ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 495 เหมาเทศมณฑลกลับหรือไง
ตอนที่ 495 เหมาเทศมณฑลกลับหรือไง
โจวเจี้ยนกั๋วและผู้อำนวยการโรงงานขยับมาอยู่ด้านข้างเพื่อดูภาพที่หลินเซี่ยวาด
อืม จะพูดยังไงดีล่ะ? ดูแล้วก็ชวนให้พิศวงจริง ๆ
แต่ทุกคนต่างก็ทำงานอยู่กับเครื่องจักร เมื่อหญิงสาวอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด ไม่ว่าภาพวาดจะเข้าใจยากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ
เสี่ยวจางบอกว่า “เข้าใจครับ เดี๋ยวทำเครื่องหมายระบุไว้ พอเรามาดูอีกรอบจะได้จำได้”
เสี่ยวจางทำงานเป็นมืออาชีพมาก เขาวาดภาพแบบกลไกง่าย ๆ จนเสร็จภายในเวลาไม่นาน
ทุกคนนั่งอยู่รอบ ๆ ห้องทำงานอันคับแคบของผู้อำนวยการโรงงานเพื่อศึกษาแบบร่าง โดยมีโจวเจี้ยนกั๋วคอยแนะนำเสริม
“ฉันขอเสนออย่างหนึ่ง เรายังไม่ต้องผลิตเครื่องจักรแบบวงจรไฟฟ้าก็ได้ พัฒนาเครื่องจักรแบบมือหมุนไปก่อน น่าจะช่วยประหยัดค่ามอเตอร์ไปได้ พอราคาถูกลง เกษตรกรก็เอื้อมถึง ประหยัดเงินค่าไฟฟ้าไปอีก ทำให้คนใช้สอยได้อย่างสบายใจ คนทั่วไปยอมรับ”
อย่างเช่นในพื้นที่ชนบทห่างไกลแบบนี้ บางแห่งไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่สามารถใช้เครื่องจักรไฟฟ้าได้เลย
ผู้อำนวยการโรงงานคิดตาม
“ถ้าทำแบบมือหมุน เครื่องจะหนักและเปลืองแรงหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยบอกว่า “ไม่นะคะ วัสดุทั้งหมดฉันคิดไว้ว่าควรทำเป็นแผ่นเหล็ก แล้ววางบนโต๊ะ แบบหมุนด้วยมือควรทำให้มันเคลื่อนย้ายได้โดยที่เด็กก็หมุนได้ เป็นเครื่องจักรขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบามาก”
ทุกคนสนับสนุนการผลิตแบบใช้แรงกลเหมือนกัน ไม่เพียงช่วยประหยัดต้นทุน แต่ยังอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายขนส่งอีกด้วย ต่างจากเครื่องสีไฟฟ้าที่ใช้งานได้ในสถานที่ที่มีไฟฟ้าเท่านั้น และยังมีน้ำหนักมากจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกจากบ้านได้
ถึงต่อให้เคลื่อนย้ายไปยังทุ่งนาได้ การเดินสายไฟก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลเช่นกัน
ในที่สุดผู้อำนวยการโรงงานก็ตัดสินใจ
“เอาล่ะ เรามาเริ่มต้นผลิตเครื่องจักรแบบใช้แรงงานคนกันดีกว่า”
ผู้อำนวยการโรงงานมองดูนักออกแบบทั้งสอง “เสี่ยวจาง เหล่าหวัง ถ้าอย่างนั้นผมจะมอบหมายการออกแบบกลไกนี้ไว้ให้พวกคุณ อย่าลืมนำกลับไปศึกษาด้วยนะ”
“ได้ครับ”
แม้ว่าการออกแบบแผ่นเหล็กที่ใช้สำหรับหุ้มตัวเครื่องอาจเรียบง่าย แต่กลไกการทำงานภายในของเครื่องจักรนี้ยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการศึกษาและทำความเข้าใจ
เหล่าหวงและเสี่ยวจางออกไปพร้อมกับภาพร่าง ผู้อำนวยการโรงงานรินชาให้หลินเซี่ยอีก มองเธอแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวหลิน คิดยังไงกับเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวานบ้าง?”
