มรับ “ลุงโจว ป้าโจว พวกเราจะดูแลหล่อนอย่างดีครับ”
หลินเซี่ยถือโอกาสกระตุ้นพวกเขา “คุณตา คุณยาย อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เราจะออกเดินทางกันวันมะรืนนี้แล้ว”
“เดินทางมะรืนนี้เลยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นพวกเธอกลับกันไปก่อนเถอะ เราสองคนจะตามลุงกับน้าสะใภ้ของเธอไปทีหลัง ยังมีงานในบ้านที่ต้องจัดการอีกมาก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณกลับคำพูดไม่ได้แล้วนะคะ ต้องไปกันให้ได้นะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่จัดงานแต่ง”
ผู้เฒ่าโจวตอบซ้ำแล้วซ้ำอีก “ไปสิ เราจะไปแน่นอน”
หลังอาหารเย็น ผู้เฒ่าโจวก็ออกไปให้อาหารวัว ส่วนเซี่ยไห่และหลินจินซานไปช่วยหวังอวี้เสียและหลิวกุ้ยอิงทำความสะอาดจานชามในครัว จากนั้นโจวเจี้ยนกั๋วก็เรียกหลินเซี่ยไว้ พูดกับเธอด้วยเสียงกระซิบ
“รู้ไหมว่าทำไมสองตายายเขาถึงไม่อยากเข้าไปในเมือง?”
“ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยไปไห่เฉิงมาแล้ว ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านพักในเขตชุมชนบ้านพักทหารด้วยซ้ำ ตอนนั้นสภาพความเป็นอยู่ของคนชนบทค่อนข้างย่ำแย่ ตายายของเธอสวมเสื้อผ้าเก่าโทรม ไม่มีแม้แต่ของขวัญที่จะมอบให้พี่สาวฉัน พวกเขาเลยหอบเอาสิ่งของต่าง ๆ จากที่บ้านไปฝาก ผลก็คือพอไปถึงบ้านตระกูลเฉินไข่กลับแตกกระจายทั้งหมด ทำให้ทั้งคู่อับอายมาก อาสะใภ้รองของเจียเหอจากเมืองใหญ่ที่ดูถูกคนบ้านนอกยิ่งกว่าอะไรเลยเยาะเย้ยถากถางพวกท่านอย่างไม่ไว้หน้าแถมยังดูถูกพี่สาวฉันด้วย ตอนนั้นพ่อแม่โกรธมากจนคิดจะพาพี่สาวกลับ แต่หล่อนยืนกรานไม่กลับ เรื่องนี้จึงทำให้พวกเขาโกรธจนฝังใจ ต่อมาบ้านตระกูลเฉินมีเรื่องบางอย่าง พวกเขาเลยจำเป็นต้องเข้าเมืองไปรับเจียเหอมาเลี้ยงดู จากนั้นก็ไม่เคยไปเหยียบบ้านตระกูลเฉินอีกเลย เพราะเจ็บใจไม่หายที่คนในเมืองดูถูกพวกเขาราวกับตัวเองสูงส่งนักหนา แต่สิ่งที่พี่สาวพูดก็ไม่ผิด หล่อนอยากออกจากบ้านนอกเพื่อพลิกชีวิตไปเป็นชาวเมืองที่อยู่คนละชนชั้นกับเราเอง ทุกคนต่างก็มีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง”
หลังจากฟังคำอธิบายของโจวเจี้ยนกั๋ว ในที่สุดหลินเซี่ยก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโจวลี่หรงถึงได้มีท่าทีแบบนั้น เมื่อเธอบอกหล่อนว่าอยากเชิญผู้เฒ่าทั้งสองไปที่ไห่เฉิง
“ฉันพอจะเข้าใจแล้วค่ะน้า”
หลินเซี่ยพูดอย่างจริงใจ “แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันแตกต่างไปจากตอนนั้นแล้วนะคะ เฉินเจียเหอและฉันมีบ้านเป็นของเราเอง พอคุณเข้าไปในเมืองแล้วก็แค่ไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ของเรา ไม่ต้องไปอยู่ที่ชุมชนบ้านพักทหารอีก”
โจวเจี้ยนกั๋วยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ พวกเราตั้งตารอที่จะได้เห็นบ้านหลังใหม่และร้านใหม่ของเธอนะ”
หลังจากกินข้าวและให้อาหารสัตว์ต่าง ๆ แล้ว ทุกคนก็นั่งพักผ่อนอยู่ด้วยกันในลานบ้านใต้ร่มเงาไม้
ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็มาหาถึงหน้าประตู
โจวเจี้ยนกั๋วลุกขึ้นไปดู
เมื่อเขาเห็นว่าเป็นแม่เฒ่าหลิน สีหน้าของเขาก็ย่อลงเล็กน้อย
แต่ยังทักทายตามมารยาท “ป้าหลิน มาที่นี่ทำไมเหรอครับ?”