หลินเซี่ยรีบยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วตอบกลับอย่างสุภาพ
“ผู้อำนวยการ ฉันยังไม่มีเวลาโทรไปปรึกษาเรื่องนี้กับสามีเลยค่ะ”
“เสี่ยวหลิน ที่จริงไม่ต้องใช้ความคิดมากมายอะไรเลย อีกหน่อยเธอจะกลายเป็นพนักงานนอกเวลาของฝ่ายออกแบบ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีความคิดดี ๆ ก็แบ่งปันให้เหล่าหวงกับเสี่ยวจางได้ เช่นเดียวกับวันนี้ เธอแค่เสนอแนวคิดแล้วปล่อยให้พวกเขาเอากลับไปออกแบบโดยละเอียดตามโครงร่างการทำงานที่เธอให้ไว้ ไม่จำเป็นต้องทำงานที่นี่ตลอดเวลา พวกเรามุ่งมั่นที่จะทำให้โรงงานของเรามีนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ความตั้งใจของเราคือช่วยเหลือผู้คน”
เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยไม่พูดอะไร ผู้อำนวยการโรงงานจึงหว่านเหยื่อออกไปอีกครั้ง
“ถ้าผลิตภัณฑ์ใหม่ถูกวางจำหน่ายสู่ตลาด พวกเธอทุกคนจะได้รับโบนัส”
อันที่จริงหลินเซี่ยไม่ใช่คนที่ถูกล่อลวงด้วยเงินค่าโบนัสหรืออะไรทำนองนั้น
ธุรกิจหลักในปัจจุบันของเธอสร้างผลกำไรให้อย่างมาก โบนัสจำนวนหนึ่งไม่ได้มีผลอะไรสำหรับเธอ แน่นอนว่าเธอไม่เต็มใจจะรับงานนี้เนื่องจากผลตอบแทนน้อย
โดยหลักแล้ว เมื่อตัดสินใจเสนองาน นั่นหมายถึงความรับผิดชอบ เธอต้องรับผิดชอบต่องานนั้นให้ถึงที่สุด
ผู้อำนวยการโรงงานหันไปหาโจวเจี้ยนกั๋ว พลางขยิบตาให้เขา “เหล่าโจว ช่วยบอกเสี่ยวหลินทีสิว่าเราควรช่วยกันทำงานให้มากขึ้นเพื่อประโยชน์ของโรงงานเรา”
ไม่อยากให้คนมีความสามารถอย่างเธอหลุดมือ
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่นักออกแบบเครื่องจักรกลมืออาชีพ แต่ก็พอจะมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง ครอบครัวเดิมของเธอทำงานด้านเครื่องจักร เครื่องจักรกลการเกษตรใด ๆ ที่เธอออกแบบล้วนได้รับความนิยมจริง ๆ
โจวเจี้ยนกั๋วไม่ได้กดดันหลินเซี่ยแต่อย่างใด เขาพูดกับผู้อำนวยการโรงงานว่า “ให้เซี่ยเซี่ยกลับไปคิดก่อนแล้วค่อยให้คำตอบกับเราเองด้วยตัวเองดีกว่า”
“งั้นก็ได้ เสี่ยวหลิน ต้องกลับไปคิดให้รอบคอบนะ จริงสิ ยอดขายเครื่องนวดข้าวโพดของเราทะลุทะลวงมาก โรงงานเราวางแผนจะขอโบนัสให้เธอด้วย ไว้ฉันจะแจ้งให้ฝ่ายการเงินทำเรื่องทีหลัง หลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว ฉันจะให้หัวหน้าโจวรับแล้วฝากไปให้”
“ผู้อำนวยการ ครั้งที่แล้วคุณไม่ได้ให้โบนัสฉันแล้วหรอกเหรอคะ?”
“นั่นโบนัสของเครื่องหยอดเมล็ดข้าวโพด เครื่องจักรพวกนั้นได้มาจากแนวคิดการประดิษฐ์ของเธอทั้งหมด คนออกแบบคือเธอ ตามหลักการแล้ว เราควรยื่นขอรับสิทธิบัตรในนามเธอด้วยซ้ำ แล้วค่อยซื้อลิขสิทธิ์ในการผลิตมาจากเธออีกที แต่เธอกลับเต็มใจให้เราผลิตโดยไม่มีเงื่อนไข เราควรจ่ายโบนัสให้เธออยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
หลินเซี่ยไม่เกรงใจอีก ยอมรับโบนัสโดยง่าย
จากทัศนคติของผู้อำนวยการโรงงาน เห็นได้ชัดว่าเครื่องจักรกลการเกษตรเหล่านี้ได้สร้างประโยชน์อย่างมากให้กับโรงงานที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ผู้อำนวยการโรงงานไม่เพียงมอบโบนัสให้กับหลินเซี่ยเท่านั้น แต่ยังเชิญเธอไปรับประทานอาหารเย็นด้วย
โจวเจี้ยนกั๋วบอกว่า “ลืมเรื่องอาหารไปก่อนเถอะ พ่อแม่ผมเข้าเมืองพอดี วันนี้พวกเราครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า เซี่ยเซี่ยจะกลับไปที่ไห่เฉิงวันพรุ่งนี้แล้ว”
“เอาล่ะ เสี่ยวหลิน ไว้เราค่อยติดต่อทางโทรศัพท์กัน” ผู้อำนวยการโรงงานทิ้งหมายเลขโทรศัพท์สำนักงานและหมายเลขเพจเจอร์ส่วนตัวให้หลินเซี่ยไว้
“ได้ค่ะ”
โจวเจี้ยนกั๋วและหลินเซี่ยออกมาจากโรงงานเครื่องจักร โจวเจี้ยนกั๋วมองไปที่หลินเซี่ย ยิ่งมองเธอมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากขึ้นเท่านั้น
ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โรงงานเครื่องจักรของพวกเขาได้เข้าสู่ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรชิ้นใหม่แล้ว
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “น้าคะ ฉันได้รับแรงบันดาลมาจากเครื่องนวดข้าวโพดอีกทีหนึ่งน่ะค่ะ”
“ถ้าเธอลองพิจารณาดี ๆ เกี่ยวกับข้อเสนอของผู้อำนวยการโรงงานเรา เธออาจจะรับงานนอกเวลาเป็นงาน ๆ ไปก็ได้นะ เงินที่ได้อย่างน้อยก็เป็นค่าขนม จุดประสงค์หลักคือเพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล เธอก็เห็นแล้วนี่ว่ามันมีประโยชน์แค่ไหน ถ้าเครื่องจักรเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ชนบท จะช่วยประหยัดเวลาและทุ่นแรงไปได้มาก ชาวนาอย่างพวกเขาทำงานหนักเกินไป รูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมมันไม่สะดวกเอาเสียเลย”
หลินเซี่ยรู้สึกประทับใจกับความจริงใจของผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักรและโจวเจี้ยนกั๋ว เธออยากให้เครื่องจักรเหล่านี้ไปอยู่ในมือของชาวนาจริง ๆ
เธอตอบกลับ
“ค่ะ ไว้ฉันค่อยโทรหาเฉินเจียเหอทีหลัง”
เมื่อพวกเขากลับไป เซี่ยเหลยและคนอื่น ๆ ที่ไปช้อปปิ้งก็ทยอยกลับมากันแล้ว
ทันทีที่เปิดประตู พวกเขาก็เห็นถุงใบใหญ่และใบเล็กหลากสีสันกองอยู่ในห้องนั่งเล่น
หลินเซี่ยมองไปที่กองสิ่งของ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
“ซื้อของกันมาเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ?”