แม่เฒ่าหลินมองเข้าไปในประตูแล้วพูดว่า “ฉันมาหาจินซานกับกุ้ยอิง พวกเขาบอกว่าแวะมาเยี่ยมพ่อแม่เธอ ตั้งนานแล้วยังไม่กลับมา เลยแวะมาดูสักหน่อย”
“เข้ามาก่อนครับ”
เมื่อได้ยินว่าแม่เฒ่าหลินมาหาถึงที่ การแสดงออกของหลิวกุ้ยอิงก็เปลี่ยนไป มองไปที่เซี่ยเหลยโดยไม่รู้ตัว
โจวเจี้ยนกั๋วปล่อยให้แม่เฒ่าหลินเข้าไปในบ้าน
แม่เฒ่าหลินเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในสนามหญ้าในบ้านตระกูลโจว ซึ่งหลายคนเป็นคนที่นางไม่รู้จัก
เมื่อเห็นหลินเซี่ยอยู่ที่นั่น นางก็เดินปรี่เข้าไปหาแล้วพูดด้วยความโกรธเคือง “เซี่ยเซี่ยนังเด็กไม่รักดีคนนี้นี่ ทำไมกลับมาทั้งที่ถึงไม่ยอมไปหาฉันที่บ้าน?”
นางมองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยท่าทีไม่มีความสุข “ถึงเธอจะแต่งงานแล้วก็เถอะ ยังไงฉันก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกันกับเธอ ตอนที่เธอกลับมาจากในเมือง เธอไม่คิดจะไปดูหลุมศพพ่อผู้ล่วงลับของตัวเองด้วยซ้ำ พี่ชายเธอยังจำได้ว่ามีฉันอยู่ อย่างน้อยเขาก็กลับไปเยี่ยมเยียน ในขณะที่เธอกลับมาทั้งที ดันไม่รู้จักกลับไปเหยียบบ้านเก่าของพ่อแม่ตัวเอง เป็นลูกสาวแต่งออกที่เหมือนสาดน้ำทิ้ง(1)จริง ๆ”
หลินเซี่ยมองหญิงชราร่างผอมแห้งตรงหน้า แล้วพูดอย่างเย็นชา “ทำไมฉันต้องไปหาคุณด้วยล่ะ ไปโดนคุณด่าเล่นงั้นเหรอคะ?”
แม่เฒ่าหลินโต้กลับ “ใครอยากด่าเธอกัน? ที่ฉันดุด่าไม่ใช่เพราะประโยชน์ของเธอเองรึ? เธอโดนคนอื่นที่อยู่ในเมืองรังแกหรือเปล่า? โจวลี่หรงยังทำให้เธอลำบากใจอีกไหม? ถ้าฉันไม่ยืนหยัดเพื่อเธอ คราวที่แล้วจะกำจัดแม่นั่นออกไปได้ไหมล่ะ? ยังไม่รู้จักสำนึกในคำดุด่าของฉันอีก เกลียดจริง ๆ ที่เหล็กไม่ยอมกลายเปลี่ยนเป็นเหล็กกล้า”
แม่เฒ่าหลินคว้าแขนหลินเซี่ยไว้ พยายามจะสอนบทเรียนให้เธอ ทำให้เหงื่อเย็นผุดออกจากหน้าผากของหลินจินซาน เขารีบเข้ามาเพื่อประคองหญิงชราและต้องการพานางออกไป
“ย่า ไปเถอะ กลับบ้านเรากัน”
ตอนนี้หลินเซี่ยไม่ใช่หลานสาวของนางอีกต่อไป เธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องฟังคำพร่ำสอนจากนาง
“ฉันจะอยู่ที่นี่อีกเดี๋ยว” แม่เฒ่าหลินพูดแล้วก็นั่งลงบนม้านั่ง
หลินเซี่ยไม่อยากคุยกับนาง แต่นางยังคงอยากคุยกับหลินเซี่ย ต้องการถ่ายทอดแนวคิดในการควบคุมสามีและครอบครัวให้อยู่หมัด
แม่เฒ่าหลินมองหน้าเธอ ถามคำถามหลายข้อทีละคำถาม “เธออยู่ในเมือง ได้เจอนังเด็กเสิ่นอวี้อิ๋งนั่นบ้างไหม? หล่อนมาสร้างปัญหาให้เธอหรือเปล่า? อดีตพ่อแม่บุญธรรมของเธอนั่นอีก พวกเขากลั่นแกล้งเธอเพื่อแก้แค้นแทนเสิ่นอวี้อิ๋งไหม? แล้วเฉินเจียเหอปฏิบัติต่อเธอยังไง? ยืนหยัดปกป้องเธอหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยรู้สึกซับซ้อนมากเมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด
หญิงชราคนนี้ถึงเป็นคนใจร้ายก็จริง กระนั้นก็ยังมีน้ำใจจะปกป้องเธอ
บางทีอีกฝ่ายอาจเป็นคนจิตใจดีอยู่บ้าง ติดแค่ว่าเห็นแก่ตัวไปหน่อย
เพราะถ้านางชั่วร้ายอย่างนั้นจริง ๆ คงผลักไสเธอแบบไปแล้วไปลับ
หลินเซี่ยตระหนักได้ทันทีว่าหญิงชรายังไม่รู้ประสบการณ์ชีวิตของเธอ ที่พูดกับเธอแบบนี้ ก็เพราะถือว่าเธอเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของตัวเอง
ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนนัก
ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะใจร้ายแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำตัวโหดเหี้ยมหรือไม่แยแสต่อสายเลือดของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง
น้ำเสียงของหลินเซี่ยอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว “เขาดีกับฉันมาก ไม่มีใครกล้ารังแกฉันหรอกค่ะ”
แม่เฒ่าหลินดูเหมือนจะไม่เชื่อคำพูดของหลินเซี่ย “ทำตัวเข้มแข็งเข้าไว้ ปฏิบัติต่อพี่ชายของเธอให้ดี อีกหน่อยเขาจะกลายเป็นผู้สนับสนุนของเธอ ถ้ามีใครมารังแก ก็ไปหาพี่ชายให้เขาจัดการกับแม่สามีเธอ ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่ามีแค่ครอบครัวเดิมของเธอเท่านั้นแหละที่เชื่อถือได้
“สมมุติว่าฉันตาย อย่างน้อยพี่ชายกับหลานชายของเธอก็ยังอยู่ ถ้าพวกเขาไม่ยอมฝังศพฉัน ลำพังเธอคนเดียวก็ฝังศพฉันได้”
คุณยายโจวพยักหน้า “ถูกต้อง ครอบครัวเดิมอย่างไรก็สำคัญ”
หลินเซี่ยตอนนี้ไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดกับแม่เฒ่าหลินอีกต่อไป เธอตอบอย่างเฉยเมยว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ไม่มีใครสนใจแม่เฒ่าหลินมากนัก นางจึงมองไปรอบ ๆ มองไปที่เซี่ยเหลยและเซี่ยไห่ จากนั้นก็ถามสมาชิกตระกูลโจวด้วยความสงสัย “สองคนนี้เป็นญาติของเธอเหรอ?”
โจวเจียนกั๋วพยักหน้าอย่างเชื่องช้า “ใช่ ญาติห่าง ๆ”
เซี่ยเหลยและเซี่ยไห่ได้ยินมาว่าแม่เฒ่าหลินเป็นคนพูดจาก้าวร้าวแค่ไหน พวกเขาจึงเลือกที่จะนั่งเงียบ ฟังอีกฝ่ายคุยกับหลินเซี่ยอย่างสงบ
แต่ถ้านางคิดจะรังแกหลินเซี่ยเมื่อใด พวกเขาก็พร้อมที่จะปกป้องเธอเช่นกัน
หลังจากนั่งฟังและสังเกตจากคำพร่ำบอกมาเป็นเวลานาน ก็พบว่าต่อให้หญิงชราคนนี้ดูไม่ค่อยชอบหน้าหลินเซี่ยสักเท่าใด ถึงอย่างนั้นก็ใส่ใจเธออยู่บ้าง
ท้ายที่สุดแล้ว จนถึงตอนนี้แม่เฒ่าหลินก็น่าจะยังไม่รู้ประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริงของหลินเซี่ย
…………………………………………………………………………………………………………………………
ลูกสาวแต่งออกเหมือนสาดน้ำทิ้ง เป็นสำนวน หมายความว่าลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะกลายเป็นคนนอก ไม่ถือเป็นสมาชิกในครัวเรือนของพ่อแม่อีกต่อไป
สารจากผู้แปล
สองผู้เฒ่ามีความหลังฝังใจต่อบ้านตระกูลเฉินนี่เอง ถึงไม่ยอมไปที่ไห่เฉิงกัน
ถ้าแม่เฒ่าหลินได้รู้ว่าเซี่ยเซี่ยเป็นลูกเซี่ยเหลยแล้วจะเป็นยังไงนะ
ไหหม่า(海馬)