เป็นเรื่องแปลกจริง ๆ ที่พวกเขาเดินทางออกจากเมืองใหญ่อย่างไห่เฉิงมาที่อำเภอเล็ก ๆ เพื่อซื้อของมากมาย
เพราะผู้คนนิยมไปช้อปปิ้งในเมืองใหญ่มากกว่า
หวังอวี้เสียบอกว่า “คนซื้อหลัก ๆ คือพ่อแม่กับตายายของเธอเลย”
ผู้เฒ่าโจวและคุณยายโจวซื้อของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ให้กับหู่จือเป็นหลัก และยังซื้อกระเป๋านักเรียนใบใหม่ให้เขาอีกด้วย
นอกจากนี้พวกเขายังใส่บะหมี่ถั่วลันเตาที่ทำไว้ให้หู่จือที่บ้านตั้งเมื่อวานลงในกระเป๋านักเรียนใบใหม่ของเขา
เซี่ยไห่และเซี่ยเหลยซื้อทุกอย่างที่พวกเขาเห็นแล้วรู้สึกแปลกตา รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้และอาหารท้องถิ่น
หลิวกุ้ยอิงซื้อผงพริกจีนกลับไปด้วยหลายชั่ง
เทศมณฑลจินซานขึ้นชื่อเรื่องพริกป่น ผงพริกที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะเมล็ดพริกมันซึ่งมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ แต่ไม่เผ็ด และกินอร่อยมาก
บะหมี่เนื้อใส่ผงพริกป่นคืออาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของเทศมณฑลจินซาน
หลิวกุ้ยอิงซื้อผงพริกจากร้านค้าหลายแห่งในไห่เฉิง แต่สินค้าพวกนั้นไม่มีกลิ่นหอมเท่า เมื่อกลับมาครั้งนี้ หล่อนจึงกว้านซื้อไปถึงห้าชั่งด้วยกัน
พร้อมกันนั้นยังทำข้อตกลงกับหวังอวี้เสีย ว่าถ้าผงพริกในร้านอาหารหมดอีก หล่อนจะขอให้หวังอวี้เสียช่วยส่งผงพริกของที่นี่ไปให้
ห้องนี้ไม่ได้มีขนาดกว้างขวางใหญ่โตนัก เต็มไปด้วยถุงใหญ่และเล็ก หลิวกุ้ยอิงและเซี่ยเหลยจึงช่วยกันจัดพวกมันให้เข้าที่เข้าทาง
กระเป๋าเดินทางที่เธอเอามาใส่ของกลับไปได้ไม่หมด ดังนั้นหวังอวี้เสียจึงยกกระเป๋าใบเก่าในบ้านให้ไปเพิ่ม
หลินเซี่ยมองดูกองสิ่งต่าง ๆ ทับถมเป็นกองพะเนิน อดถามไม่ได้ “พ่อ แม่ พวกคุณจะเหมาเทศมณฑลกลับไปด้วยหรือไง?”
“ของที่พวกเราขนกลับไปมีประโยชน์ทั้งนั้น บางอย่างก็ไม่มีขายในไห่เฉิง”
หลังจากเก็บข้าวของทั้งหมดเสร็จแล้ว โจวเจี้ยนกั๋วก็ยืนกรานที่จะเชิญทุกคนไปร้านอาหาร
เขาพาทุกคนไปร้านอาหารที่ดีที่สุดในตัวอำเภอ ซึ่งเคยเป็นโรงแรมของรัฐมาก่อน
จากนั้นก็สั่งอาหารอย่างอู้ฟู่
ระหว่างรออาหาร โจวเจี้ยนกั๋วขอให้หลินเซี่ยโทรหาเฉินเจียเหอตอนนั้นเลย
ยิ่งถามความคิดเห็นของเขาไวแค่ไหนยิ่งดี เพราะถ้าเฉินเจียเหอไม่เห็นด้วย เขาจะได้ออกหน้าคุยเองพร้อมกับตำหนิว่าอีกฝ่ายมีจิตใจคับแคบ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เข้าใจเลยว่าไปต่างถิ่นแล้วมันก็อดซื้อของประจำถิ่นไม่ได้ เพราะบางอย่างก็ไม่มีที่บ้าน หรือต่อให้มีก็คุณภาพไม่ดีเท่าของท้องถิ่นที่นู่น
ไหหม่า(海馬)